วันนี้แพทย์ทำการผ่าตัดขวัญพิชชาก็อนุญาตให้เธอกลับบ้านได้เพราะแผลเธอเริ่มหายดีแล้ว แต่เธอไม่ดีใจเลยสักนิดเพราะเธอได้ออกจากโรงพยาบาลในขณะที่ลูกชายยังอยู่ที่นี่
“อย่ากังวลไปเลยขวัญ เดี๋ยวต้นน้ำก็ได้กลับบ้านเหมือนอย่างขวัญนั่นแหละ” พาขวัญพูดขณะที่กำลังช่วยเธอเก็บของ
“ขวัญอยากอยู่ต่อนี่ค่ะ ขอขวัญอยู่กับลูกที่นี่ไม่ได้เหรอคะ” เธอไม่อยากทิ้งให้ลูกอยู่ที่นี่คนเดียว
“พี่ว่าขวัญกลับไปนอนที่บ้านน่ะดีแล้ว จะได้ไปเตรียมข้าวของให้ต้นน้ำด้วย มีอีกหลายอย่างเลยที่เรายังเตรียมไม่ครบ”
“ก็ได้ค่ะพี่พา แต่ขวัญขอมาอยู่กับลูกทุกวันได้ไหมคะ”
“ไม่ต้องห่วงครับพี่จะไปรับขวัญมาเยี่ยมลูก มาอยู่กับลูกทุกวันเลย”
“แน่นะคะ”
“แน่สิ พี่จะไปรับตั้งแต่เช้าเลย ไปอยู่ที่คอนโดฯ ไหมพี่ว่ามันใกล้ที่นี่ดีนะ” รัญภาคย์บอกกับเธอ เพราะเขาเองก็อยากมาอยู่กับลูกทุกวันเหมือนกัน
“ไม่เป็นไรค่ะ ขวัญคงต้องไปเตรียมของอย่างที่พี่พาบอกค่ะ” เธอยังไม่อยากไปอยู่กับเขาตามลำพัง
วันนี้รัญภาคย์มารับขวัญพิชชาที่บ้านของรชตพัฒน์อย่างเคย พอมาถึงก็เห็นว่าขวัญพิชชากำลังยืนคุยกับรชตพัฒน์อย่างสนิทสนม ชายหนุ่มรู้สึกจุกขึ้นมาที่ลำคอแต่เขาไม่โกรธเธอเลยสักนิดถ้าเธอจะเลือกรชตพัฒน์เพราะเขาเป็นคนที่คอยเคียงข้างในวันที่เธออ่อนแอและต้องการกำลังใจอย่างที่สุด
ตลอดระยะเวลาที่เด็กชายกฤษฎิ์หิรัญนอนอยู่ที่ห้องวิกฤตเด็กอ่อนนั้นรัญภาคย์จะไปรับขวัญพิชชาและพามาที่โรงพยาบาล ทั้งสองจะนั่งอยู่หน้าห้องจนหมดเวลาเยี่ยม รัญภาคย์ใช้เวลากลางคืนหลังจากส่งขวัญพิชชาที่บ้านของ รชตพัฒน์แล้วมานั่งทำงานทั้งหมด แม้จะเหนื่อยแค่ไหนแค่เขาก็เต็มใจที่จะทำ รัญภาคย์อาศัยอยู่ที่คอนโดฯ ที่เขาซื้อไว้เมื่อหลายปีที่แล้ว
แล้วข่าวดีก็เกิดขึ้นเมื่อกุมารศัลยแพทย์บอกว่าตอนนี้ลูกชายของเธอสามารถออกจากตู้อบและมาอยู่ห้องพักฟื้นปกติได้ แล้วหลังจากนั้นอีกไม่กี่วันเด็กชายกฤษฎิ์หิรัญก็ได้กลับมาที่บ้าน
รัญภาคย์มาช่วยขวัญพิชชาเลี้ยงลูกที่บ้านของพาขวัญทุกวันจนหญิงสาวเริ่มใจอ่อนและคุยกับเขามากขึ้น รัญภาคย์โทรศัพท์ไปบอกข่าวดีกับมารดาของเขา ลดาดีใจเป็นอย่างมากที่เขาตามหาพุดพิชชาเจอและยังจะได้หลานชายเพิ่มมาด้วย
“ขวัญอยากกลับไปใช้ชื่อเดิมไหม” พาขวัญถามเธอตรงๆ เพราะตอนนี้ครอบครัวของเธอดูเหมือนจะเข้าใจกันดีแล้ว
“คงไม่แล้วล่ะคะ เพราะชื่อนี้มันทำให้ขวัญรู้ว่ากว่าที่ขวัญจะมีวันนี้ มีน้องต้นน้ำขวัญต้องผ่านอะไรมาบ้าง พี่พาคงไม่ว่าอะไรนะคะ”
“แล้วขวัญไม่กลัวจะมีปัญหาเหรอ ที่ลูกกับขวัญไม่ใช้นามสกุลเดียวกัน”
“ขวัญคิดว่าต้นน้ำจะเข้าใจนะคะ”
“ต้นน้ำคงจะเข้าใจ แต่กว่าที่กว่าที่จะเข้าใจก็ต้องรอให้เขาโตก่อน ถ้าต้นน้ำเข้าโรงเรียนแล้วมีคนถาม ขวัญคิดว่าต้นน้ำจะรู้สึกยังไงที่ต้องตอบคำถามเดิมๆ”
คำพูดของพาขวัญทำให้เธอได้คิดว่าเธอไม่ควรที่จะเห็นแก่ตัวเองจนลืมนึกไปว่าอนาคตนั้นลูกชายต้องเจอกับอะไรบ้าง
ขวัญพิชชาอยู่ที่บ้านของพาขวัญเพียง 2 สัปดาห์ก็ต้องพาลูกชายย้ายไปอยู่กับรัญภาคย์เพราะเกรงใจมารดาของเขาที่โทรศัพท์มาคุยกับเธอทุกวันและบ่นว่าอยากเห็นหน้าหลานชาย เธอจะให้ลดามาเยี่ยมเธอกับลูกที่นี่ก็ได้แต่ที่นี่ก็ไม่ใช้บ้านของเธอ เธอคุยกับรัญภาคย์จนเข้าใจกันดีแล้วจึงตัดสินใจกลับไปอยู่กับเขา
พาขวัญและรชตพัฒน์ตามมาส่งขวัญพิชชาและน้องต้นน้ำที่บ้านของรัญภาคย์ในกรุงเทพฯ ชายหนุ่มเลือกที่จะอยู่บ้านหลังนี้เพราะการเดินทางไปตรวจที่โรงพยาบาลเดิมของลูกชายจะสะดวกกว่า
พอมาถึงที่บ้านมารดาของชายหนุ่มก็รออยู่แล้ว ลดารีบเข้ามาสวมกอดขวัญพิชชาทันที
“แม่คิดว่าจะไปเจอหนูพุดอีกแล้ว อย่าหนีแม่ หนีตารัญไปไหนอีกเลยนะลูก” เธอร้องไห้ทั้งดีใจและตื้นตันใจที่ได้เห็นครอบครัวของลูกชายกลับมาอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าอีกครั้ง
รัญภาคย์แนะนำให้มารดาของเขารู้จักกับรชตพัฒน์และพาขวัญ และบอกมารดาเรื่องที่พุดพิชชาเปลี่ยนชื่อไปแล้ว เธอก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะไม่ว่าหญิงสาวคนนี้จะใช้ชื่อไหนเธอก็ยังเป็นหญิงสาวที่ลดารักและยินดีที่จะให้มาอยู่ในครอบครัวอยู่ตลอดเวลา
“ฉันขอบคุณทั้งสองคนมากนะคะ ที่ดูแลและให้ที่พักพิงสำหรับหนูขวัญและหลานชายของฉัน คุณสองคนมาที่บ้านนี้ได้ตลอดเวลาเลยนะคะ เพราะต้นน้ำก็เป็นหลานของคุณทั้งสองเหมือนกัน”
“ค่ะ ฉันคงได้มาเยี่ยมบ่อยๆ แน่นอนค่ะ” พาขวัญรู้สึกใจหายที่ต้องจากหลานชายตัวน้อย แต่เพื่อแลกกับความสุขในชีวิตครอบครัวของต้นน้ำแล้วเธอก็คลายกังวล
“ครั้งหน้าถ้าคุณจะมาก็อยากให้เตรียมเสื้อผ้ามานอนที่นี่เลยนะคะ เราจะได้คุยกันฉันอยากฟังเรื่องราวของหนูขวัญว่าเธอเป็นอย่างไรบ้างตอนที่อยู่ที่นั่น”
“ฉันบอกได้เลยค่ะว่าคุณโชคดีมากที่ได้ขวัญมาเป็นลูกสะใภ้ เธอเป็นคนเก่ง ขยันและยังเป็นคนจิตใจดี ถ้าวันไหนคุณกับลูกชายทำให้เธอต้องเสียใจอีกฉันยินดีที่จะมารับเธอไปอยู่กับฉันตลอดเวลาค่ะ” พาขวัญบอกกับลดา
“รับรองได้เลยค่ะ ว่ามันจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นอีกแน่นนอนค่ะ” ลดาให้ความมั่นใจกับพาขวัญ
รัญภาคย์พาขวัญพิชชาขึ้นไปดูห้องนอนของลูกชายที่เขาเตรียมไว้รอห้องนั้นอยู่ติดกับห้องนอนของเขา เตียงใหญ่ขนาดนอนได้ 3 คนอย่างสบายๆ อยู่ชิดผนัง ส่วนกลางห้องเป็นแปลนอนเด็กที่แขวนโมบายไว้ตรงกลางอีกมุมหนึ่งมีของเล่นวางอยู่บางชิ้นยังไม่ได้แกะออกจากกล่องด้วยซ้ำ
“ห้องน่ารักดีนะคะ” เธอดีใจที่เขาเอาใจใส่ลูกชายและเตรียมทุกอย่างไว้อย่างดี
“ขวัญชอบไหมครับ”
“ชอบค่ะ ห้องห้องกว้างมากเลยค่ะ ขวัญขอนอนที่นี่กับลูกนะคะ”
“ให้ลูกนอนคนเดียวก็ได้ พี่เห็นฝรั่งเค้าให้นอนเองตั้งแต่เล็กเลยนะครับพี่ซื้อเบบี้มอร์นิเตอร์ไว้แล้ว”
“ขวัญขอนอนกับลูกในห้องนี้ ห้องกว้างขนาดนี้ถ้าลูกลืมตาขึ้นมาแล้วไม่เห็นใครลูกคงว้าเหว่”
“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอมานอนด้วยคนได้ไหม”
“พี่รัญต้องตื่นไปทำงานแต่เช้า คงไม่ค่อยได้นอนแน่เพราะต้นน้ำตื่นมากินนมตอนดึกๆ”
“ไม่เป็นไรครับ พี่จะได้ช่วยขวัญด้วย” เขาออยากมีส่วนร่วมทุกกิจกรรมที่เธอมีกับลูกชาย
“ขวัญว่าอย่าดีกว่านะคะ เอาไว้วันไหนพี่ไม่ต้องไปทำงานแต่เช้าค่อยเข้ามานอนก็ได้” เธอรู้ว่าคงห้ามเขาไม่ได้แต่ก็ไม่อยากให้เขาต้องมาดื่นนอนกลางดึกทุกคืน เพราะต้องไปทำงานตอนเช้าทุกวัน
“อย่างนั้นก็ได้ครับ พี่ขอบคุณที่ขวัญมอบสิงที่มีค่าที่สุดให้พี่” เขาเดินข้ามากอดร่างบอบบางที่ดูแทบไม่ออกเลยว่าเธอพึ่งจะคลอดมาได้ไม่ถึง 2 เดือน ขวัญพิชชาไม่ได้ขัดขืนเพราะเธอเองก็โหยหาอ้อมกอดนี้มานานเช่นกัน
“พี่ขอโทษนะ ขอโทษทุกอย่างที่ผ่านมา ถ้าย้อนเวลากลับไปได้พี่จะไม่ทำแบบนั้นอีกแน่นอน” ชายหนุ่มเสียงสั่นเครือกล่าวขอโทษเธอและก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำแบบนี้ เพราะทุกครั้งที่มีโอกาสเขาก็มักจะขอโทษเธอซ้ำไปซ้ำมาจนเธอใจอ่อนยกโทษให้เขาไปนานแล้ว
“อย่าพูดถึงมันอีกเลยค่ะ เรื่องมันผ่านมาแล้ว ขวัญว่าเราลงไปข้างล่างกันเถอะค่ะ แม่ดาคงรอทานข้าวนะคะ” เธอรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากให้เขาจมอยู่กับเรื่องราวในอดีตที่เธอเองก็ไม่อยากจะจดจำ
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว