ซ่อนกลจำนนใจ (NC)-บทที่ 1 วิวาห์แสนอึมครึม (NC)

โดย  อาลี่ ( 阿丽 )

ซ่อนกลจำนนใจ (NC)

บทที่ 1 วิวาห์แสนอึมครึม (NC)

บทที่ 1

วิวาห์แสนอึมครึม (NC)




ขบวนเกียรติยศอันยิ่งใหญ่มุ่งออกจากประตูหวู่เสี้ยนอันเป็นประตูใหญ่ของวังหลวง ปกติแล้วประตูทิศนี้ช่องกลางของประตูมีเพียงองค์จักรพรรดิเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าออก ฮองเฮาที่สามารถเดินได้ในระหว่างพิธีอภิเษกและจอหงวนสามอันดับแรกในการสอบ



แต่ครานี้กลับมีสตรีสวมอาภรณ์วิวาห์สีแดงผู้หนึ่งที่สามารถเดินผ่านได้ แม้จะไม่ใช่ช่องตรงกลางแต่ความพิเศษนี้ย่อมทำให้ผู้อื่นไม่พอใจ แต่ตัวนางและนายเหนือหัวมีหรือที่จะนำความไม่พอใจยิบย่อยเหล่านี้มาใส่ใจ



นางมุ่งเดินไปยังเกี้ยวขนาดแปดคนหาม ตัวเกี้ยวประดับประดาอย่างงดงาม ทั้งไข่มุกและหยก รวมถึงทองที่ถูกแปะลงบนตัวเกี้ยว ทั้งบุรุษแปดคนที่หามเกี้ยวก็เป็นขุนนางในกองทัพที่มีตำแหน่งขั้นสี่ขึ้นไปเป็นคนแบกเกี้ยว หากคิดว่าคนแบกเกี้ยวนี้ว่ายิ่งใหญ่แล้วยังไม่อาจเทียบได้กับขบวนเกียรติยศอันสูงสุดที่ตั้งเป็นขบวนอยู่ด้านหลัง



อันประกอบด้วยอาวุธโบราณสิบแปดคู่รวมทั้งสิ้นสามสิบหกชิ้น แผ่นป้ายขนาดใหญ่สลักอักษรโบราณสีทองล้อมรอบทั้งสามด้าน ฉากกั้นไม้แดงยาวกว่าครึ่งลี้ เครื่องลายครามและแจกันล้ำค่าที่ไม่อาจนับได้หมด เครื่องประดับและอัญมณีละลานตา ทั้งยังมีขุนพลในกองทัพอีกสิบแปดนายเดินตามอยู่ด้านหลัง ยังไม่รวมนางกำนัลที่โปรยกลีบดอกไม้ตลอดทางและกองสังคีตที่บรรเลงเพลงอันรื่นเริงไปตลอดเส้นทาง ขบวนเกียรติยศนี้ถือเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ประทานให้เป็นเกียรติสูงสุดแด่ขุนนางที่มีความชอบอันใหญ่หลวง



และแม้ว่าตัวสตรีที่อยู่ในเกี้ยวจะไม่ได้มีฐานะเป็นถึงองค์หญิงแต่หากอิงจากตามที่ผู้อื่นเล่าลือ ตัวนางนั้นยิ่งกว่าองค์หญิง ได้รับความโปรดปรานอันไม่มีที่สิ้นสุดจากซีไทเฮาผู้ที่กุมราชสำนักทั้งหมดได้ด้วยฝ่ามือเพียงข้างเดียว แม้แต่ฮ่องเต้น้อยจะรับสั่งสิ่งใดก็ต้องดูสีหน้าของซีไทเฮาเป็นอันดับแรก...



เกี้ยวหลังโตถูกหามแห่รอบเมืองหลวงจนครบสามรอบจนมาหยุดหน้าจวนเจิ้นกั๋วกง1 เสียงแม่สื่อขานการมาถึงในขณะเดียวกันเกี้ยวที่ถูกหามกำลังจะถูกวางลงแรงสั่นสะเทือนมหาศาลจากข้างเกี้ยวก็ทำให้เกี้ยวหลังโตสั่นสะท้าน หากมิใช่คนแบกเกี้ยวนั้นมีฝีมือป่านนี้เกี้ยวก็คงพลิกคว่ำทำให้เจ้าสาวด้านในพุ่งทะลุออกมา การเตะเกี้ยวข่มภรรยาอย่างดุดันนี้ทำให้ริมฝีปากเบื้องหลังผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวปรากฏขึ้น เสียงของแม่สื่อดังขึ้นจึงทำให้นางขยับตัวลงจากเกี้ยวโดยไร้เจ้าบ่าวคอยประคอง แม้แต่ยามที่เดินข้ามกระถางไฟตัวนางก็ต้องคอยเกาะแขนแม่สื่อ ทั้งยามที่เดินเข้าไปในโถงพิธีก็ยังคงเป็นแม่สื่อที่อยู่ใกล้ชิดตัวนางที่สุด


พิธีคำนับฟ้าดิน คำนับบิดามารดาและคำนับกันและกันเป็นไปอย่างรวดเร็ว บรรยากาศด้านนอกจวนเจิ้นกั๋วกงนั้นดูคึกคักยิ่งใหญ่แต่บรรยากาศด้านในกลับต่างกันอย่างลิบลับ แตกต่างราวกับฟ้าดินความอึมครึมและความอึดอัดนี้แขกเหรื่อทุกคนล้วนสัมผัสได้ คงมีแต่เจ้าสาวเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่คล้ายจะไม่ได้รับผลกระทบใดเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้นำพาความอึดอัดหรืออึมครึมใส่ใจ...



เมื่อเจ้าสาวถูกส่งตัวเข้าห้องหอ เจ้าบ่าวก็ไม่ได้อยู่ต้อนรับแขกเหรื่อหรือร่วมดื่มสุราอย่างครื้นเครงแต่กลับมุ่งเข้าไปยังห้องหออย่าวรวดเร็วดุจลมพายุ ความรีบร้อนนี้ขุนนางในราชสำนักทุกคนล้วนคาดเดาได้ว่าที่เจิ้นกั๋วกงรีบร้อนเช่นนั้นย่อมมิใช่ปรารถนาในตัวของภรรยาผู้นี้แน่นอน...



“สตรีแซ่ชิง!”



เสียงตะโกนกร้าวนี้ดังขึ้นพร้อมๆ กับประตูเรือนที่ถูกกระแทกเปิดจนทำให้บานประตูตีกับวงกบส่งเสียงดังสนั่น ชิงเสียนที่เพิ่งได้นั่งลง บนเตียงยังไม่ทันอุ่นตัวนางก็ถูกกระชากให้ลุกขึ้นพร้อมๆ กับผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวที่ถูกเหวี่ยงออกไป มีผ้าบางมุมที่เกี่ยวพันกับมงกุฎหงส์ที่พันกับเส้นผม เมื่อถูกดึงออกอย่างแรงมงกุฎหงส์ก็เบี้ยวไปเล็กน้อยพร้อมๆ กับปอยผมที่ร่วงหล่นเป็นกระจุกเล็กๆ ระกรอบหน้า พลันอารมณ์บางอย่างของเหวินเฉียงที่อยู่ในกล่องเหล็กที่ถูกลงผนึกอย่างแน่นหนาก็สั่นสะเทือน



ชิงเสียนเงยหน้าขึ้นเผชิญหน้ากับเจิ้นกั๋วกงที่ยามนี้มีสีหน้าอยากจะสังหารคนด้วยรอยยิ้มบางๆ ดวงตากลมโตคู่งามหาได้มีความเกรงกลัวหรือหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย ยังคงสุกใสแฝงไว้ด้วยความงดงามยั่วเย้าดั่งที่เคยเป็นมา



“เจิ้นกั๋วกงรีบร้อนเช่นนี้ ที่แท้ท่าทีรังเกียจข้าก็ทำให้ผู้อื่นดูไปอย่างนั้น...”



น้ำเสียงยียวนและหยอกเย้านี้ทำให้เหวินเฉียงที่พยายามอดกลั้นมานานจนในที่สุดก็เริ่มจะทนไม่ไหวปราดเข้าไปหานาง มือหนาพุ่งเข้าหาลำคอคว้าจับไว้อย่างแน่นหนา เมื่อสัมผัสได้กับความเปราะบางของสตรีตรงหน้านั้นไม่ได้ทำให้เหวินเฉียงรู้สึกใจอ่อนเลยแม้แต่น้อย เขาขยับนิ้วออกแรงเพิ่มเล็กน้อยบีบคอนางไว้ด้วยน้ำหนักมือที่ไม่ได้แรง... และก็ไม่ได้เบา



“สตรีที่น่ารังเกียจเช่นอาจม ข้าก็ไม่คิดอยากแตะต้องให้สกปรกมือนักหรอก” เหวินเฉียงโน้มใบหน้าเข้าใกล้ ดวงตาวาวโรจน์เปี่ยมด้วยความอาฆาตอย่างแรงกล้านี้ก็ยังคงไม่ทำให้ชิงเสียนเกริ่นเกรง แม้จะรับรู้ได้ถึงแรงบีบที่มากขึ้นจนทำให้ลมหายใจเริ่มติดขัดแต่นางก็ยังคงคลี่ยิ้มแย้มอันงดงาม พยายามยื่นหน้าเข้าไปใกล้เขา ดวงตากลมหรี่ลงกึ่งหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับสบตาเขาโดยไม่หลีกเลี่ยงซ่อนเร้น



“หากเจิ้นกั๋วกงไม่เต็มใจ... เช่นนั้นก็ส่งข้ากลับตำหนัก เอาเช่นนี้ดีหรือไม่เล่า...”



ชิงเสียนที่รับรู้ได้ว่าใบหน้าของตนเองเริ่มร้อนผ่าวพยายามฮุบอากาศหายใจ ความทรมานผุดขึ้นบนใบหน้าเล็กๆ อย่างไม่อาจหลบเลี่ยง แต่นางก็ยังคงไม่เอ่ยร้องขอความเมตตาหรือมีท่าทีอ่อนลงแต่อย่างใด นางยังคงหยิ่งยโสและสูงส่งดุจเดิม



เหวินเฉียงนัยน์ตาเปี่ยมด้วยความสับสนลังเล ท่าทางคล้ายทะเลาะกับตนเองอยู่ครู่ใหญ่จึงคลายมือออกเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่เปิดโอกาสให้นางได้หายใจมือหนากุมลำคอของนางพลางเหวี่ยงร่างบางลงบนเตียงอย่างแรง



ชิงเสียนหลุดร้องออกมาด้วยความเจ็บเมื่อขาของนางกระแทกเข้ากับเตียงเต็มแรง เสียงปึงปังด้านในห้องหอที่เล็ดลอดออกมายังด้านนอกนี้ทำให้เหล่าอาวุโสที่ติดตามมาจากในวังต้องลอบกังวลใจ ยิ่งได้ยินเสียงปึงปังที่ดังขึ้นไม่หยุดก็ทำให้พวกนางต้องเอ่ยถามเสียงเบา “ท่านหญิงเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ”



ชิงเสียนตอนนี้นางนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง ลมหายใจหอบถี่ อาภรณ์บนร่างกายถูกฉีกกระชากออกไปจนหมด แม้แต่มือทั้งสองของนางก็ถูกไพล่ไว้ด้านหลังทั้งยังถูกมัดพันธนาการไว้อย่างแน่นหนา เส้นผมที่ถูกรวบอย่างงดงามตอนนี้กลับยุ่งเหยิงรุงรัง นางพลิกหน้าบนหมอน ใช้หางตามองไปยังบุรุษที่นั่งคร่อมแผ่นหลังของนาง แววตาดำมืดของเขาที่ไร้ความรักใคร่นุ่มนวลนี้ทำให้นางเหยียดยิ้ม ตอบเหล่าอาวุโสด้วยน้ำเสียงเรื่อยเฉย



“ข้าสบายดี เจิ้นกั๋วกงเพียงแค่ใจร้อนไปหน่อย...”



เหวินเฉียงได้ยินเช่นนี้ก็แค่นเสียงหัวเราะในลำคอ มือหนาจับไปยังเศษอาภรณ์วิวาห์ที่ถูกฉีกขาดจนกลายเป็นผ้าที่มัดอยู่บนข้อมือ ออกแรงเล็กน้อยก็ทำให้ร่างกายของนางลอยขึ้นจากเตียง มือหนามือหนึ่งลูบผ่านเอวบาง ลากผ่านร่องอกไปกุมลำคอนางไว้หลวมๆ ก้มหน้าลงกระซิบข้างใบหูด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม



“ท่านหญิงชิงเสียน ที่แท้ตัวท่านก็ไม่ต่างจากสตรีชั้นต่ำเช่นนางโลมในตรอกฆ่าหมูที่กระสันซ่านร้องหาลำเอ็นของข้ามาเนิ่นนาน พยายามครั้งแล้วครั้งเล่าที่จะเอาตัวเองเข้ามาอยู่ในจวนของข้า จนตอนนี้คงสมปรารถนาแล้วกระมัง”



วาจาหยาบโลนของเขานี้ก็ไม่ได้ทำให้ชิงเสียนโกรธเคืองหรือแปลกใจอะไร นางเชิดคางขึ้นมุมปากเหยียดยิ้ม เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขบขันทั้งยังแฝงไว้ด้วยความสงสารเบาบาง

“เจิ้นกั๋วกง บุรุษเช่นท่านจำต้องกล้ำกลืนกินน้ำแกงใสอยู่ทุกวัน สองปีมานี้คุณหนูซูคงทำให้ท่านอึดอัดใจมากอยู่กระมัง”



“ดูท่าในจวนข้าคงต้องทำความสะอาดครั้งใหญ่สักครา” เหวินเฉียงหัวเราะเสียงต่ำ มือรั้งลำคอนางให้เอนมาด้านหลังจนทำให้ศีรษะของนางแนบชิดกับแผ่นอก ร่างกายช่วงล่างของชิงเสียนยังคงถูกเหวินเฉียงกดทับ ทำให้ตอนนี้ตัวนางถูกน้าวจนโค้งโก่งไม่จากคันธนู เขาแนบริมฝีปากเข้ากับใบหูของนางอย่างใกล้ชิด กระซิบบอกออกมา



“ท่านหญิงชิงเสียนท่านแต่งเข้าจวนของข้า เมืองมีกฎเมือง บ้านก็มีกฎบ้าน ท่านแต่เข้ามาเป็นเมียรอง หวังว่าท่านหญิงชิงเสียนผู้สูงส่งเฉลียวฉลาดจะเข้าใจในกฎนี้ดี”



“แม้แต่กฎเมืองข้าก็กล้าฝ่าฝืน หากข้าไม่ยินยอมจะทำตามกฎบ้าน เจิ้นกั๋วกงจะทำอะไรทำอะไรข้าได้เล่า” ชิงเสียนพลันหัวเราะออกมาอย่างรื่นเริงไม่ทุกข์ร้อนนี้ยิ่งทำให้เหวินเฉียงไม่อาจอดกลั้นได้ไหว มือหนาบีบเคล้นไปที่บั้นท้ายของนางอย่างแรงโดยไม่ออมมือ สัมผัสนุ่มนิ่มทั้งยังตึงแน่นสู้มือนี้ยิ่งทำให้เหวินเฉียงยิ่งบีบเคล้นอย่างหนักมือขึ้น ทั้งยังขยับกระโปรงที่ขาดวิ่นขึ้นไปยังต้นขาเรียว มือหนาส่งเข้าไปด้านในลูบสัมผัสกับบุปผากลางกายของนาง



การเคลื่อนไหวของเหวินเฉียงย่อมไม่มีความอ่อนโยนทะนุถนอม ไม่มีแม้แต่ความนุ่มนวลให้แก่สตรีใต้ร่างแม้แต่น้อย ยิ่งสัมผัสได้ว่ากลางกลีบบุปผานั้นไร้ความเปียกชื้นที่เหมาะสมเขาก็ยิ่งพอใจ กายแกร่งขยับถอยไปด้านหลังเล็กน้อย ปลดกางเกงของตนเองออกอย่างรวดเร็วพร้อมกับเข้าประชิดตัวนางอีกคราเมื่ออวัยวะกลางกายนั้นแข็งขืนขึ้นมา



“ในเมื่อท่านหญิงชิงเสียนกล้าติผู้อื่นว่าเป็นน้ำแกงใส ข้าผู้โง่เขลาก็อยากจะรู้นักว่าท่านหญิงจะเอร็ดอร่อยมากเพียงใด”



ชิงเสียนไม่ได้ตอบความอะไรแม้ใบหน้าของนางจะเรียบเฉยแต่ดวงตาของนางมีความครั่นคร้ามพาดผ่านอยู่ แม้จะเพียงแค่แวบเดียวแต่ความกลัวนี้ทำให้เหวินเฉียงเบิกบาน ขยับเอวช้าๆ ให้ปลายแท่งเนื้อสัมผัสกับความนุ่มนิ่มเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นเขาก็ขยับเอวส่งท่อนเนื้อแข็งๆ เข้าไปในความอุ่นนุ่มที่ยังคงฝืดเคืองอย่างรวดเร็วและรุนแรง



ชิงเสียนกัดฟันแน่นแม้จะพยายามอดกลั้นเพียงใดแต่เสียงหลุดร้องเบาๆ ของนางนั้นกลับไม่อาจดึงกลับมา ความเจ็บแสบจะตึงแน่นนั้นเกิด ใบหน้าเล็กๆ ยับยู่ยี่ด้วยความทรมานดุจถูกแยกร่าง สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ฉีกขาด ทั้งความเปียกร้อนก็ไหลออกมาจนทำให้นางต้องกัดฟันแน่นจนกรามปูดโปน



เหวินเฉียงหลุบตามองจุดเชื่อมประสานที่ฉีกขาด ทั้งยังมีโลหิตไหลซึมออกมาอาบจนร้อนผ่าว กลิ่นคาวเลือดบางๆ นี้ยังคงไม่ทำให้เขาใจเย็นหรือช้าลง แต่เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของนางกลับยิ่งทำให้เขาคึกคัก กดกระแทกความแข็งขืนเข้าไปโดยไม่ปรานี ไม่นำโลหิตที่ซึมหยดสู่ผ้าขาวมาใส่ใจ



สตรีเช่นนางชื่อเสียงเลวทรามต่ำช้ามาแต่ไร ไหนเลยจะใช่สตรีบริสุทธิ์ผุดผ่อง โลหิตนี้ก็คงเป็นลูกไม้จากในวังที่นำออกมาแสดงเสียมากกว่า เหวินเฉียงยิ่งคิดก็ยิ่งกรุ่นโกรธที่ต้องรับของสกปรกมาไว้ในจวน ยิ่งขยับเอวบดขยี้นางอย่างหนักหน่วง ยิ่งมีเสียงครางผะแผ่วของนางคลอไปก็ยิ่งทำให้เลือดร้อนในกายบุรุษเดือดพล่าน มือข้างหนึ่งยังคงกุมลำคอของนางไว้ไม่คลาย ทว่าจู่ๆ กลับมีบางอย่างไหลหยดโดนฝ่ามือข้างนั้นจนทำให้เหวินเฉียงชะงักไป มองดูหยาดน้ำใสๆ ที่ไหลเป็นทางตั้งแต่หางตาของชิงเสียน ริมฝีปากเล็กๆ ที่ถูกฟันขาวขบจนแตกก็ยิ่งเบิกบาน โน้มหน้าเข้าไปไกลกระซิบออกมา



“ลูกไม้ต่ำช้าเช่นการบีบน้ำตาร้องไห้นี้ คิดไม่ถึงว่าท่านหญิงชิงเสียนจะกล้าทำ”



ชิงเสียนแค่นเสียงออกมาเมื่อคอของนางถูกเขาตรึงไว้ก็ไม่อาจขยับได้มาก ทั้งสองแขนก็ถูกเขามัดไว้ ตัวนางก็ยังถูกเขากดทับไหนเลยจะดิ้นรนขัดขืนอะไรได้ แม้นางจะอยู่ในสภาพนี้แต่ความดื้อรั้นแข็งกร้าวของนางก็ยังคงไม่แปรเปลี่ยน พยายามผินหน้าหันไปด้านหลัง มองเขาด้วยหางตา



“เจิ้นกั๋วกงทำกับข้าเช่นนี้ไม่กลัวว่าข้าจะทูลไทเฮาหรอกหรือ”






____________________________________

กั๋วกง1 เป็นบรรดาศักดิ์ขั้นสูง เรียงลำดับเป็นอ๋อง กง โหว ป๋อ จื่อ หนาน

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว