- จบ - DADDY... ที่แปลว่าผัว-DADDY 4

โดย  อติญา / เก-ลิน / ติญญ์ / ผู้ซึ่งเข้ามาแทน

- จบ - DADDY... ที่แปลว่าผัว

DADDY 4

ระยะของทวนที่ใกล้เกินไป หัวงเชียนเถายากที่จะเลี่ยงหลบคมแหลมของศาสตราในมือของหม่าเฟยได้ หัวสมองคนพลันคิดค้นหาวิธีจนในที่สุด ร่างกายของบุรุษร่างบางพลันเปลี่ยนเป็นท่ายืนและท่าจับกระบี่ในวินาทีสุดท้าย

คมทวนแทงเข้าใส่เอวด้านซ้ายของหวังเชียนเถา แล้วแผลนั่นดูจะลึกน่าดูแต่ทว่าที่เอวด้านซ้ายของหม่าเฟยเองก็ได้มีสายเลือดหลั่งริน

ในเมื่อหลบให้รอดพ้นอันตรายมันเป็นเรื่องยาก ตัวของหวังเชียนเถาจึงใช้วิธีที่สุดโต่ง คือพยายามจัดระเบียบร่างกายของมันให้ดี ให้ส่วนที่ถูกคมทวนนั้นเป็นส่วนที่อันตรายน้อยที่สุดโดยที่ในทางกลับกัน ตัวของหวังเชียนเถาก็ได้ใช้กระบี่ในมือขวาจ้วงแทงสวนกลับไป พยายามเล็งด้านคมของกระบี่ให้เข้าส่วนสำคัญที่สุดบนร่างกายของหม่าเฟยทำให้ผลของการแลกเลือดในครานี้ คนทั้งสองฝ่ายต่างมีแผลลึกด้วยกันทั้งคู่ แต่ดูเหมือนฝ่ายบุรุษร่างบางจะได้กำไรไม่น้อยจากการแลกเฉือนกายเนื้อในครานี้

ไม่เพียงกระบี่ของมันจะฟันได้ลึกกว่า เปลวเพลิงของมันเองก็ยังทำงานได้ดีทีเดียวในการผลาญเนื้อหนังบนร่างกายของบุรุษเกศาขาว

แต่ทว่า หวังเชียนเถาประเมินความบ้าคลั่งของหม่าเฟยต่ำเกินไป


บุรุษเกศาขาวไม่เพียงไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดที่แผลด้วยเพราะคนในตอนนี้โกรธจนคลั่ง ปลายด้ามทวนถูกดึงถอนออกมาพร้อมทั้งกวาดใส่ตัวของหวังเชียนเถาในทันทีทันใด สายตาคนแลเพียงตัวของคู่ต่อสู้ ความแยแสต่อบาดแผลบนร่างกายเรียกว่าเป็นศูนย์

หวังเชียนเถามันกล่าวแตะในสิ่งที่ไม่ควรแตะแล้ว มันกล้าดีอย่างไรถึงเอ่ยพาดพิงถึงคนที่หม่าเฟยรักที่สุด มารดาของมันเปรียบเสมือนนางสวรรค์ที่คนอื่นไม่อาจจะอาจเอื้อมแต่เจ้าคนตรงหน้ากลับกล้านำเรื่องนี้มาพูดเล่น ตอนนี้บนสนามนี้ไม่ใช่เพียงการประลองฝีมือเพื่อหาตัวแทนของศิษย์สำนักสาขาหลักอีกต่อไป แต่มันคือสนามนองเลือดที่จะมีเพียงคน..เดียวที่ยืนหยัดอยู่ได้พร้อมกับลมหายใจ


'บ้าเอ้ย!! ข้าไม่น่าไปฟังคำยุแหย่ของผู้หญิงคนนั้นเลยจริง ๆ ใครจะรู้ว่าการเอ่ยถึงชื่อแม่ของมันจะทำให้มันคลั่งถึงขนาดนี้ได้!! '

ยิ่งรับทวน.. หวังเชียนเถายิ่งเสียเปรียบ ยิ่งยกกระบี่ปัดป้อง.. หวังเชียนเถายิ่งอ่อนล้า

ทวนในมือคนคลั่งตอนนี้มันทั้งรุนแรงและบ้าคลั่งเป็นที่สุด สติสมาธิทั้งหมดของหม่าเฟยต่างสูญสิ้น ร่างกายคนต่างร่ายรำเพลงทวนตามสัญชาตญาณดิบ แล้วด้วยการใช้สัญชาตญาณดิบในการปลดปล่อยเพลงทวน มันจึงทำให้ตัวของหวังเชียนเถาคาดคำนวณถึงทวนครั้งต่อไปที่จะตวัดฟาดฟันใส่ได้ยากยิ่ง หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ต่อให้หวังเชียนเถามีสิบหัวยี่สิบแขนก็คงถูกเจ้าคนคลั่งตรงหน้าเด็ดทิ้งเสียจนเหี้ยนเตียนหมดแน่

บุรุษร่างบางต้องหาวิธีการหลีกหนีถอยให้ห่างจากวิถีถ่วงของอีกฝ่ายให้จนได้

ในทันที เมื่อรู้ซึ้งถึงความบ้าคลั่งของหม่าเฟย ตอนนี้ต่อให้แลกคมศาสตรากันไปมาก็รั้นแต่จะทำให้ตนเสียเปรียบ กระบี่ในมือของหวังเชียนเถาที่คอยเอาแต่ตั้งรับมานานก็ได้ฟันกวาดรัวเร็วสองสามคราจนทำให้ทวนในมือของหม่าเฟยเขวเบี่ยงทิศจนสามารถสร้างช่องว่างให้ตัวบุรุษร่างบางสามารถใช้ท่าร่ายของมันวิ่งถอยหนีออกมาได้

แต่ก็อย่างที่ทุกคนทราบ ท่าร่ายอาชาเคลื่อนเมฆาหมอบของหม่าเฟยนั้นเร็วกว่าท่าร่ายเหยียบขุนเขาของหวังเชียนเถานัก ไม่นานตัวของหม่าเฟยที่เสียหลักก็สามารถเข้าประชิดตัวของหวังเชียนเถาได้อีกครั้ง ทวนในมือของหม่าเฟยรีบตวัดฟาดฟันควงไปมาด้วยความบ้าคลั่งอีกครั้ง

ทว่าครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อน ๆ ร่างของหวังเชียนเถาต่างค่อย ๆ เหินลอยขึ้นเหนือพื้น ทำให้ตัวหม่าเฟยที่โจมตีอยู่ที่แนวราบบนพื้นดินมิอาจส่งทวนเหล็กดำสลักลายเมฆาของมันได้ถูกตัวของหวังเชียนเถา


ผู้คนบนอัฒจันทร์ต่างแตกตื่นกับสิ่งที่ได้เห็น การต่อสู้ของทั้งสองคนว่าเยี่ยมแล้วเมื่อเห็นตัวของหวังเชียนเถาสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ต่างพากันส่งเสียงชื่นชมออกมา

“หระ..หรือว่าศิษย์พี่ใหญ่หวังสำเร็จถึงช่วงชั้นเข้าถึงแล้ว? กลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นเหยียบโลกาขั้นต้นไปแล้วถึงสามารถเดินบนอากาศได้?”

“ไม่ใช่! ดูอย่างไรศิษย์พี่ใหญ่หวังก็ยังไม่อาจสำเร็จถึงขั้นเหนือพสุธาได้ นั่นน่าจะเป็นเพราะศิษย์พี่ใหญ่หวังสำเร็จท่าร่ายของสำนักขั้นที่สามมากกว่า เขาถึงสามารถเหาะเหินได้”

“ที่แท้ศิษย์พี่ใหญ่หวังก็มีไพ่ตายเช่นนี้อยู่ในมือ แบบนี้ศิษย์พี่ใหญ่หม่าก็หมดศิษย์จะได้รับชัยแล้วเป็นแน่”

ผู้คนส่วนใหญ่ต่างพากันพูดวิจารณ์กันอย่างต่อเนื่อง ทุกคนต่างคิดไปในทิศทางเดียวกว่าว่าศึกครานี้คงเป็นหวังเชียนเถาที่จะได้รับชัยชนะ เพราะคนที่เหาะเหินได้กับคนที่ไม่สามารถ มันจะเกิดช่องว่างห่างกันเป็นอย่างมาก หากอาวุธมิอาจฟันได้ถูกคู่ต่อสู้ การโจมตีก็จะไร้ค่า ยิ่งหม่าเฟยเป็นผู้ใช้ทวนที่เป็นอาวุธระยะกลาง มันยิ่งหมดสิทธิ์จะแตะถูกตัวของหวังเชียนเถาได้อีกและยิ่งคำนึงถึงวิชาทวนที่หม่าเฟยใช้ ที่วิชาทวนตระกูลหม่าในหกขั้นแรกจะมีวิชาโจมตีระยะไกลแค่เพียงหนึ่ง และท่าโจมตีระยะไกลนั้นยังเป็นท่าที่หลบเลี่ยงได้ง่ายอีก

หม่าเฟยคงหมดสิทธิ์ชนะในการประลองครั้งนี้อย่างแน่นอน


“หม่าเฟย... ข้าให้โอกาสเจ้ากล่าวยอมแพ้แต่โดยดี.. ตอนนี้ข้าอยู่สูงกว่าเจ้า.. ในสายตาข้า.. ทวนของเจ้าในตอนนี้มีขนาดไม่ต่างกับไม้แคะฟันก็เท่านั้น!”

คนที่ลอยสูงได้แต่เหล่สายตาพร้อมส่งคำพูดเหยียดหยามให้คนที่อยู่ต่ำ กระบี่ไฟในมือของมันถูกจี้กดลงไปบนแผลข้างเอวเพื่อห้ามเลือด


หม่าเฟยในตอนนี้ต่างยืนสงบนิ่ง ดวงตาทั้งสองข้างต่างจ้องมองไปที่คนที่ลอยอยู่บนฟ้าด้วยความโกรธเกลียด

“กล้าเอ่ยถึงแม่ข้าแล้วหนีไปอยู่ในที่ปลอดภัย เจ้านี่มันเป็นสุดยอดชายชาตรีจริงแท้ สวะตระกูลหวัง”


“มีปากก็พูดพล่ามหัดใช้สมองคิดหน่อย..หม่าเฟย จอมยุทธ์ควรรู้เวลาไหนควรสู้เวลาไหนควรหลบ คนที่เอาตัววิ่งชนภูผาใหญ่แล้วคิดว่าสามารถทลายภูผานั้นได้มันก็มีแต่พวกโง่เขลาเท่านั้นที่กล้าคิด”

หวังเชียนเถาถอนกระบี่ที่ร้อนแรงออกจากข้างเอว ตอนนี้แผลนั้นของหวังเชียนต่างปิดสนิทแล้ว เลือดหยุดไหล่แล้ว มันพร้อมสู้ต่อ

“ก่อนหน้า เจ้าได้แต่มองหลังข้า ตอนนี้ก็จงกองอยู่แทบเท้าข้าซะหม่าเฟย วิชากระบี่โบยสวรรค์ขั้นที่ 2 แยกปฐพี!!”

กระบี่ไฟในมือรัวไปมาอยู่บนท้องนภา คลื่นไฟบนตัวศาสตราต่างถูกสาดส่งลงมายังเบื้องล่างราวกับห่าฝนจันทร์เสี้ยว


หม่าเฟยในตอนนี้เรียกได้ว่าสติเริ่มกลับมาบ้างแล้วก็มิได้ดันทุรังส่งวิชาตีโต้สวนกลับ มันที่ไม่มีท่าร่ายที่ให้ความสามารถในการเหาะเหินก็ได้อาศัยท่าร่ายนั้นวิ่งหลบเลี่ยงไปมาอยู่บนพื้นสนาม


“วิ่งเข้าไปหม่าเฟย..วิ่งเข้าไป..วิ่งเข้าไปเจ้าขยะ!!” คนที่ตอนนี้ไม่ต้องพะวงเรื่องการป้องกันแล้วต่างมีสมาธิในการเพิ่มความถี่ในการปลดปล่อยพลังธาตุต่างได้ใจใช้วิชาของมันค่อย ๆ ไล่ตอนหม่าเฟยอย่างเต็มที่ ตอนนี้ในหัวของหวังเชียนเถาไม่มีเรื่องการเข้าประชิดตัวหม่าเฟยเพื่อทำการตีโต้ประชันศาสตราอีกต่อไป อยู่บนนี้มันสะดวกที่จะโจมตีหม่าเฟยยิ่งกว่า อีกวิชาที่ใช้ออกต่างไม่ได้ใช้อย่างมั่วซั่ว เจ้าคนร่างบางค่อย ๆ ใช้วิชาเพลิงของมันไล่ต้อนคู่ต่อสู้ให้ถอยไปชิดขอบเวทีมากขึ้นทีละนิด

ขอเพียงหม่าเฟยร่วงตกเวที ต่อให้ไม่ใช่การชนะอย่างขาวสะอาดเท่าไหร่แต่มันก็ยังถือว่าเป็นชัยชนะ และมีเพียงคนที่เป็นผู้ชนะในศึกครั้งนี้เท่านั้นที่จะกลายเป็นศิษย์ของสำนักสาขาหลัก


ด้านหม่าเฟยแม้จะมีท่าร่ายที่เป็นหนึ่งด้านความเร็ว แต่วิชาที่อีกฝ่ายใช้ออกมันคือวิชาที่โจมตีเป็นวงกว้างแถมยังเป็นธาตุอัคคีด้วย ทุกคลื่นพลังที่บุรุษเกศาขาวหลบได้ต่างมีเศษซากของเพลิงไฟทิ้งอยู่ที่บนพื้น ทำให้เวทีทั่วทั้งเวทีต่างมีแต่เพลิงไฟประดับอยู่เต็มเวทีทรงกลมอันนั้น

หากเป็นเช่นนี้ต่อไปหม่าเฟยคงหมดหนทางที่จะใช้หนี


“พ่อหม่าเฟยหนอ..พ่อหม่าเฟย อีกไม่นานเอ็งคงพ่ายต่อพ่อหวังเชียนเถาแล้ว” ซุนโหวหวังได้แต่กอดอกพร้อมทอดถอนใจ

บุรุษหน้าขนไม่คิดเลยว่าเลยว่าคนที่ได้ชื่ออัจฉริยะในรอบพันปีจะพ่ายแพ้ในศึกครั้งนี้แล้ว


“ข้าว่ายังไม่แน่หรอกนะโหวหวัง” หลิวเจี้ยนพลันเอ่ยขัดขึ้น


“อะไรถึงทำให้เอ็งคิดเช่นนั้น?”


“สายตาของหม่าเฟยอย่างไรล่ะ” หลิวเจี้ยนกล่าวพร้อมแนะให้สหายของมันจ้องมองไปที่สายตาของหม่าเฟย

ถึงแม้ตอนนี้ฝ่ายบุรุษเกศาขาวจะตกเป็นรอง ทว่าดวงตาของคนกลับยังดูมั่นอกมั่นใจ ราวกับว่ามันยังไม่ตัดใจยอมแพ้

“สายตาแบบนี้ ข้าเชื่อว่าหม่าเฟยคงมีไม้เด็ดซ่อนอยู่ ไม่แน่.... จะเป็นหวังเชียนเถาที่กำลังเดินอยู่บนฝ่ามือของหม่าเฟยก็เป็นไปได้”


“ความเห็นต่างย่อมนำพามาซึ่งอบายมุข อย่างไรท่านจอมปราชญ์หลิว เอ็งอยากลองพนันกับฉันดูหรือไม่?” ซุนโหวหวังกล่าวพร้อมนั่งพิงหลังบนเก้าอี้ของอัฒจันทร์ ขาขวาถูกยกขึ้นมาไขว่ห้างพร้อมกระดิกปลายเท้าเล่น “ที่ด่านแรกเอ็งก็ติดข้าวฉันมื้อหนึ่ง รอบนี้เอาเป็นอาหารพิเศษที่หอบุปผาสักแห่งเป็นไร?”


“ดีล (Deal) ให้ลงพนันระหว่างคนที่มีสายตามุ่งมั่นกับคนที่เหลิงจนลืมตัว ข้าขอลงข้างหม่าเฟยหมดหน้าตัก” ในตอนนี้เมื่อแบ่งข้างชัดเจนจึงมีคนที่เชียร์แน่ชัด ความสนุกในการรับชมการประลองในศึกคู่นี้จึงเริ่มมีอรรถรสมากขึ้น


กลับไปที่สนามประลอง ตอนนี่บนเวทีเหลือพื้นที่ให้หม่าเฟยวิ่งหลบได้เพียงเล็กน้อย ส่วนอื่นของเวทีต่างมีแต่เพลิงลุกโหมสุดยากจะดับ

“วิ่งเข้าไป..วิ่งเข้าไป! เจ้ารู้หรือไม่หม่าเฟย..ว่าตอนนี้สภาพของเจ้ามันน่าขันถึงเพียงไหน? เจ้าอย่างกับหนูติดจั่นแหนะ ฮ่า..ฮา..ฮา..ฮ่า”

เมื่อคนย่ามใจอย่างถึงที่สุด การที่สามารถโจมตีใส่อีกฝ่ายได้โดยไม่ต้องมาคอยพะวงการโจมตีโต้ตอบสร้างความรื่นเริงให้แก่หวังเชียนเถาเป็นอย่างมาก


“หนูติดจั่น? เจ้าต่างหากหวังเชียนเถาที่กำลังถูกข้าปั่นหัว” กล่าวจบในรอบนี้ หม่าเฟยก็ได้ดึงกำไลข้อมือที่มันสวมอยู่ออกมาข้างหนึ่ง

กำไลอันนี้ต่างมีลวดลายที่สวยงามเป็นรูปกระเรียนหนึ่งตัวที่สยายปีกออกอย่างสวยงาม

หม่าเฟยรีบขว้างกำไลข้างนั้นออกไป มันใช้กำลังแขนของตนเองผนวกเข้ากับความแม่นยำที่มันมีขว้างปาไปที่ตัวของหวังเชียนเถาที่อยู่สูงเหนือพื้นราวสิบเมตร


“ฮะ..ฮ่า..หม่าเฟย เจ้านี่มันน่าขันจริง ๆ สู้ข้าไม่ได้ถึงกับขว้างปาสิ่งของเลยรึ?” หวังเชียนเถาอ้าปากหัวเราะร่า

ตัวคนยันเหยียดกระบี่ในมือซ้ายปัดป้องกำไลสีเงินของหม่าเฟยอย่างเกลียดค้าน การกระทำของบุรุษเกศาขาวเป็นอะไรที่น่าขบขันเป็นอย่างมากในสายตาขิงหวังเชียนเถาผู้นี้


“เป็นเจ้าต่างหากที่น่าขัน.... เจ้าโง่!!!!” จู่ ๆ เหมือนหูของหวังเชียนเถาคงจะแว่วได้ยินไปเอง คล้ายว่าเสียงของหม่าเฟยกำลังพูดกอกหูมันอยู่อย่างไรอย่างนั้น

แต่เมื่อลองมองไปยังจุดเก่าที่หม่าเฟยยืนอยู่ ตอนนี่เจ้าคนผมขาวกลับไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นอีกแล้ว

ขนอ่อนตรงต้นคอของหวังเชียนเถาลุกตั้งชัน แม้ว่ากระบี่ทั้งสองเล่มจะมีเพลิงไฟลุกโชติช่วงส่งความร้อนสุดแรงกล้า แต่ทว่าตัวของหวังเชียนเถากลับรู้สึกหนาวเหน็บเสียยิ่งกว่าเปลื้องผ้าท่ามกลางวายุเหมันต์

ดวงตาของคนค่อย ๆ เคลื่อนหันไปทางด้านข้าง สิ่งที่ควรอยู่ตรงนั้นควรจะเป็นภาพทิวทัศน์ยามสายัณห์ ทว่าภาพที่เห็นกลับกลายเป็นตัวของบุรุษชายเกศาขาวที่ถือทวนอยู่ในมือ

หม่าเฟยขึ้นมาอยู่บนนี้ได้อย่างไร?


หม่าเฟยไม่รีรออีกต่อไป คมทวนของคนเร่งจ้วงแทงเข้าใส่ตัวของหวังเชียนเถา หวังเชียนเถาที่ตอนนี้ไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับการป้องกันเลยก็มิต่างกับกุหลาบที่ไร้หนาม

คมเหล็กบนปลายทวนแทงทะลุร่างของหวังเชียนเถาอย่างง่ายดาย เลือดสีแดงสดต่างพรั่งพรูตามบาดแผลนั้นราวกับหัวดับเพลิงที่ไร้วาล์วปิด

“คนอย่างเจ้ามันไม่คู่ควรต่อการเป็นศิษย์สำนักสาขาหลักหวังเชียนเถา ข้าจะใช้แผลนี้ฝังเตือนเจ้าในทุกรุ่งเช้าให้เจ้าเห็นถึงความโง่เขลาของเจ้าที่ประมาทคนอย่างข้า!”

หลังจากจิ้มแทงทวนได้สำเร็จ ฝ่าเท้าข้างขวาของคนก็ได้ถีบยันออก แรงโน้มถ่วงคล้ายมีมือกำจับไปที่ร่างของหวีงเชียนเถาและฉุดดึงร่างของบุรุษร่างบางผู้ชุ่มโชกไปด้วยเลือดลงสู่พื้นดิน

ส่วนเจ้าคนผมขาว มันในตอนนี้ที่ไร้วิชาหรือพลังในการเหาะเหินก็ได้ปากำไลข้อมือลงไปที่พื้นดิน และในจังหวะที่กำไลข้อมือสีเงินนั้นกำลังจะตกกระทบพื้นดิน ร่างของหม่าเฟยก็ได้รออยู่ที่พื้นเพื่อรอรับกำไลของมันกลับไปสวมอยู่ที่ข้อมืออีกครั้ง


ด้านของกรรมการ

เหยาเหยียนเก๋อรีบล่อนร่างเข้าไปรับตัวของหวังชียนเถาเอาไว้ หากปล่อยให้ร่างของบุรุษหนุ่มคนนั้นกระแทกพื้นคงเป็นการบาดเจ็บสาหัสแน่

แล้วหลังจากรับร่างคนอ่อนแรงไว้ได้ เหยาเหยียนเก๋อเร่งตรวจสอบอาการเบื้องต้นก่อนถอนใจออกมา

ดูเหมือนหม่าเฟยจะจงใจแทงเลี่ยงจุดตาย ทำให้แผลใหญ่เพียงแผลเดียวก็คือแผลจากคมทวน อวัยวะภายในต่างไม่ได้ถูกคมทวนนั้นทำลายไป นับว่าบาดแผลนี้พักรักษาตัวราวสองเดือนก็สามารถกลับมาเดินเหินได้อย่างปกติแล้ว

“ศึกในคู่ที่สี่..ผู้ชนะได้แก่หม่าเฟย!!!”


เสียงของกรรมการต่างดังกึกก้อง ด้านผู้ชมเองตอนนี้คล้ายถูกภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าหลอกให้สับสน ไหนเลยคนที่ถูกรัวพลังโจมตีถี่ยิบกลับเป็นฝ่ายชนะได้ด้วยในการโจมตีเพียงครั้งเดียว

แปะ..แปะ..แปะ..แปะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

เสียงปรบมือจากหนึ่งเพิ่มเป็นสอง ก่อนจะทวีคูณจนดังกังวานไกล

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว