ตอนนี้เป็นช่วงที่อากาศกำลังร้อนจัด ยังเหลือเวลาเกือบหนึ่งเดือนกว่าจะเข้าสู่ฤดูการทำนา ในท้องนาจึงไม่ค่อยมีคน ชายหญิงวัยแรกแย้มนิยมหาที่ร่ม ๆ พบปะและนั่งพูดคุยกัน
และด้วยเหตุนี้ กลุ่มของชาวตระกูลลู่ที่เพิ่งเดินเข้ามาในหมู่บ้านจึงเป็นที่ดึงดูดสายตาของคนจำนวนมาก สีหน้าของทุกคนไม่ค่อยยินดีเท่าไรนัก ชาวบ้านที่อยากรู้อยากเห็นคนหนึ่งเอ่ยถามออกมา “ใต้เท้า ชาวบ้านในหมู่บ้านพวกเราก็เยอะมากพออยู่แล้ว เหตุใดยังส่งผู้ลี้ภัยกลุ่มใหญ่ขนาดนี้เข้ามาอีก?”
คนอื่นต่างสำทับ “ใช่ ๆ นี่เป็นผู้ลี้ภัยทั้งนั้น เนื้อตัวสกปรก แถมยังมีแผลเต็มตัวอีก ใครจะไปรู้กันว่าพวกเขาเป็นใคร!”
“แล้วนี่หากมีโรคมาด้วย เอามาแพร่เชื้อให้คนในหมู่บ้านจะทำอย่างไร?”
ทุกคนต่างพร่ำบ่นด้วยความไม่พอใจ และเข้ามาขวางทางไม่ให้คนกลุ่มนี้เข้าไป
“บังอาจ! นี่เป็นการจัดการของนายท่าน พวกเจ้ามาขวางทางเช่นนี้คิดจะก่อกบฏรึ?”
จางเทียนตะคอกพร้อมชักดาบออกมาด้วยความโมโห สร้างความตกใจให้กับชาวบ้านจนต้องถอยออกไป กระนั้นสีหน้าของพวกเขายังคงบอกชัดถึงความรังเกียจและไม่ต้อนรับ
หมู่บ้านอันผิงใหญ่มาก ผู้คนที่อาศัยในนี้ก็มีนิสัยหลากหลายแตกต่างกันไป ต่างจากหมู่บ้านเล็ก ๆ หลายแห่งที่อาศัยอยู่กันแค่คนตระกูลเดียวกัน อาจมีเรื่องกระทบกระทั่งกันบ้างทว่านั่นก็เป็นเรื่องภายใน แต่ยามที่ต้องรับมือกับคนนอกพวกเขาก็ร่วมใจกันขับสู้
ตระกูลลู่ฉลาดที่ไม่พูดอะไรในตอนนี้ เรื่องนี้ปล่อยให้เจ้าหน้าที่เป็นคนจัดการ การที่นายอำเภอส่งเขามาเห็นได้ชัดว่าคงคาดไว้แล้วว่าหากมาถึงหมู่บ้านอันผิงจะต้องเจอกับอะไร
“ผู้นำหมู่บ้านล่ะ พาพวกข้าไปหาผู้นำหมู่บ้านเดี๋ยวนี้ เรื่องในหมู่บ้านไม่จำเป็นต้องให้พวกเจ้ามายุ่ง!”
จางเทียนถือดาบไว้ในมือ ดวงตาแข็งกร้าวกวาดมองทุกคน เหล่าชาวบ้านจึงไม่กล้าบันดาลโทสะอีก
พวกเขามีคนมากกว่าไหนเลยจะกลัวคนถือดาบแค่คนเดียว เพียงแต่อีกฝ่ายเป็นคนของหลวง หากพวกเขาล่วงเกินข้าหลวง ชีวิตหลังจากนี้ไม่มีทางได้อยู่เป็นสุขแน่นอน
ด้วยเหตุนี้แม้อยากจะต่อต้าน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมนำทางกลุ่มคนแปลกหน้าไปที่บ้านผู้นำหมู่บ้าน
ช่างเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่ ชาวบ้านในหมู่บ้านเกินครึ่งรวมตัวกับกลุ่มคนตระกูลลู่ตั้งขบวนมุ่งหน้าไปที่บ้านผู้นำหมู่บ้าน เมื่อมาถึงตัวแทนก็เข้าไปเคาะประตู
ผู้นำหมู่บ้านที่กำลังนั่งรับลมอยู่ในลานบ้านรีบออกมาเปิดประตู เมื่อเห็นผู้คนเนืองแน่นก็ผงะไป แต่เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ทางการและคนแปลกหน้ากลุ่มหนึ่งทางด้านหลังก็เข้าใจทันที
“ใต้เท้า ไหนก่อนหน้านี้บอกว่าหมู่บ้านของพวกเรามีชาวบ้านเยอะแล้ว จะไม่ส่งคนมาอีกไม่ใช่หรือ หรือว่านี่จะเป็น…”
โชคดีที่ผู้นำหมู่บ้านเป็นข้าหลวงระดับต่ำ จึงได้รับข่าวสารเร็วกว่าคนทั่วไป ตอนที่รู้ว่าเฉินอ๋องจะเปิดเมืองรับผู้ลี้ภัย เขาก็ไปสอบถามสถานการณ์ที่ที่ว่าการอำเภอมาแล้ว เขาจึงจำได้ว่านายอำเภอบอกมาเช่นนั้น
“ทางการสั่งมา คนตระกูลลู่มีความดีความชอบ พวกเจ้าอย่าคิดเรื่องไม่สมควรเด็ดขาด หากเบื้องบนตรวจสอบขึ้นมาละก็ ต่อให้เป็นนายอำเภอก็ช่วยพวกเจ้าไม่ได้!”
จางเทียนกล่าวแกมข่มขู่ ชาวบ้านจึงเริ่มพูดคุยกัน แม้แต่ผู้นำหมู่บ้านเองก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปโดยพลันเช่นกัน
คนตระกูลลู่หันมองหน้ากัน ในใจตระหนักว่าจากนี้ไปความเป็นอยู่ของพวกเขาในหมู่บ้านนี้คงไม่สงบสุข
แต่ไม่เป็นไร
ระหว่างทางพบเจออุปสรรคตั้งมากมายยังผ่านมาได้ นับประสาอะไรกับเรื่องแค่นี้ จะกลัวชาวบ้านพวกนี้ไปทำไมกัน กาลเวลาจะพิสูจน์คนเอง อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ ต้องอยู่ร่วมกันได้อย่างแน่นอน
หลังจากผู้นำหมู่บ้านชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียในใจแล้ว จึงเผยสีหน้ายินดีออกมา และเอ่ยกับผู้เฒ่าลู่ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ในเมื่อมาหมู่บ้านอันผิงแล้วก็นับว่าเป็นชาวบ้านของหมู่บ้านอันผิง ข้าชื่อหวังหยวน เป็นผู้นำหมู่บ้านแห่งนี้ มีเรื่องอะไรในหมู่บ้านก็มาหาข้าได้ ข้าจะจัดการอย่างยุติธรรมแน่นอน”
เมื่อผู้นำหมู่บ้านต้อนรับเช่นนี้จางเทียนจึงวางใจและกลับไป
เรื่องมาถึงขั้นนี้ พวกชาวบ้านก็ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์อะไรอีก เพียงแต่ยังยืนอยู่บริเวณรอบ ๆ บ้านของผู้นำหมู่บ้านเพื่อดูเหตุการณ์
“ทุกคนฟังกันให้ดี นับจากนี้ไปพวกเขาก็คือสมาชิกของหมู่บ้านพวกเรา ช่วยเกรงใจข้าด้วยล่ะ! อย่าทำอะไรให้พวกเขาต้องลำบากใจเด็ดขาด เมื่อครู่ท่านเจ้าหน้าที่ก็บอกแล้วว่าพวกเขามีความดีความชอบ หากเกิดความผิดพลาดใดขึ้นในหมู่บ้าน ข้าไม่ละเว้นพวกเจ้าแน่!”
ทุกคนเงียบ ในใจแอบขุ่นเคือง
ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังไม่มีใครพูดอะไร ผู้นำหมู่บ้านจึงเริ่มโมโห และตะโกนขึ้น “ได้ยินหรือไม่!?”
ทุกคนยังคงเงียบ กระทั่งมีคนหนึ่งพูดขึ้น “ที่ทำกินในหมู่บ้านก็มีน้อยอยู่แล้ว พวกเขามีกันเป็นโขยงเช่นนี้จะแบ่งที่ดินกันอย่างไร คงไม่ให้พวกข้ายกที่นาของตัวเองให้พวกเขาหรอกกระมัง หากเป็นเช่นนั้น ข้าเป็นคนแรกที่ไม่เห็นด้วย!”
คนเป็นชาวนา สิ่งที่หวงแหนมากที่สุดก็คือที่ดิน เนื่องจากคนในหมู่บ้านมีจำนวนมาก ที่ดินเฉลี่ยต่อคนก็ได้กันน้อยอยู่แล้ว หากแบ่งให้คนอื่นอีก ต่อให้ข้าหลวงมาเอง พวกเขาก็ไม่มีทางยอมเด็ดขาด!
ผู้นำหมู่บ้านหันขวับไปจ้องเขม็งคนผู้นั้น แต่ก็เข้าใจว่าทุกคนอยากรู้ว่าเรื่องนี้จะจัดการเช่นไร จึงอธิบาย “สิ่งที่เป็นของพวกเจ้าก็ยังคงเป็นของพวกเจ้า ไม่มีใครแย่งไปได้ หากพวกเขาอยากได้ก็ต้องซื้อจากพวกเจ้าเอง”
นี่เป็นการบอกให้ชาวบ้านได้รู้ ขณะเดียวกันก็เป็นการแจ้งกับคนตระกูลลู่ด้วย ว่าหมู่บ้านอันผิงจะไม่มีการแบ่งที่ดินให้
ครั้งนี้พวกชาวบ้านพึงพอใจ ทว่ากลุ่มคนตระกูลลู่กลับยิ้มไม่ออก ต้องการที่ทำกินก็ต้องซื้อ แล้วพวกเขาจะเอาเงินมากมายปานนั้นมาจากไหน?
…หรือว่าพวกเขาคิดผิดที่เลือกมาอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้
มีเพียงเหอจิ่วเนียงและนางซุนที่ยังคงสงบนิ่ง นางซุนคิดว่าตอนนี้มีเงิน แม้ต้องชักเงินซื้อก็สามารถซื้อได้ ส่วนเหอจิ่วเหนียงกลับคิดว่าต่อให้ไม่มีที่นานางก็อยู่ได้ ดังนั้นจึงไม่รู้สึกตื่นตระหนกแต่อย่างใด
ซุ่ยเอ๋อร์แอบดึงชายเสื้อเหอจิ่วเหนียง แววตาเต็มไปด้วยความร้องขอ อยากให้นางคิดหาวิธี
เพราะอย่างไรเสีย ตลอดการเดินทางที่ผ่านมาทุกคนล้วนฟังนาง
เหอจิ่วเหนียงพลันกลัดกลุ้มใจ นางไม่อยากเป็นผู้นำในเรื่องนี้ แต่ใครใช้ให้นางได้รับความไว้วางใจจากทุกคนกันเล่า
นางส่งเสียงกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามผู้นำหมู่บ้าน “ท่านผู้นำหมู่บ้าน หากหมู่บ้านไม่มีที่นาให้พวกเรา เช่นนั้นพวกเราไปถางป่ารอบ ๆ นี่ได้หรือไม่เจ้าคะ?”
อย่างไรเสียภูเขาก็อยู่ไม่ไกล ขอเพียงยอมทำก็ไม่มีทางสิ้นไร้ไม้ตอกแน่นอน
ผู้นำหมู่บ้านคาดไม่ถึงว่าหญิงสาวผู้นี้จะคิดเรื่องเหล่านี้ได้ “ย่อมได้อยู่แล้ว เพียงแต่ที่ดินที่สภาพดีหน่อยบนภูเขาใกล้ ๆ นี่ล้วนถูกถางหมดแล้ว พวกเจ้าไปตอนนี้เกรงว่าคงไม่มีเหลือ”
เหอจิ่วเหนียงยิ้มพลางกล่าว “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ดูแลใส่ใจดี ๆ สามปีห้าปีก็เปลี่ยนให้เป็นดินดีได้”
ชาวหมู่บ้านอันผิงรู้สึกว่าสตรีผู้นี้กำลังเพ้อฝัน ดินบนภูเขาจืดเช่นนั้น บางจุดก็ไม่มีน้ำ แล้วจะปลูกพืชพันธุ์อะไรให้งอกเงยได้
แต่ตระกูลลู่กลับถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างน้อยมีก็ดีกว่าไม่มี ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเชื่อคำพูดของเหอจิ่วเหนียง
ผู้นำหมู่บ้านไม่นึกเลยว่าผู้อพยพกลุ่มนี้จะไม่เรียกร้องให้แบ่งที่ทำกินอย่างไร้เหตุผล จึงมีท่าทีต่อพวกเขาดีขึ้นไม่น้อย จากนั้นจึงพูดแค่สองสามประโยคไล่ชาวบ้านที่ห้อมล้อมอยู่กลับไป และให้กลุ่มคนมาใหม่เข้ามาในลานบ้านเพื่อจัดการขั้นตอนต่อไป
บ้านของผู้นำหมู่บ้านมีสมาชิกในครอบครัวหลายคน ทันใดนั้นลานเล็ก ๆ ก็แน่นขนัด โชคดีที่ทุกคนสามารถหลบแดดใต้ชายคาได้จึงไม่ร้อนมากนัก
“เอาละ คือมันเป็นเช่นนี้นะ…” ผู้นำหมู่บ้านเอ่ยขึ้น “...เรื่องที่ทำกิน เมื่อครู่พวกเจ้าก็ได้ยินแล้วว่าพวกเจ้าต้องหาซื้อเอาเอง ไม่ว่าจะซื้อกับคนในหมู่บ้านเดียวกัน หรือกับพวกเถ้าแก่ พวกนายหน้าก็ได้ทั้งนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเจ้า”
ทุกคนพยักหน้าเข้าใจ
ผู้นำหมู่บ้านเอ่ยต่อ “ส่วนเรื่องที่อยู่อาศัย ในหมู่บ้านเรามีบ้านว่างอยู่หลายหลัง แต่ถูกทิ้งร้างมานานหลายปี ตอนนี้จึงเข้าไปอยู่ไม่ได้ พวกเจ้าต้องซ่อมแซมเอาเองอย่างหนักเลยละ และก็ใช่ว่าข้าให้พวกเจ้าอยู่เปล่า ๆ ปัจจุบันบ้านเหล่านั้นเป็นทรัพย์สินของหมู่บ้าน หากพวกเจ้าอยากเข้าไปอยู่ก็ต้องจ่ายเงินค่าเช่า หรือจะซื้อไปเลยก็ได้”
.
.
.
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว