“ครับอาม้า...เกี้ยมจะเป็นกระบี่ที่ดี กะ..เกี้ยมจะหาเพื่อนให้เยอะ ๆ อะ..อาม้าไม่ต้องเป็นห่วง”
หลิวเจี้ยนพยายามทำให้น้ำเสียงเป็นปกติ แต่ก็ยากเย็นเสียเหลือเกินจากความรู้สึกที่หมองหม่นที่เป็นอยู่
ดวงตาของคนเป็นแม่มองอย่างอ่อนโยน มือที่ลูบไล้บนใบหน้าของลูกชายในตอนนี้ก็ค่อย ๆ อ่อนแรง แต่กระนั้น นางยังมีอีกหลายเรื่องต้องพูด..ต้องบอกลูกชายของนางให้หมด
“เรื่องที่สอง... แซ่ของลูก.. 流 (หลิว หรือ เหล่า=กระแสน้ำ,สายน้ำ) หลิวนั้นก็คือสายน้ำที่ยิ่งใหญ่ ตัวของสายน้ำ ต่างมีทั้งคุณและโทษ อยู่ที่ลูกจะเลือกว่าอยากเป็นสายน้ำเช่นไร... จะเป็นสายน้ำที่เชี่ยวกราก พังทลายทุกสิ่งอย่างที่สาดซัดเข้าหา หรือจะเป็นกระแสน้ำที่มอบชีวิต คืนความชุ่มชื้นให้แก่สรรพสิ่ง... ก็อยู่ที่ลูกเลือก ทั้งนี้..น้ำก็ยังเป็นน้ำ อยู่ในลำธาร ย่อมคดเคี้ยวตามเส้นทาง อยู่ในแก้ว..ย่อมคงรูปเป็นแก้ว อยู่ในชาม..ย่อมคงรูปเป็นชาม ถึงแม้ว่าน้ำจะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนไปตามสิ่งต่าง ๆ แต่น้ำ..ก็ยังเป็นน้ำ อย่าได้หลงเปลี่ยนคิดว่าตนเองคือกระบอกใส่น้ำ”
“ครับอาม้า..เกี้ยมจะเป็นสายน้ำที่ให้คนอื่นพึ่งพิง และจะปกป้องทุกคนที่เกี้ยมรัก.. และเกี้ยมจะไม่มีทางลืมว่าเกี้ยมคือใคร..” บุรุษหนุ่มกล่าวพร้อมใช้มือข้างที่จับหัวใจขึ้นแตะมือข้างซ้ายของมารดา ด้วยรู้แล้วฉากตรงหน้ามันจะเป็นฉากใด
“ดีมาก..ลูกรัก ได้ฟังหนูพูดแบบนี้ อาม้าก็สุขใจ” กล่าวจบท่อนเมื่อครู่ น้ำเสียงและพลังชีวิตของหนานจื่อฮว่าก็พลันอ่อนโทรมลงจนน่าสังเวช แต่กระนั้น นางก็ยังคงมิยอมแพ้ อ้าปากอีกครั้ง
“สิ่งสุดท้าย.. ม้าไม่ต้องการที่จะให้หนูกลายเป็นยอดผู้เยี่ยมยุทธ์ ม้าแค่อยากให้หนูมีความสุขในทุก ๆ วัน ปัญหาทุกปัญหา ล้วนเข้ามาและเลยผ่าน หากหนักก็วาง ถ้าเหนื่อยก็พัก อย่าได้เก็บทุกสิ่งอย่างไว้ที่ตนเอง ใช้ชีวิตตามที่หนูคิดว่ามีความสุข.. แค่นี้..อาม้าก็พอใจแล้ว..”
บุรุษหนุ่มสูดน้ำมูกเสียงดัง มือที่จับอยู่กลับค่อย ๆ หนักขึ้น “ครับ..เกี้ยมจะ..เกี้ยมจะ..เกี้ยมจะ..มะ..มีความสุข จะทำให้ทุกวันเป็นวันทีดี อาม้าไม่ต้องเป็นห่วง”
ตุ๊บ..!! มือของคนเป็นแม่ล่วงตกลงบนเตียง พลังแห่งชีวิตตอนนี้ได้หมดสิ้นจริง ๆ แล้ว ใบหน้าของคนเป็นแม้ยิ้มแย้มอย่างมีความสุขพร้อมด้วยดวงตาที่ปิดสนิท แตกต่างกับคนเป็นลูกที่ใบหน้ายับยู่จนมิอาจดูได้ แม้เหตุการณ์นี้จะเคยเกิดขึ้นแล้ว แต่หลิวเจี้ยนเองก็มิอาจชินได้ หรือต่อให้เกิดอีกสักสิบครั้ง..ร้อยครั้ง บุรุษหนุ่มก็มิมีทางชินได้อยู่ดี มันสะเทือนใจเกินไป
เกี้ยมค่อย ๆ ฟุบหน้าลง สองมือจับประคองฝ่ามือของมารดาขึ้นมาแนบหน้า น้ำโศกที่สร้างจากนัยน์ตาต่างหลั่งไหลราวกับต้นน้ำที่เชี่ยวกราก แต่ทว่าในขณะที่ตัวคนกำลังโศกเศร้าอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“เกี้ยมลูกแม่...”
เหมือนทุกสิ่งอย่างย้อนกลับมาเหมือนครั้งแรก จากร่างที่เคยฟุบหมอบอยู่ข้างกายของร่างมารดา ตอนนี้กลับย้อนคืนสู่สภาพแรกเริ่ม ภาพตรงหน้า แม่ของมันกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ใช่แล้ว..นี้คือวังวนของบุปผาสิบหมื่นราตรี หากคนใจกล้าแกร่งไม่พอ ก็จะติดอยู่ในวังวนแห่งนี้มิอาจถอนตัวออกมาได้
“อาม้าพักผ่อนเถอะ..ไม่ต้องเหนื่อยอีกแล้ว... เรื่องที่อาม้าสั่งเสียมาทั้งหมด.. เกี้ยมล้วนท่องจำมันได้ขึ้นใจมานานแล้ว...” แม้ความคิดถึงจะมากมายแน่นคับอก แต่กระนั้น แค่เล่นวนซ้ำรอบเดียวมันก็เกินพอแล้ว ดวงตาของบุรุษชายที่เต็มไปด้วยน้ำตา ตอนนี้ค่อย ๆ เกิดแสงสีเหลืองทองสุดสว่าง
“แต่ก่อนที่เกี้ยมจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ พรรคมารราตรีค้ำฟ้าต้องถูกลบออกไปจากโลกใบนี้เสียก่อน เนตรจ้าวมังกร!!”
แม้ใจจะอยากอยู่ตรงนี้ให้นานกว่านี้ แต่กระนั้น หลิวเจี้ยนก็ต้องจำทนต้องตัดใจ หากตัวมันไม่ทำเช่นนี้ มิใช่แค่มันขังตนเองอยู่ในภาพมายาเพียงอย่างเดียว แต่จะเหมือนตัวของหลิวเจี้ยนกักขังวิญญาณแม่ของมันไม่ให้จากไปไหน ซึ่งเกี้ยมหรือหลิวเจี้ยนย่อมมิอยากให้เป็นเช่นนั้น
ทันทีที่ดวงตาของคนกลายเป็นสีทอง ภาพตรงหน้าค่อย ๆ บิดเบือน ภาพของแม่ที่นอนอยู่บนเตียงด้วยสภาพเหนื่อยอ่อน กลับค่อย ๆ กลายเป็นร่างของซุนโหวหวังสหายของมันที่นอนหงายหน้าอยู่บนพื้นหญ้า โดยที่ข้างตัวยังมีอี้ต้าเต๋อยืนอยู่
หลิวเจี้ยนรีบใช้แขนเช็ดน้ำตาของมันพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าออกปรับอารมณ์ให้สงบลง
“ไม่เลว..หลุดออกจากภวังค์ได้เร็วดี ขนาดสหายของเจ้าที่เข้าไปก่อนยังมิอาจถอนตัวออกมาได้ นับว่าเจ้าเยี่ยมยอดมาก” อี้ต้าเต๋อเอ่ยชมออกมาพร้อมมองไปที่ว่าที่ศิษย์น้องร่วมสำนักของมันด้วยความนับถือ
ในบรรดาด่านทดสอบทั้งหมด จะเรียกว่าด่านนี้เป็นด่านที่ยากที่สุดก็ว่าได้ การที่ผู้ใดหลุดออกมาได้เร็วไวเช่นนี้ มันบ่งบอกว่าคน..คนนั้นมีจิตใจที่กล้าแข็งขนาดไหน ซึ่งก็ทำให้อี้ต้าเต๋อรู้ได้ในทันที ว่าบุรุษหนุ่มผู้นั่งขัดตะหมาดคนนี้ต้องกลายมาเป็นศิษย์น้องของมันในไม่ช้า
“เหตุใดท่านยังไม่ไปอีก? อยู่เพื่อรอดูอะไร? หรืออยากเห็นน้ำตาและใบหน้าที่ย่ำแย่ของผู้อื่น?” แม้จะพยายามปรับอารมณ์แล้ว แต่เมื่อเห็นคนที่อยู่ตรงหน้าพูดชื่นชมทั้ง ๆ ที่ตัวของหลิวเจี้ยนเพิ่งผ่านเรื่องเศร้ามา มันก็อดไม่ได้ที่บุรุษหนุ่มจะเหวี่ยงอารมณ์กลับไป
“ข้าก็แค่อยู่ดู.. เนื่องด้วยเจ้ารู้จักบุปผาชนิดนี้..ทั้งยังรู้วิธีถอนพิษ เกิดข้าคล้อยหลังแล้วเจ้าแอบถอนพิษลับหลังข้า ใช่สำนักสี่ขุนเขาแห่งนี้จะได้พวกปลิ้นปล้อนที่เคลือบฉาบด้วยคุณธรรมเข้ามาเป็นศิษย์หรือ?” คนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจแต่ก็พยายามกดข่มอารมณ์เอาไว้
“ต่อไปด่านที่สี่.. เป็นด่านสุดท้ายแล้ว” อี้ต้าเต๋อยกนิ้วชี้ไปทางด้านขวา ที่เป็นส่วนที่ลึกเข้าไปอีกของป่าแห่งนี้ “ตรงเข้าไปอีกราว ๆ สองลี้ จะเป็นที่..ที่มีสัตว์อสูรชุกชุม เจ้าต้องทำการสังหารสัตว์อสูรเหล่านั้นแล้วนำแก่นปราณของสัตว์อสูรไปคิดแลกคะแนน โดยสัตว์อสูรระดับสัมผัสยุทธ์ขั้นต้นได้หนึ่งคะแนน สัตว์อสูรระดับกลางได้ห้าคะแนน สัมผัสยุทธ์ขั้นปลายได้สิบคะแนน”
“เก็บรวบรวมแก่นปราณให้ครบร้อยคะแนนเจ้าก็ผ่าน..กลายเป็นศิษย์ของสำนักนี้แล้ว แต่ในทุก ๆ ปี ล้วนมีการจัดหาคนที่ทำคะแนนการสอบได้สูงที่สุด หากเจ้าสามารถทำคะแนนได้สูงที่สุดติดหนึ่งในร้อยอันดับแรกในปีนี้ เจ้าก็จะได้รับรางวัลพิเศษ คือการมีสิทธิ์เข้าชมการประลองของคนที่จะได้เป็นศิษย์สำนักสาขาหลักในปีนี้”
อี้ต้าเต๋อกล่าวสืบต่อ สายตาสะกดไว้บนร่างของหลิวเจี้ยน “แต่หากเจ้าเก็บคะแนนแค่พอผ่าน ข้าคงผิดหวังแย่ ดูจากการสอบรอบเมื่อครู่ เจ้าน่าจะมีจิตใจที่กล้าแกร่งและดื้อด้านพอทน... อย่าทำให้ข้าผิดหวังเล่า... ศิษย์น้อง..”
ตอนนี้อี้ต้าเต๋อยอมรับในตัวของหลิวเจี้ยนแล้ว แม้ว่าคนตรงหน้าของมันในตอนนี้จะไม่ยอมรับตนเองเป็นศิษย์พี่ก็ตามที
“แล้วถ้าระดับสัมผัสปราณขึ้นไปล่ะ?” หลิวเจี้ยนเอ่ยถามอย่างหูผึ่ง แม้ไม่รู้ว่าการเข้าไปชมการประลองมันดีอย่างไร แต่อย่างน้อย ๆ มันก็ยังเป็นของรางวัลของหนึ่งร้อยอันดับแรก อย่างไรก็คงมีความหมายอยู่บ้าง
อี้ต้าเต๋อยกยิ้มขึ้น สายตาของมันนั้นมองไม่ผิด เจ้าคนอ่อนกว่าตรงหน้านั้นดื้อด้านจริง ๆ
“ระดับสัมผัสปราณได้ สิบห้า สี่สิบ หนึ่งร้อยคะแนนตามลำดับ” อี้ต้าเต๋อกล่าวก่อนค่อย ๆ ลอยร่างให้สูงขึ้นเหนือพื้น ซึ่งเรียกความตกใจได้จากหลิวเจี้ยนเป็นอย่างมาก
บุรุษหนุ่มตรงหน้าน่าจะแก่กว่าตนราว ๆ 4-5 ปี แต่มันกลับสามารถเหาะเหินได้เท่ากับมันต้องอยู่ในช่วงชั้นเข้าถึงขั้นต้น (เหนือพสุธา) เป็นอย่างน้อย ซึ่งก็ถือว่ารวดเร็วมาก เมื่อเทียบกับอายุของมันแล้ว
อี้ต้าเต๋อค่อย ๆ เหินขึ้นพร้อมกับหันมองไปทางซุนโหวหวัง “ระวังด้วย..สหายของเจ้าดูเหมือนมันจะตอบสนองกับภวังค์มากจนเกินไป ในระหว่างที่เจ้าตกอยู่ในภวังค์ไม่รู้สึกตัว ข้าได้ซัดใส่สหายของเจ้าไปถึงสองครั้ง ยามใดเมื่อมันออกมาจากภวังค์ ก็อย่าลืมให้มันกินยานี่เทียวล่ะ”
บุรุษผู้อายุมากกว่ากล่าวจบ ขวดยาที่ปิดจุกขวดหนึ่งก็ได้หล่นลงตรงใส่มือของหลิวเจี้ยน
หลิวเจี้ยนหยิบขวดหยกขวดนั้นขึ้นมาตรวจดู ตรงข้างขวดเขียนไว้ว่า 'ยาระงับปวดชนิดรุนแรง'
“ดะ..เดี๋ยว!! ท่านซัดหน้ามันแรงขนาดไหนเนี่ยถึงต้องใช้ยาชนิดรุนแรงขนาดนี้!!” บุรุษผู้หนุ่มกล่าวก่อนเงยหน้าขึ้น
แต่ตอนนี้ อี้ต้าเต๋อได้จากไปแล้ว หากหลิวเจี้ยนอยากทราบว่าสหายของมันเจ็บปวดขนาดไหน คงต้องรอมันตื่นฟื้นขึ้นมาก่อนถึงจะทราบ
แต่ไม่ต้องรอให้มันตื่นฟื้นขึ้นมาก็ได้ เมื่อหลิวเจี้ยนมองไปยังร่างของบุรุษหน้าขน ตรวจสอบใบหน้าในระยะไกลก็ได้เห็นแล้วถึงบาดแผลบนใบหน้า ตอนนี้ตาซ้ายของโหวหวังปูดบวม อีกแก้มซ้ายเองก็บวมเป่ง นี่ขนาดร่างของโหวหวังอยู่ไกลจากหลิวเจี้ยนกว่าสิบเมตร ยังมองเห็นดวงตาที่ปูดช้ำได้ชัดเจนขนาดนี้ ไม่อยากจะนึกเลยว่าหากเข้าไปมองใกล้ ๆ มันจะบวมขนาดไหน
คิดได้เช่นนั้น หลิวเจี้ยนก็ได้แต่ทิ้งร่างอยู่ที่เดิม ไม่คิดที่จะเดินเฉียดเข้าใกล้อีก นี่ยังไม่ถึงวันฮาโลวีน บุรุษหนุ่มยังไม่อยากเห็นผีในตอนนี้
หนึ่งเค่อ....
สองเค่อ....
สามเค่อ....
ครึ่งชั่วยาม....
เมื่อเวลาเลยผ่านไปถึงครึ่งชั่วยาม หลิวเจี้ยนที่นั่งสมาธิปรับลมปราณอยู่พลันเหล่สายมองไปตรงจุดเดิมที่สหายของมันนอนแผ่อยู่
นี่มันครึ่งชั่วยามแล้ว แต่ซุนโหวหวังก็ยังมิอาจลืมตาตื่น ตัวบุรุษหน้าขนมิอาจสลัดตัวให้พ้นหลุดออกจากภวังค์ของมันได้ ซึ่งทำให้หลิวเจี้ยนรู้สึกเป็นห่วงเป็นอย่างมาก แถมตัวของซุนโหวหวังเองที่ผ่านมายี่สิบนาที หลิวเจี้ยนก็ยังไม่เห็นสหายของมันเป็นแบบที่อี้ต้าเต๋อกล่าวเลย มันเพียงนอนนิ่ง ๆ มิได้ดิ้นทุรนทุรายแบบที่อี้ต้าเต๋อกล่าวแต่อย่างใด
“หรือว่ามันถูกต่อยจนหลับยาวไปแล้ว?” เมื่อคิดได้เช่นนั้น หลิวเจี้ยนยิ่งรู้สึกเป็นห่วงในตัวของสหายมากยิ่งขึ้น
แรงหมัดของคนช่วงชั้นเข้าถึง ย่อมรุนแรงกว่าหมัดของคนช่วงชั้นสัมผัสแน่นอนอยู่แล้ว แล้วเมื่อเทียบระดับพลังฝึกปรือของซุนโหวหวังที่อยู่ในช่วงชั้นสัมผัสขั้นต้น หากต้าเต๋อเผอเรอ มิได้เกร็งยั้งแรงเอาไว้ ตัวของโหวหวังก็มีสิทธิ์บาดเจ็บสาหัสหรือตายได้เลยทีเดียว
แม้จะมิอยากเห็นใบหน้าที่บวมช้ำของสหายในระยะใกล้ แต่กระนั้น หากเป็นจริงอย่างที่ตนคิดแล้วซุนโหวหวังได้รับการรักษาล่าช้าเกินไป ก็มีสิทธิ์ที่จะตายได้ทุกเมื่อ
หลิวเจี้ยนเร่งยืนขึ้นก่อนกระโดดคราเดียวก็ถึงจุดที่สหายของมันนอนอยู่ เมื่อเข้าใกล้ หูของหลิวเจี้ยนก็ได้ยินเสียงลมหายใจของสหายของสหายของมันในทันที แปลว่ายังไม่ตาย แต่กระนั้น ตัวบุรุษคิ้วบางใช่วางใจ มันรีบใช้มือลูบคลำตรวจสอบใบหน้าของสหาย ซึ่งก็ได้ทำให้หลิวเจี้ยนวางใจได้เสียที อี้ต้าเต๋อมิได้พลั้งออกแรงหมัดมากจนเกินไป มันยังออมแรงอยู่บ้าง
“เห้อ..โหวหวัง เวรก้ำ..เวรกรรม นี่คงเป็นเวรกรรมที่เจ้าทำกับหญิงสาวที่หน้าสำนักกระมัง” หลิวเจี้ยนกล่าวพร้อมส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้
“เฮือก!!”
คล้ายคำพูดของบุรุษคิ้วบางไปสะกิดอะไรบางอย่างในตัวของซุนโหวหวัง เจ้าบุรุษหน้าขนพลันดีดตัวเด้งลุกมาอย่างกับหลังติดสปริง ซึ่งด้วยความพรวดพราดนั้นเอง กลับสร้างความตื่นตกใจให้แก่หลิวเจี้ยน จนบุรุษคิ้วบางเผลอตัวปล่อยหมัดขวาของตนเองซัดใส่เข้าเบ้าตาขวาข้างที่โล่งอยู่ของโหวหวังเสียเต็มรัก
ทันทีที่ถูกหมัดของสหาย สติของคนที่เพิ่งดึงกลับมาได้พลันดับนิ่ง คราแรกที่นิ่งเพราะอยู่ในภวังค์จากฤทธิ์ของพิษหมื่นราตรี
ตอนนี้..ก็ด้วยฤทธิ์หมัดของสหายของมันเอง
“ชิบผายแล้ว!!” หลิวเจี้ยนอุทานออกมาเมื่อรู้ว่าตนทำพลาดผิด ก่อนค่อย ๆ ย่อตัวตบใส่หน้าของบุรุษหน้าขนเพื่อเรียกสติ “โหวหวัง..โหวหวังตื่นก่อน โหวหวัง!”
“งือ...เงอ..” นับว่าโหวหวังตอบสนองได้รวดเร็วมาก คล้ายหมัดเมื่อครู่ของหลิวเจี้ยนยังไม่แรงพอทำให้สติของซุนโหวหวังขาดห้วงได้นานขนาดนั้น
.
.
“อ้ายอ้าอั่นอันอล้าองอืออ่ออันเอยเออะ? (อ้ายบ้านั่นมันกล้าลงมือต่อฉันเลยเรอะ?) ”
ดวงแก้มขวาที่บวมเป่ง พร้อมกับความเจ็บปวดที่ขากรรไกร ทำให้บุรุษหน้าขนมิอาจกล่าวได้ชัดถ้อยชัดคำนัก อีกตอนนี้ดวงตายังปูดบวมทั้งสองข้าง ซึ่งทำให้มองเห็นอะไรได้ยากยิ่งนัก โชคยังดีที่ตาขวาข้างที่ถูกหมัดของหลิวเจี้ยนนั้นเบากว่ารอยหมัดของอี้ต้าเต๋อที่ตาซ้าย ทำให้โหวหวังยังพอมองอะไรได้จากตาข้างนั้นอยู่บ้าง
“ใช่แล้ว!! มันบอกเจ้าดิ้นมาก ตาซ้ายตาขวาและแก้มของเจ้า ล้วนเป็นมันที่ลงมือ” หลิวเจี้ยนโกหกตาใสออกไปอย่างแนบเนียน
“อี้อ้าเอ๋อ!! อออ่อนเออะ..อันอะเอาอืนเอ็งอ่างอาอม (อี้ต้าเต๋อ!! รอก่อนเถอะ..ฉันจะเอาคืนเอ็งอย่างสาสม) ”
บุรุษผู้หน้าปูดกล่าวออกมาด้วยความเจ็บแค้น ก่อนจะชกหมัดขวาใส่ฝ่ามือซ้ายของตนเองด้วยความโกรธ แต่เหมือนสิ่งที่ซุนโหวหวังเลือกทำจะคิดผิด ด้วยแรงสะเทือนนั้น กลับสั่นสะท้านไปถึงเบ้าหน้า ความเจ็บปวดต่างวิ่งแจ้นไปถึงสมองของคนพร้อมกับแผลที่ปวดตุบ ๆ
“เอาน่า..เอาน่า.. อย่างน้อยมันก็ยังรับผิดชอบ ทิ้งยาเอาไว้ให้เจ้า รีบ ๆ กินซะ”
หลิวเจี้ยนกล่าวพร้อมกับเปิดจุกยาแล้วเทสิ่งของที่อยู่ข้างในออกมา กลิ่นของโอสถนั้นลอยฟุ้งเตะจมูกของบุรุษหนุ่มคิ้วบางในทันที แค่เพียงกลิ่นที่ลอยเข้าไปในรูจมูก ก็ทำให้หลิวเจี้ยนรู้สึกสดชื่นแล้ว ยานี้สมแล้วที่เป็นยาที่ได้รับมาจากศิษย์เอกของรองเจ้าสำนักสาขาหลัก
“อับอิดออบอับอีอู่อันอ่ะอิ!! อันไอ่อ่อยอัน..อันอ็ไอ่อ้องอับอิบออบอะไอแอ้ว อันเองอ็ไอ้เอ็บอ้วย (รับผิดชอบกับผีปู่มันน่ะสิ!! มันไม่ต่อยฉัน..มันก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรแล้ว ฉันเองก็ไม่เจ็บด้วย) ”
แม้จะเจ็บที่ใบหน้ามาก แต่ใจของตนเองก็เจ็บช้ำเช่นเดียวกัน ในระหว่างที่มันไม่รู้สึกตัวกลับถูกลอบทำร้ายเช่นนี้ ช่างเป็นอะไรที่น่่าแค้นใจยิ่งนัก
โหวหวังรีบยืนมือไปหยิบยาในมือของหลิวเจี้ยน ก่อนจะยัดยานั้นเข้าปากพร้อมกับเคี้ยวยาด้วยความโกรธความโมโห แม้ใบหน้าจะเจ็บมากและยาจะสุดขม แต่กระนั้น ซุนโหวหวังก็เคี้ยวยาเม็ดนั้นแหลกคาปากก่อนกลืนลงไปด้วยความคั่งแค้น
“อันอะอาอางแอ้แอ้นอันใอ้ไอ้เอยออยอู!! (ข้าจะแก้แค้นมันให้ได้เลยคอยดู!!) ”
“ก่อนนายจะคิดไปแก้แค้นใคร รีบ ๆ ไปคายลิ้นทิ้งก่อนเถอะ.. ไปหามันในสภาพนี้ ระวังอี้ต้าเต๋ออะไรนั่นจะหัวเราะซ้ำเติม..คิดว่าเจ้าไปเล่นตลกให้มันดูล่ะ”
---------------------------
พอดีตอนนี้กับตอนที่แล้วมันคือบทที่เขียนยาวต่อก่อน จะหาจุดตัดที่ดูไม่ห้วนไม่สะดุดตายากเลยอาจทำให้ตอนจบของบทที่แล้วและตอนเริ่มมันดูแปลก ๆ ไปหน่อย ขออภัยด้วยครับ
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว