บทที่ 27 กู้เซี่ยงหนาน
หลังจากขึ้นรถ ลู่เซี่ยก็หยิบตั๋วขึ้นมาและหาที่นั่งของตัวเอง เป็นที่นั่งสำหรับสี่คน แต่ตอนนี้มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น
ลู่เซี่ยพยายามยกกระเป๋าขึ้นไปเก็บไว้บนชั้นวางสัมภาระเหนือศีรษะ โชคดีที่ช่วงนี้ได้ดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ ทำให้มีแรงมากขึ้นไม่น้อย บวกกับกระเป๋าผ้าใบที่แม้จะดูใหญ่ แต่ภายในไม่มีของหนัก จึงยกขึ้นเก็บได้สบาย
เวลานี้ในตู้โดยสารค่อนข้างแน่นขนัด หลายคนอดทึ่งไม่ได้เมื่อเห็นลู่เซี่ยตัวเล็ก ๆ แต่กลับแบกสัมภาระหนักอึ้ง ต่างก็แวะเวียนมาพูดคุยด้วย เมื่อคุยกันไปสักพักก็พบว่าทุกคนล้วนเป็น ‘จือชิง’ หรือปัญญาชนที่ถูกส่งลงชนบทเหมือนกัน บรรยากาศในตู้โดยสารจึงเต็มไปด้วยความอบอุ่นและเป็นมิตรมากขึ้น
หลังจากเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ลู่เซี่ยก็นั่งลงบนที่นั่งของเธอ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่นั่งสี่คนที่หันหน้าเข้าหากัน โดยที่นั่งของเธออยู่ติดหน้าต่าง งรถไฟสีเขียวมีหน้าต่างที่สามารถเปิดได้
ขณะที่ลู่เซี่ยมองออกไปนอกหน้าต่าง เธอพบเห็นภาพการจากลาบนชานชาลาที่เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ ในใจของเธอรู้สึกสงบนิ่งมาก ในที่สุดก็จะได้ไปแล้วสินะ!
หากคนในตระกูลลู่รู้ว่าลู่เซี่ยขายงานไปแล้วจะเป็นอย่างไรนะ? คงโกรธมากล่ะมั้ง น่าเสียดายที่เธอไม่ได้เห็น...
ลู่เซี่ยนั่งอยู่บนรถไฟสักพัก ในที่สุดก็มีผู้ชายคนหนึ่งมานั่งที่นั่งตรงข้าม ก่อนรถไฟจะออกเดินทางประมาณสิบนาที
ผู้ชายคนนี้ดูดีและหล่อเหลา ใบหน้าราวกับถูกแกะสลักมา จมูกโด่งเป็นสัน ดูเหมือนอายุยังน้อย แต่รูปร่างสูงโปร่ง สัดส่วนสมดุล เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มน้อยรูปงามคนหนึ่งเลยทีเดียว!
ลู่เซี่ยไม่คิดว่ายุคนี้จะมีหนุ่มหล่อมากนัก เธอเพิ่งมาได้สิบกว่าวันก็เห็นไปแล้วสองคน
ดูจากการแต่งตัวก็ไม่เลว ใส่เสื้อผ้าดูดีกว่าคนทั่วไป กระเป๋าเดินทางที่ถือมาก็เป็นของแบรนด์เนมที่ลู่เซี่ยไม่ได้ซื้อก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะไปทำงานต่างจังหวัดมากกว่าจะลงไปชนบท
ทันทีที่หนุ่มหล่อขึ้นรถ เขาก็ทำเช่นเดียวกับคนทั่วไป คือวางกระเป๋าเสร็จแล้วก็นั่งลง เมื่อเห็นลู่เซี่ยที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ส่งยิ้มให้จนเผยให้เห็นฟันขาวสะอาด ทั้งตัวเขาดูสดใสราวกับแสงตะวัน
“สวัสดีสหาย ผมชื่อ ‘กู้เซี่ยงหนาน’ เป็นปัญญาชนที่ถูกส่งลงชนบทไปมณฑลเหลียวหนิง”
ที่แท้ก็เป็นจือชิงจริง ๆ ด้วย ลู่เซี่ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเขาแนะนำชื่อ พลางคิดในใจว่าคนที่ชื่อเซี่ยงหนานในยุคนี้มีเยอะจริง ๆ พระเอกของนิยายเรื่องหนึ่งที่เธออ่านก่อนหน้านี้ก็ชื่อกู้เซี่ยงหนานเหมือนกัน
จากนั้นก็พยักหน้าให้เขา ก่อนจะแนะนำตัวเองเช่นกัน “สวัสดี ฉันชื่อ ลู่เซี่ย เป็นปัญญาชนที่ถูกส่งลงชนบทไปมณฑลเหลียวหนิงเหมือนกัน”
ดูเหมือนกู้เซี่ยงหนานจะเป็นคนเปิดเผย เมื่อได้รู้ว่าลู่เซี่ยเองก็เป็นจือชิงที่ถูกส่งไปยังมณฑลเหลียวหนิงเหมือนกัน เขาก็ถามถึงที่อยู่ของเธออย่างกระตือรือร้น และพบว่าพวกเขาต้องไปเมืองเดียวกันด้วย!
นี่มันบังเอิญจริง ๆ นะเนี่ย!
แม้ลู่เซี่ยจะก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะได้อยู่หมู่บ้านเดียวกันหรือเปล่า หากใช่ พวกเขาจะต้องอยู่ด้วยกันอีกหลายปีเลยนะ
ลู่เซี่ยมองใบหน้าหล่อเหลาของกู่เซียงหนานอีกครั้ง พลางคิดในใจ ในใจว่าใบหน้าของผู้ชายคนนี้คงจะดึงดูดความสนใจจากสาว ๆ ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่ รถไฟก็ใกล้จะเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาแล้ว ทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นข้าง ๆ ลู่เซี่ย
คน ๆ นี้ไม่ได้ขึ้นมาคนเดียว แต่มีชายร่างใหญ่สองคนช่วยยกกระเป๋าเดินทางขึ้นมาให้ ทั้งยังช่วยจัดเก็บกระเป๋าให้เขาอีกด้วย
จากนั้นก็กำชับอะไรบางอย่างอยู่สักพักก่อนจะจากไป
ขณะเดียวกัน ที่ชานชาลานอกหน้าต่างข้าง ๆ ลู่เซี่ย ก็มีผู้หญิงหลายคนที่ดูเหมือนจะอายุยี่สิบถึงสามสิบปียืนอยู่ พวกเธอชะโงกคอเข้ามาพร้อมตะโกน “เสี่ยวโม่ ถ้าไปแล้วขาดอะไรก็ เขียนจดหมายมาบอกพวกเรานะ มีอะไรก็ส่งข่าวมาได้”
ส่วนคนที่อยู่ข้าง ๆ ลู่เซี่ยก็ตะโกนตอบพวกเธอกลับไป “รู้แล้วครับ พี่สาวคนโต พี่สาวคนที่สอง พี่สาวคนที่สาม พี่สาวคนที่สี่ พวกพี่รีบกลับไปกับพี่เขยเถอะ ผมไม่เป็นไร!”
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว