หนึ่งคืนผ่านไป...
ซุน ที่เข้าฌานบำเพ็ญตบะ ลืมตาตื่นขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงกระแสพลังปราณอันบริสุทธิ์ที่คละคลุ้งเต็มไปทั่วถ้ำแห่งนี้ ก่อนจะพบว่าเบื้องหน้าของตนนั้น กระบวนการสกัดดวงวิญญาณในเวลานี้เสร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อย... มองเห็นเม็ดโอสถปราณวิญญาณขนาดใหญ่ปลายนิ้ว ที่เปล่งแสงสว่างและมีไอปราณที่บริสุทธิ์แผ่ซ่านออกมา เพียงแค่สูดดมยังรู้สึกถึงลมปราณในร่างที่เดือดปะทุ
ดวงตาของ ซุน กลมโต เผยประกายตื่นเต้นขึ้น...
“สำเร็จแล้วงั้นหรือ!!”
เฒ่าชีเปลือย ที่เวลาเต็มไปด้วยดวงวิญญาณหญิงรับใช้รายล้อม ค่อย ๆ เหลียวมองมา มีรอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏขึ้น พร้อมพยักหน้า... “นี่แหละคือโอสถปราณวิญญาณที่สมบูรณ์ ทั้งยังถูกสกัดจากดวงวิญญาณของยอดฝีมือ ผลลัพธ์ของมันไม่ต้องสาธยาย...”
โอสถเม็ดนี้ถูกหลอมสกัดจากวิญญาณส่วนหนึ่งของ ซุน ที่แฝงไว้ ดังนั้นเพียงแค่ ซุน ยื่นมือไปเบื้องหน้า โอสถนี้ก็ลอยตรงมาหาราวกับมีชีวิต ความโปร่งแสงของมันคล้ายมีอณูวิญญาณลอยตลบอบอวลอยู่รอบ ๆ เม็ดยา... ซุน สามารถสัมผัสมันได้มิต่างวัตถุชิ้นหนึ่ง แต่หากเป็นบุคคลอื่นจะไม่สามารถจับต้องมันได้คล้ายเป็นภาพมายา...
แม้ว่าลมปราณบริสุทธิ์ในดวงวิญญาณของ เกาเทียนฉี อดีตยอดฝีมือชนชั้นลมปราณสีส้มขั้นที่ 5 จะแทรกซึมอยู่ในวิญญาณเพียงแค่ส่วนเดียวหลังจากที่ตกตายไป ทว่าแม้เพียงส่วนเดียวของชนชั้นราชันย์ สำหรับ ซุน ในเวลานี้ก็ยังนับว่ามากมายมหาศาลอยู่ดี ทำให้ ซุน สัมผัสได้ถึงลมปราณบริสุทธิ์ที่อัดแน่นอยู่ภายในเม็ดยา
“เฒ่าชีเปลือย... เจ้าแน่ใจนะว่าเข้าสามารถกลืนมันเข้าไปได้โดยตรง?!”
“หึหึ... อย่ามาดูถูกศาสตร์การสกัดดวงวิญญาณของข้าเชียว หลังจากสกัดตามวิธีการที่ถูกต้องโอสถปราณวิญญาณนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับลมปราณบริสุทธิ์ที่พร้อมจะยกระดับพื้นฐานได้โดยตรง... ตามการคำนวณของข้า โอสถเม็ดนั้นสามารถยกระดับชนชั้นลมปราณสีเขียวขั้นแรกสุดของเจ้า ขึ้นเป็นขั้นกลาง(ขั้น 4-6) ได้สบาย ๆ เลย ทว่าก็ขึ้นอยู่กับความเข้ากันได้ของตัวเจ้าและเม็ดยาเช่นกัน
สิ่งที่เจ้าต้องระวังก็คือ... อย่าหักโหมรีบร้อนดูดซับมันอย่างเด็ดขาด เพราะร่างกายของเจ้าจะรับการยกระดับในฉับพลันไม่ไหว ใช้เวลาที่เหลืออีก 3 วันก่อนจะเข้าสู่หอคอย ค่อย ๆ ดูดซับมันอย่างช้า ๆ เพื่อให้ร่างกายเจ้าคุ้นชินกับการยกระดับ
ข้าเคยเห็นผู้ที่อายุขัยหดหาย รวมไปถึงร่างกายที่แตกระเบิดมานักต่อนักแล้ว สำหรับที่คนเต็มไปด้วยความเร่งร้อนในการดูดซับพลัง... หากเจ้าไม่อยากเป็นเช่นเดียวกัน ก็สำเหนียกคำเตือนของข้าเอาไว้ให้มั่น...” เฒ่าชีเปลือย กำชับเสียงแข็ง ทำให้ ซุน แทบสำลักลมหายใจยามได้ยิน อดไม่ได้ที่จะนึกภาพตนเองที่ร่างกายแตกระเบิดขึ้นมาไม่ได้
หลังลูบ ๆ คลำ ๆ เม็ดยาอยู่สักระยะเพื่อตระเตรียมใจ ก็รู้ดีว่าตนเองมีเวลาไม่มากนัก ยิ่งยกระดับพลังให้สูงขึ้นมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะพิชิตหอคอยก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น... ต่อให้มี พยัคฆ์วาตะ เข้าช่วยเหลือ ทว่าด้านในหอคอยตามที่ ซุน ได้ศึกษามา จะมีพลังงานบางอย่างที่เรียกว่า “แรงกดดันจากหอคอย” ซึ่งจะทำให้การเดินทางในแต่ละชั้นที่สูงขึ้นไป ลำบากมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายจะหนักอึ้งราวกับถูกอำนาจบางอย่างกดทับลงมาตามความสูงของหอคอย
และยังมีสิ่งที่เรียกว่า “การปฏิเสธจากหอคอย” ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดที่ชัดเจนจากประตูวาสนา ว่าความสามารถของผู้ที่จะขึ้นไปบนหอคอยนั้น สามารถไปได้สูงสุดเพียงแค่ชั้นอะไรจาก 114 ชั้น ของจำนวนทั้งหมด
ทั้ง แรงกดดันจากหอคอย และ การปฏิเสธจากหอคอย คือสิ่งที่ ซุน ต้องฝ่าฝันด้วยตนเอง ไม่อาจได้รับการช่วยเหลือใด ๆ จาก พยัคฆ์วาตะ ได้แน่นอน หรือต่อให้ช่วยได้ก็ย่อมต้องมีขอบเขตที่จำกัด เพราะนี่คือกฎเหล็กที่หอคอยสร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นหอคอยแห่งใดจากทั้ง 5 หอคอยล้วนมีกฎเกณฑ์เหล่านี้ไม่แตกต่างกัน ดังนั้นมันจึงไม่เกี่ยวข้องกับบางสิ่งบางอย่างที่ครอบครองหอคอยอยู่ในเวลานี้...
สำคัญกว่านั้น การเข้าไปในหอคอยยังมีกฎเหล็กอีกข้อหนึ่ง นั่นก็คือเรื่องของระยะเวลา... ไม่ว่าผู้ใดที่จะเข้าไปจะต้องผ่านประตูวาสนาซึ่งอยู่ด้านหน้าทางเข้าหอคอย... ประตูวาสนา จะเป็นตัวกำหนด ว่าผู้เข้าไปในนั้นจะสามารถเดินทางไปได้แค่ชั้นที่เท่าไหร่
โดยผู้ที่รอดผ่านประตูวาสนาก่อนเข้าหอคอย จะมีลูกแสงทรงกลมที่ระบุหลายเลข ลอยอยู่เหนือศีรษะ และเมื่อเวลาผ่านไป 3 วัน ลูกแสงทรงกลมนี้ จะแปรเปลี่ยนเป็นพลังเคลื่อนย้ายนำส่ง ขอเพียงผู้ที่เข้าไปในหอคอยผู้นั้นยังไม่ตาย ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ส่วนใดของหอคอย ก็จะถูกส่งกลับออกมายังประตูวาสนาอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจอยู่ในหอคอยได้มากไปกว่า 3 วัน
กฎเกณฑ์เหล่านี้มีมานานเทียบเท่าประวัติศาสตร์แห่งยุคสมัย ถึงจะผ่านไปที่พันกี่หมื่นปีก็ไม่เคยถูกเปลี่ยนแปลง มันคือสิ่งที่ผู้จะเข้าไปแสวงหาโชควาสนาภายในหอคอย ต้องให้ความเคารพและให้การยอมรับ...
“โชควาสนาแห่งหอคอย... ตลอดหมื่นปีที่ไม่มีผู้ใดสามารถพิชิต... หากข้าไม่มีความเตรียมพร้อมทั้งกายและใจที่มากพอ หวังพึ่งพาผู้คนรอบข้างไหนเลยที่จะสามารถพิชิตโชควาสนาครั้งนี้ได้ หากทำได้ง่ายดายนักตลอดหมื่นปีมานี้ ก็คงมีผู้พิชิตจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว...” ซุน ตระหนักในความลำบากมากกว่าความสบาย การมองโลกในแง่ร้ายมีผลดีที่จะทำให้ตนมีความระมัดระวังตัวและเตรียมพร้อมที่มากกว่าปกติ
หลังสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ชายหนุ่มก็ตบเม็ดยาโอสถปราณวิญญาณเข้าไปในปากทันที สัมผัสได้ถึงการหลั่งไหลที่ค่อย ๆ แผ่ซ่านเข้าไปในร่างกาย ตรงไปยังเส้นลมปราณ ตรงไปยังจุดตันเถียน กระจายไปทั่วทั้งจิตวิญญาณ
ร่างกายของ ซุน ร้อนผ่าวขึ้น ราวกับมีระลอกคลื่นความร้อนที่บริสุทธ์แผ่ซ่านไปตลอดทั้งร่าง เส้นลมปราณเกิดการขยายและสั่นไหวอย่างรุนแรง จนร่างกายตอบสนองด้วยอาการสั่นเทา เหงื่อกาฬแตกซิกทั่วทุกรูขุมขน
ความรู้สึกที่ราวกับร่างกายจะขยายออก ทำให้ ซุน หวาดหวั่นใจเป็นอย่างมาก จำเป็นต้องควบคุมสะกดกั้นพลังมิให้โคจรรุนแรงเกินไป ยังดีที่ได้รับการย้ำเตือนจาก เฒ่าชีเปลือย มาก่อนล่วงหน้า ซุน จึงระงับการดูดซับพลังให้เชื่องช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้
พลังจากโอสถปราณวิญญาณ ราวกับน้ำในเขื่อนที่พร้อมจะแตกทลายออกมา... สิ่งที่ ซุน ทำได้ก็ไม่ต่างอะไรกับการวิดน้ำออกจากเขื่อนทีละถังอย่างไม่เร่งร้อน ใช้ความต่อเนื่องและมั่นคงเข้าสะกดข่มความบ้าคลั่ง...
เฒ่าชีเปลือย แม้ว่าคล้ายจะดูไม่สนใจ แต่อันที่จริงนั้นเฝ้าจับตามองอยู่ตลอดเวลา หากเกิดเหตุการณ์ที่เกินควบคุมก็พร้อมจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่จากที่พิจารณามาสักระยะแล้ว เมื่อเห็นว่า ซุน สามารถควบคุมได้ ความบ้าคลั่งของโอสถปราญวิญญาณในตอนแรก ค่อย ๆ ทุเลาลงตามลำดับ สีหน้าของ ซุน ก็ค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ...
“หึหึ... หากแค่นี้ยังทำไม่ได้ ข้าก็คงไม่ลำบากติดตามเจ้ามาแล้ว...”
วันเวลาค่อย ๆ ผ่านเลยไป ทางสำนักสายลมประจิม เริ่มที่การฝึกซ้อมขบวนศิษย์ที่จะเข้าไปในหอคอย ซึ่งจำนวนที่จะเข้าไปนั้น มีประมาณ 1 ใน 3 ของศิษย์ทั้งสำนัก โดยคัดเลือกจากศิษย์ที่มีความแข็งแกร่งสามารถดูแลตนเองได้ในระดับหนึ่ง จากแต่ละหอธาตุและหอศาสตรา จำนวนจึงมีเกือบสองพันคน แบ่งออกเป็นขบวนศิษย์สายนอก 1,500 คน และ ศิษย์สายใน 300 คน
ทั้งยังต้องมีการไปรวมตัวกับศิษย์ของสำนักบุปผาประจิม ในจำนวนที่ใกล้เคียงกันนี้อีกด้วย เป็นการเดินทางร่วมกันของทั้งสองสำนักตามธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาในทุก ๆ ปี โดยทางสำนักจะจัดกำลังชนชั้นผู้ฝึกสอนจำนวนหนึ่งที่มีระดับพื้นฐานลมปราณต่ำกว่าชนชั้นลมปราณสีส้ม รับหน้าที่คุ้มกันขบวนตลอด 3 วันภายในหอคอย
แต่สำหรับขบวนของ ศิษย์หลักนั้นจะแตกต่างออกไป...
กลุ่มศิษย์หลัก คือศิษย์ที่ทางสำนักสายลมประจิมให้การสนับสนุนอย่างที่สุด เพราะกลุ่มคนเหล่านี้คืออนาคตของสำนัก ถูกผลักดันสนับสนุนจนถึงขั้นว่าศิษย์หลักทุกคนจะได้รับ สัตว์อสูรเทียมพาหนะ คนละหนึ่งตัวก่อนจะเข้าหอคอย เพื่อที่จะได้เพิ่มความเร็วในการพิชิตไปยังชั้นที่สูงที่สุด ตามแต่โชควาสนาที่ได้รับ
ขบวนของศิษย์หลัก จะมีผู้ฝึกสอนชนชั้นลมปราณสีเหลืองขั้นสูงสุดหนึ่งคนเท่านั้น ที่ติดตามไปคอยคุ้มครอง และจะมีศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของสำนักในอันดับต้น ๆ เป็นผู้นำขบวน ซึ่งในปีนี้ก็มีจำนวนผู้นำขบวน 3 คน นั่นคือ เจี่ยโย่วเทียน ลั่วชิงเหอ และ ซุน
เจี่ยโย่วเทียน ได้รับหมาป่าอสูรขนาดใหญ่ตนหนึ่งเป็นพาหนะ ส่วน ลั่วชิงเหอ ได้รับจิ้งจอกอัคคีเป็นพาหนะ เวลานี้ทั้งสองกำลังฝึกซ้อมสั่งการขบวนศิษย์หลัก ซึ่งแต่ละคนได้รับสัตว์อสูรเทียมที่แตกต่างกันออกมา แต่ในด้านความแข็งแกร่งย่อมเทียบไม่ได้กับ หมาป่าอสูร และ จิ้งจอกอัคคี
จำนวนศิษย์หลักของปีนี้คือ 92 คน แบ่งเป็นแผนกวรยุทธดั้งเดิม 65 คน และแผนกวรยุทธประยุกต์ 26 คน โดยมี ซุน เพียงคนเดียวที่ไม่อาจระบุเจาะจงแผนก... หากมีการต่อสู้เกิดขึ้นระหว่างทาง ศิษย์หลักแผนกวรยุทธดั้งเดิม ที่มุ่งเน้นการใช้ศาสตราเป็นหลัก ก็เปรียบได้กับแนวหน้าต่อสู้ โดยมีแผนกวรยุทธประยุกต์ใช้ปราณธาตุเป็นฝ่ายสนับสนุน
ทว่าพลังในการต่อสู้ก็สามารถผันแปรได้ตามความชำนาญและความแข็งแกร่งในแต่ละคน อย่างเช่น ลั่วชิงเหอ ที่มักจะอยู่ในแนวหน้าเสมอตามอุปนิสัยมุทะลุไร้ความหวาดกลัว ดังนั้นเรื่องกลยุทธ์จึงไม่มีการกำหนดตายตัวมากนัก ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เป็นหลัก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ต้องมีผู้นำขบวนคอยตัดสินใจเรื่องนี้...
หลักการฝึกซ้อมขบวนมาสักระยะ ลั่วชิงเหอ ก็ขมวดคิ้วมุ่นอยู่บ่อยครั้ง เพราะไม่เห็น ซุน ปรากฏตัวออกมาเลยในการฝึกซ้อม... “เจ้าบ้านั่นมัวทำอะไรอยู่กันนะ... ปากก็บอกว่าไม่เคยเข้าไปในหอคอยแท้ ๆ แต่กลับไม่ยอมมาร่วมการฝึก”
เจี่ยโย่วเทียน เงียบขรึมเช่นเคย มองตรงไปยังตำแหน่งของร้อยถ้ำปิดด่าน...
“ผู้อาวุโสจุน แจ้งมาว่า ซุน ปิดด่านมาโดยตลอด ติดต่อไปก็เงียบงัน ไม่แน่ว่าเจ้านั่นอาจกำลังทะลวงผ่านขั้นพลังอยู่กระมัง?! ครั้งสุดท้ายที่เจอ เหมือนว่าเจ้านั่นจะอยู่ในจุดสูงสุดของชนชั้นลมปราณสีเขียวขั้นที่ 1 แล้ว คงคาดหวังจะเข้าสู่ขั้นที่ 2 ก่อนเข้าหอคอย...”
ลั่วชิงเหอ ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจ...
“จะว่าไป... เจ้าบ้านั่นก็ฝ่าทะลุในแต่ละขั้นได้ไวจริง ๆ หรือว่าเป็นเพราะสุราลมปราณที่มันพยายามเอามาขายต่อให้ข้ากันนะ?!”
เหล่าศิษย์หลักทุกคนได้ยินเช่นนั้นต่างก็สำลักลมหายใจ... ดูเหมือนว่าทุกคนจะเคยได้รับการติดต่อซื้อขายสุราลมปราณจาก ซุน กันมาอย่างถ้วนหน้า แม้แต่ เจี่ยโย่วเทียน ยังกระแอมไอขึ้นมาใบหน้าแดงก่ำ สามารถสังเกตเห็นเต้าสุราที่แขวนอยู่ข้างเอวได้เด่นชัดนัก...
วันเวลาผ่านเลยไป จนมาถึงในคืนสุดท้ายก่อนออกเดินทางในเช้าวันพรุ่งนี้...
กระแสลมปราณในถ้ำของ ซุน เกิดการหมุนวนอย่างรุนแรง จนสุราที่หมักบ่มไว้ล้มระเนระนาดเกิดความเสียหาย ระลอกลมปราณที่แผ่ล้นออกมานั้นมีจุดศูนย์กลางเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือร่างของชายหนุ่มที่นั่งขัดสมาธิมาตลอดหลายวัน...
ทันใดนั้นเอง... ซุน ก็ได้ลืมตาตื่นขึ้นมา...
“บรรลุชนชั้นลมปราณสีเขียว... ขั้นที่ 6 !!”
.......................................................
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว