5. วิวาห์หวานรัก -3

โดย  เบนจี้/B.J./BENJE

5. วิวาห์หวานรัก

3

กายกินบัว

7

เรียกฉันว่า "ป๊า"



สามวันต่อมา

เสียงเจียวจ้าวของเด็กๆ ดังขึ้นมาอย่างสนุกสนานภายในโรงเรียนอนุบาลหมีน้อยแห่งหนึ่ง มันทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ที่โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง ผมมาที่นี่ทำไมนะเหรอ ผมก็มาทำธุระของผมยังไงล่ะ เดี๋ยวก็รู้กันเองว่าธุระของผมมันคือเรื่องอะไร

ผมมองโรงเรียนอนุบาลที่อยู่ตรงหน้าอย่างชั่งใจก่อนที่จะตัดสินใจเดินเข้าไปในเขตโรงเรียนที่มีเด็กตัวเล็กๆ วิ่งอยู่เต็มไปหมด แต่มีเด็กแค่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้ผมสนใจอยู่ในตอนนี้

“เอ่อ ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ”

ระหว่างที่ผมกำลังกวาดสายตามองหาเด็กชายที่มีใบหน้าเหมือนกันกับผมอยู่นั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งที่น่าจะครูประจำที่นี่เดินเข้ามาถามผม

“ผมมารับลูกครับ”

ผมเอ่ยเสียงเรียบเธอเลยขมวดคิ้วมองหน้าผมด้วยสายตาสงสัย คงเป็นเพราะผมพึ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกมั้งเลยดูไม่ค่อยไว้ใจผมยังไงก็ไม่รู้ แต่ผมทำให้เธอหายสงสัยเองแหละ

“นักรบ ลูกชายผม”

ผมเอ่ยไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอกลับเบิกตากว้างขึ้นมาด้วยความตกใจแทน เพราะตอนนี้ผมอยู่ในชุดนักศึกษาที่ไม่ค่อยจะถูกระเบียบสักเท่าไหร่มาเอ่ยอ้างว่าเป็นพ่อของเด็กที่อยู่ในนี้แบบนี้ เป็นใครก็ต้องตกใจเป็นธรรมดา

“เอ่อ”

“คุณครูฮะๆ ชีโน่แย่งของนาเดียครับ”

จู่ๆ ก็มีเด็กชายตัวเล็กๆ วิ่งเข้ามาหาผมกับครูที่กำลังยืนคุยกันอยู่ และเด็กชายคนนี้ก็คือคนคนเดียวกันกับคนที่ผมกำลังตามหาอยู่ นักรบไง

“อ้าว คุณลุง”

แต่ทันทีที่นักรบหันมามองหน้าผม ก่อนที่นักรบจะเอ่ยทักผมขึ้นมาทันทีก่อนที่จะฉีกยิ้มกว้างส่งมาให้ผม ผมเลยส่งยิ้มบางๆ กลับไปให้ก่อนที่จะกวาดสายตามองลงที่หัวเข่าขาวๆ ของนักรบที่ยังมีผ้าพันแผลปิดอยู่ด้วยสายตาเป็นห่วง ไม่รู้สิ ตั้งแต่รู้ตัวว่าตัวเองลูก ผมก็ดูเหมือนว่าจะดูเป็นคนรักเด็กขึ้นมาเลยยังไงยังงั้น ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนผมเป็นคนเกลียดเด็กจะตาย ก็เด็กชอบร้องไห้เสียงดังไง ผมเลยไม่ชอบ

“ผมคงไม่ต้องยืนยันอะไรแล้วใช่ไหมว่าผมเป็นพ่อของเด็กคนนี้จริงๆ ในเมื่อหน้าของเราเหมือนกันซะขนาดนี้”

ผมเอ่ยบอกคุณครูคนนั้นเสียงเบาเพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคนเพราะยังไม่อยากให้นักรบรู้ตอนนี้ เพราะผมจะค่อยๆ ป้อนให้ลูกผมรู้เองว่าผมเป็นใครกันแน่

“ลุงมาได้ไงฮะ”

“มารับรบนี่แหละ”

ผมเอ่ยก่อนที่จะย่อตัวลงไปนั่งคุยอยู่ในระดับเดียวกันกับนักรบ แต่จะว่าไปดูกี่ครั้งกี่ครั้งเด็กนี่ก็หน้าเหมือนผมจริงๆ นั่นแหละ ไม่น่าเชื่อว่าเชื้อผมแรงขนาดนี้ แรงแบบว่าไม่มีส่วนไหนคล้ายบัวบูชาเลยไง แต่ก็มีอย่างหนึ่งนะที่คล้ายก็คือกลิ่นประจำตัวของทั้งคู่ยังไงล่ะที่มันเหมือนกัน

“มารับรบทำไม วันนี้ม๊าบัวเป็นคนมารับรบนี่นา”

นักรบเอ่ยก่อนที่จะทำหน้าคิดไปด้วย

“มารับไปกินติม สนใจเปล่า”

ผมเอ่ยก่อนที่จะส่งยิ้มกวนๆ ไปให้เด็กตัวน้อยที่หน้าตาเหมือนผมอย่างกะแกะไปด้วย แต่ทันทีที่ผมเอ่ยแบบนั้นออกไปนักรบที่ตั้งใจฟังผมอยู่ก็ตาเป็นประกายขึ้นมาทันทีที่ได้ยินว่าผมจะไปเขาไปไหน

“ติมเหรอ เย้ๆ”

นักรบร้องออกมาด้วยน้ำเสียงดีใจก่อนที่จะกระโดดโลดเต้นไปมา จนคนที่มองอยู่อย่างผมก็ได้แต่ใจหายใจคว่ำไปด้วยเพราะกลัวว่าจะพลาดท่าล้มลงแล้วเจ็บตัวขึ้นมาอีก

“หยุดกระโดด แล้วไปเอากระเป๋ามา”

ผมเอ่ยเสียงเรียบแต่ตาของผมกำลังมองไปที่ร่างเล็กๆ นั่นของนักรบไปอย่างตำหนิอยู่ เด็กน้อยเลยหยุดกระโดดทันทีก่อนที่จะรีบวิ่งไปหยิบกระเป๋าของตัวเองแล้ววิ่งกลับมาหาผมอย่างรีบร้อน เฮ้อ เด็กน้อเด็กไม่รู้จะรีบร้อนไปไหน เดี๋ยวก็หกล้มเข้าหรอก แผลเก่าก็ยังไม่หายดีอยู่ด้วย ถ้าเกิดล้มขึ้นมาอีก เมื่อไหร่มันจะหายกันละ

“มาเดี๋ยวอุ้ม”

ผมเอ่ยก่อนที่จะย่อตัวลงไปอุ้มนักรบขึ้นมาด้วยแขนข้างหนึ่งของตัวเอง ส่วนแขนอีกข้างก็ถือกระเป๋าใบเล็กของนักรบไปด้วย แต่ผมก็ต้องแปลกใจขึ้นมาอีกครั้งเมื่อทันทีที่ผมอุ้มนักรบขึ้นมาแขนเล็กของนักรบก็กอดรัดเข้าที่รอบคอของผมไว้ทันที ทำไมผมถึงรู้สึกแปลกแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนน่ะ มันเหมือนความรู้สึกที่คุ้นเคยแปลกๆ

“ฝากบอกแม่นักรบด้วยว่าพ่อมันมารับ ถ้ามีอะไรโทรมาเบอร์นี้”

ผมเอ่ยก่อนที่จะยืนกระดาษที่ผมเขียนเบอร์โทรของตัวเองเอาไว้แล้วยื่นมันส่งไปให้ครูประจำโรงเรียนที่ยังคงทำหน้าตาตกใจอยู่ ก่อนที่จะเดินออกมาทันทีอย่างไม่รีรออะไร

“คุณลุงชื่ออะไรฮะ”

ระหว่างที่ผมกำลังอุ้มพานักรบเดินไปที่รถของผมอยู่นั้นเสียงเล็กๆ ของนักรบก็เอ่ยถามผมขึ้นมาพร้อมกับมองหน้าผมด้วยสายตาที่ตั้งคำถามส่วนมือของนักรบก็กอดรอบคอผมไว้อยู่อย่างนั้นแหละ

“กาย”

ผมเอ่ยเสียงเรียบก่อนที่จะเปิดประตูรถออกแล้วพานักรบไปนั่งที่เบาะข้างคนขับแล้วคาดเข็มขัดให้ทันทีอย่างเสร็จสรรพ ก่อนที่จะเดินอ้อมมาอีกฝั่งแล้วเข้าไปในรถทันที

“งั้นรบเรียกลุงว่า ลุงกายนะ”

ทันทีที่ผมนั่งประจำที่ตัวเองแล้ว นักรบก็เอ่ยถามอีกครั้ง

“ไม่ต้อง เรียกป๊ากายดีกว่า”

ผมเอ่ยก่อนที่จะสตาร์ทเครื่องยนต์ของรถให้ทำงาน แล้วหันไปมองหน้าของนักรบที่มองมาที่ผมด้วยสายตางุนงงอยู่ คงงงละสิว่าทำไมผมต้องให้นักรบเรียกแบบนั้น ก็ผมเป็นพ่อจะให้เรียกลุงได้ยังไง มันเป็นไปไม่ได้

“ป๊า รบไม่เรียกหรอก ลุงไม่ใช่พ่อของรบซะหน่อย”

ใครว่าล่ะผมนี่แหละคือพ่อแท้ของนักรบเลยแหละ

“ต้องเรียก”

ผมเอ่ยขึ้นมาอย่างเอาแต่ใจ นักรบก็มองทาที่ผมด้วยสีหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรในหัวอยู่ ก่อนที่จะตอบออกมาว่า

“ก็ได้ รบเรียกป๊าก็ได้ โตขึ้นรบจะได้หล่อๆ เหมือนป๊าไง”

อ่า ทำไมผมถึงรู้สึกดีแบบนี้วะที่ลูกตัวเองเรียกผมว่าป๊าแบบนี้ แบบนี้สินะความรู้สึกของการได้เป็นพ่อคน มันรู้สึกอย่างนี้นี่เอง

“หล่ออยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง”

ลูกผมมันก็ต้องหล่อได้พ่อสิพ่อมันหล่อขนาดนี้ถ้าลูกไม่หล่อก็คงไม่ใช่ลูกผมแล้วล่ะ ผมหันไปมองหน้านักรบครั้งหนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจขับรถออกไป เพราะวันนี้ผมวางแผนมาไว้ว่าผมจะเริ่มชิงตัวลูกตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

เวลาต่อมา

ระหว่างที่ผมขับรถอยู่นั้นก็มีนักรบค่อยชวนคุยอยู่ตลอดตามประสาเด็กที่กำลังอยากรู้อยากเห็นนะ ผมก็ไม่ได้รำคาญหรือว่าหงุดหงิดอะไรด้วยสิ แต่กลับรู้สึกดีที่นักรบเข้ากับคนได้ง่ายแบบนี้ แต่อีกใจหนึ่งผมก็หวั่นๆ ว่าถ้าเกิดนักรบไปกับคนอื่นง่ายแบบนี้ ผมจะอันตรายไหมนะ แบบว่าจะโดนหลอกไปขายอะไรประมาณนี้ ลูกผมยิ่งหน้าตาน่ารักอยู่ด้วยสิ ผมชักเริ่มห่วงแล้วแหละ

“เป็นไรทำไมเงียบไปล่ะ”

ผมเอ่ยถามเมื่อคนที่นั่งข้างๆ ผมเริ่มเงียบเสียงลง มาเลยละสายตาจากถนนไปมองหน้าของนักรบสักพักก็ปรากฏว่าตอนนี้นักรบกำลังนั่งทำตาเยิ้มสะลึมสะลือเหมือนคนกำลังจะหลับยังไงก็ไม่รู้

“ง่วง?”

ผมถามแล้วนักรบก็พยักหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ สงสัยคงวิ่งเล่นตามประสาเด็กทั้งวันมั้งถึงได้รู้สึกเพลียแบบนี้ เด็กนี่นะ ทำอยู่ไม่กี่อย่างก็แค่กิน เล่น นอน ทำอยู่แค่นั้นมันไม่มีอะไรมากไปกว่านี้แล้ว สงสัยคงได้เวลานอนของนักรบแล้วมั้ง เพราะวันนี้ผมไปรับนักรบมาก่อนเวลาด้วย นี่ก็บ่ายสองโมงแล้ว น่าจะเป็นเวลานอนของเด็กใช่ไหม

“ทำไมไม่นอน”

ผมเอ่ยถามอีกครั้งเพราะนักรบยังคงฝืนลืมตาอยู่ไม่ยอมหลับตาลงสักที

“รบนอนไม่หลับ ไม่มีไรกอด”

นักรบเอ่ยพร้อมกับมองมาที่ผมตาปรือๆ เหมือนคนกำลังง่วงอย่างสุดกำลังผมเลยเลี้ยวรถจอดที่ข้างทางก่อนที่จะหันไปมองหน้าเด็กน้อยตรงๆ

“นอนตักไหม”

ผมเสนอเพราะในรถของผมไม่มีอะไรเลยให้เด็กคนนี้นอนกอด หมอนหรือว่าผ้าห่ม อย่าเอ่ยถึงเลย มันไม่เคยมีในรถของผมหรอก

“ได้เหรอฮะ”

“อืม”

ผมเอ่ยก่อนที่จะเอื้อมมือไปปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวนักรบก่อนที่จะอุ้มร่างเล็กๆ นั่นมานั่งที่ตักของตัวเอง แต่ทันทีที่นักรบนั่งลงที่ตักของผมได้เด็กน้อยก็รีบซุกใบหน้าลงที่อกของผมทันที พร้อมกับมือเล็กๆ ของนักรบกำเสื้อผมไว้แน่น ก่อนที่ลมหายใจของนักรบค่อยๆ หายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ นี่หลับแล้วเหรอ ง่ายไปไหมวะ

“เฮ้อ”

ผมถอนลมหายใจออกมาเบาๆ อย่างหนักใจ ผมไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อนไง เลยไม่รู้ว่าเด็กกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ที่รู้ๆ คือเด็กคนนี้ชอบทำให้ผมแปลกใจอยู่เรื่อยเลย ผมคิดกับตัวเองในใจก่อนที่จะใช้แขนข้างหนึ่งบังคับพวงมาลัยรถ ส่วนอีกข้างก็โอบร่างเล็กของนักรบที่นอนคุดคู้อยู่ที่ตักของผมไปด้วย แล้วผมก็ขับรถออกมาทั้งๆ อย่างนั้น

คอนโด F

ตอนนี้ผมก็ขับรถมาถึงคอนโดของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่นักรบที่หลับอยู่ในอ้อมกอดของผมยังคงหลับสนิทอยู่ ผมรู้ว่าถ้าปลุกให้ตื่นตอนนี้เด็กคนนี้ต้องงอแงขึ้นมาแน่ๆ ผมไม่อยากที่จะเลี่ยงให้เกิดเรื่องนั้นขึ้นเด็ดขาด อย่าลืมว่าผมพึ่งเลี้ยงเด็กเป็นครั้งแรก ถ้าเกิดร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ ผมคงรับมือลำบาก ผมเลยค่อยปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากตัวของตัวเองก่อนที่จะค่อยๆ อุ้มร่างเล็กของนักรบขึ้นมาพาดบ่า ของตัวเองไว้

“อื้อ หม่ำๆ”

นักรับครางออกมาทันทีที่ผมขยับตัวแก ผมตัวแข็งไปทันทีเพราะคิดว่านักรบต้องตื่นขึ้นมาแน่ๆ แต่ที่ไหนได้นักรบกลับกอดคอผมไว้แน่นก่อนที่จะซบหน้าเล็กของแกเข้าที่ซอกคอของผมก่อนที่จะหลับไปอีกครั้ง

“เฮ้อ”

ผมผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนที่จะค่อยๆ เปิดประตูรถแล้วเดินออกไปอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะถือของที่ตัวเองอุตส่าห์ซื้อเตรียมไว้อยู่หลังรถออกมาถือไว้ที่มือข้างหนึ่ง รวมทั้งกระเป๋านักเรียนของนักรบด้วย เฮ้อ หวังว่าวันนี้ผมจะเลี้ยงลูกคนเดียวได้ใช่ไหม

ผมค่อยก้าวเข้าไปในคอนโดที่ผมอยู่อย่างระมัดระวัง แต่ตลอดทางที่ผมเดินผ่านนั้นก็มีสายตาหลายคู่มองมาที่ผมอย่างสนอกสนใจ คนพวกนี้คงแปลกใจที่วันนี้ผมพาเด็กมาด้วยปกติผมไม่ค่อยจะพาใครมาที่คอนโดสักเท่าไหร่ คนพวกนี้เลยดูสนใจผมเป็นพิเศษ แต่ผมไม่ได้สนใจอะไรหรอก อยากจะคิดอะไรไปก็เชิญ ขอแต่มันไม่เดือดร้อนถึงผมก็พอ แค่นั้นแหละ

ติ๊ง

ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออกผมก็พาร่างของตัวเองเข้าไปทันทีพร้อมกับกดชั้นที่ตัวเองอยู่ไปด้วย

“นี่กูเป็นพ่อคนจริงๆ แล้วสินะ”

ผมพึมพำกับตัวเองก่อนที่จะมองร่างสะท้อนของตัวเองที่กำลังอุ้มเด็กคนหนึ่งไว้แนบอกอยู่ด้วยใบหน้านึกขำ ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีวันนี้เร็วขนาดนี้ ผมยิ้มให้กับตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกก่อนที่ลิฟต์จะเคลื่อนตัวมาถึงชั้นที่ผมอยู่ ผมเลยเดินออกจากลิฟต์แล้วมุ่งหน้าเดินตรงไปที่ห้องของตัวเองทันที

แกรก

ผมเปิดประตูห้องหลังจากที่กดรหัสผ่านได้แล้วพาตัวเองเข้ามาในห้องของตัวเองทันที แต่รู้อะไรไหมทันทีที่ผมเดินเข้ามาในห้องของตัวเองได้แล้ว ผมก็แสดงสีหน้าเบื่อหน่ายออกมาอีกครั้ง เพราะตอนนี้ในห้องของผมมีแขกไม่ได้รับเชิญนอนทอดกายอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ของผมอยู่อย่างสบายอารมณ์ยังไงละ

“ไอ้ทอย”

ผมเอาเรียกชื่อเจ้าของร่างกายนั่นเสียงเบาเพราะถ้าเรียกดังกว่านี้ผมกลัวว่านักรบจะตื่นขึ้นมานะ

“ไอ้เหี้ยทอย”

ผมเอ่ยเรียกอีกครั้งพร้อมกับยกเท้าของตัวเองเขี่ยร่างของมันไปด้วย เพราะไอ้คนที่ผมเรียกชื่อเมื่อกี้มันไม่ยอมขยับตัวตื่นขึ้นมาเลยนะสิ แต่ทันทีที่เท้าผมกำลังเขี่ยอยู่นั้น ไอ้ทอยก็สะดุ้งขึ้นมาด้วยความตกใจ เพราะแรงเขี่ยจากเท่าของผมทำให้ร่างของมันลงไปกองอยู่ที่พื้นยังไงละ

“เหี้ย ใครถีบกูวะ”

“ชูวววว”

ไอ้ทอยโวยวายขึ้นมาเสียงดังผมเลยทำสัญญาณบอกให้มันเงียบด้วยใบหน้าดุๆ ไอ้ทอยเลยเงียบเสียงไปทันทีก่อนที่มันจะจ้องมาที่ร่างเล็กๆ ที่ผมอุ้มอยู่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย

“เด็กที่ไหนวะ”

“ลูกกู”

ผมตอบเสียงเรียบก่อนที่จะเดินไปวางข้าวของที่ตัวเองที่อยู่ไปวางไว้บนโต๊ะ ก่อนที่จะเดินเข้ามาในห้องนอนของตัวเองโดยมีไอ้ทอยเดินตามหลังผมมาติดๆ

“เดี๋ยวนะ เมื่อกี้มึงพูดว่าอะไรนะ”

ไอ้เพื่อนคนนี้ของผมมันหูตึงขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงไม่ได้ยินในสิ่งที่ผมพึ่งพูดไปเมื่อกี้

“กูบอกว่านี่ลูกกู”

ผมตอบมันอีกครั้งก่อนที่จะค่อยๆ วางร่างเล็กๆ ของนักรบลงบนที่นอนเพื่อที่จะให้แกได้นอนได้สบายกว่าเดิม

“ม๊าบัว”

นักรบละเมอออกมาก่อนที่จะกอดคอผมไว้แน่นกว่าเดิม ผมเลยต้องลงไปนอนข้างๆ ร่างเล็กๆ นั่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่านักรบจะชอบนอนกอดคนอื่นนะ ขนาดหลับแบบนี้ยังกอดผมไว้แน่นเลย ผมอยากรู้จริงๆ ว่าบัวบูชาเธอเลี้ยงลูกมายังไงกันแน่

“เฮ้ย ไอ้กายอย่าบอกนะว่าลูกมึงกับบัวเหรอ”

ไอ้ทอยที่ดูเหมือนจะตกใจเป็นพิเศษเอ่ยถามผมเสียงเบาเพราะมันคงกลัวว่าเสียงของมันอาจจะทำให้นักรบตื่นขึ้นมาก็ได้มันเลยกระซิบถามผมมาแบบนั้น

“อืม คงงั้น”

ผมตอบเสียงเรียบแล้วยกมือขึ้นมาลูบหลังนักรบไปด้วยท่าทางที่ดูอ่อนลงมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“เหี้ยแล้วมึงพามาที่นี่ได้ยังไงวะ ป่านนี้แม่เขาไม่ตามหาแย่แล้วเหรอ”

หึ ก็คงเป็นอย่างนั้น ใครบอกให้เธอปิดบังเรื่องนี้กับผมเองละ ผมอยากให้เธอได้รู้ซะบ้างว่าคนที่เอาแต่ตามหามันรู้สึกยังไง เธอจะได้รู้ซะทีว่าผมลำบากแค่ไหนกว่าจะหาตัวเธอเจอ ผมอยากให้เธอตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับผมน่ะ เผื่อเธอจะคิดได้บ้างว่า พ่อลูกเขาไม่ควรที่จะแยกกันอย่างที่เธอทำกับผม

“คงงั้น ก็ลูกกู กูมีสิทธิ์พามา”

ผมเอ่ยขึ้นมาอย่างเอาแต่ใจ ผมขอเห็นแก่ตัวสักครั้งบ้างเถอะ เพราะเรื่องนี้ผมคงปล่อยให้มันผ่านไปไม่ได้จริงๆ

“นี่มึงลักพาตัวลูกตัวเองมาเหรอ”

ไอ้เหี้ย พูดอะไรของมันวะ ผมไม่ได้ลักพาตัวนักรบมาซะหน่อย แค่เอาสิ่งของล่อนิดล่อหน่อยก็เท่านั้นเอง

“ลูกกูเต็มใจมาเอง กูไม่ได้บังคับ”

“จะว่าไป หน้าไอ้เด็กนี่ก็เหมือนมึงจริงๆ นั่นแหละ ไม่น่ามึงถึงได้มั่นใจขนาดนั้น”

“เรียกลูกกูดีๆ ไม่งั้นกูสอยมึงร่วงแน่”

“ครับๆ คุณกาย”

“เออ มึงว่างใช่ไหม ลงไปซื้อไอศกรีมมาให้กูที”

ผมเอ่ยขึ้นหลังจากที่นึกขึ้นมาได้ว่าสัญญากับนักรบไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะพาไปกินไอศกรีม นี่ถ้าเกิดนักรบตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ผมเลยกะจะให้แกกินเลยไง แต่นี่นักรบเล่นกอดผมไว้แน่นแบบนี้ ผมก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของไอ้ทอยแล้วแหละ

“ซื้อมาทำไมวะ”

“ให้ลูกกูสิถามได้ ซื้อขนมมาด้วย เร็วๆ ก่อนที่ลูกกูจะตื่นขึ้นมาก่อน ถ้ามึงมาช้าบอกเลยว่ามึงได้นวมกลับบ้านแน่”

ผมไม่ได้แค่ขู่หรอก ก็ผมมันเป็นพวกที่ชอบพูดจริงแล้วทำจริงด้วยสิ ไอ้ทอยถึงได้รีบไปตามที่ผมสั่งทันที เพราะมันเป็นเพื่อนผมมานานไงเลยรู้ดีว่านิสัยผมมันเป็นยังไง

หลังจากที่ไอ้ทอยเดินออกไปแล้ว ผมก็หันมามองร่างเล็กๆ ที่นอนกอดผมอยู่ก่อนที่จะคิดอะไรไปด้วย ไม่รู้สิครั้งแรกที่ผมเจอนักรบผมบอกได้เต็มปากว่าผมรู้สึกถูกชะตากับแกจริงๆ รู้สึกว่าเด็กคนนี้มีอะไรบางอย่างแปลกๆ แต่ใครจะรู้ละว่าไอ้ที่ผมว่าแปลกนั่นมันจะกลายมาเป็นเรื่องแบบนี้ เรื่องจริงที่ผมพึ่งรู้ว่านักรบเป็นลูกของผม ไม่น่าล่ะครั้งแรกที่พวกผมเจอกันทำไมผมถึงรู้สึกผูกพันแบบนั้น แบบนี้สินะเขาเรียกว่าสายใยของพ่อลูกที่ตัดกันไม่ขาด





ป่านนี้บัวคงสติแตกไปแล้วแน่ๆ ถ้ามารู้ว่าลูกตัวเองหายแบบนี้

อีกายนี่ก็ร้ายจริงๆ

พาลูกมาแบบไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้

5555 จะเป็นยังไงต่อไปติดตามตอนต่อไปเอานะคะ

อัพชดเชยที่ไม่ได้มาอัพหลายวัน

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว