ตอนที่ 37
เมื่อไป๋ซิงเห็นค่ายกลที่กำลังหดเข้ามาเขาไม่ได้ตื่นตระหนกหรือหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
ร่างของไป๋ซิงที่ตกอยู่ภายใต้พลังของค่ายกลนั้น มังกรแห่งแสงและมังกรน้ำแข็งแปรเปลี่ยนกลายเป็นประกายแสงและเกล็ดน้ำแข็งจากนั้นแปรเปลี่ยนไปเป็นกระบี่ที่มีรูปร่างคล้ายกับแก่นแท้แห่งแสงที่อยู่ในจิตสำนึกของเขา
กระบี่แห่งแสงและกระบี่น้ำแข็งนั้นหมุนวนเข้าหากัน ค่อยๆปรากฏกระบี่แห่งแสงสิบเล่มและกระบี่น้ำแข็งสิบเล่มพวกมันห่อหุ้มปกป้องร่างกายของไป๋ซิงเอาไว้ กระบี่ทั้งยี่สิบเล่มนั้นยังคงหมุนวนอย่างต่อเนื่อง พลังของค่ายกลก็กระแทกลงเข้าใส่กระบี่ทั้งยี่สิบเล่ม
มันเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นอย่างถี่ยิบ ออร่าสีขาวและดำของค่ายกลถูกพลังกระบี่ฟาดฟัดปะทะกัน กระบี่น้ำแข็งที่เข้าปะทะกับค่ายกลถูกทำลายลงอย่างช้าๆ แต่พลังของค่ายกลก็อ่อนกำลังลงเช่นกัน และกระบี่แห่งแสงฟาดฟัดทำลายค่ายกลฟ้าดินแตกกระจายหายไป หลงเหลือไว้แต่ธงที่ปักอยู่บนพื้น
กระบี่น้ำแข็งสิบเล่มที่ถูกทำลายไปก็คืนสภาพดังเดิม ลอยรอบกายของไป๋ซิงพร้อมกับกระบี่แห่งแสง
“ฟงมู่เจ้าได้ไล่ล่าข้ามาจนถึงที่นี่ เพื่อที่จะสังหารข้ามันถึงเวลาที่ข้าจะตอบแทนเจ้าโดยการมอบความตายเป็นของขวัญให้เจ้า ดีหรือไม่” เมื่อได้ยินสิ่งที่ไป๋ซิงกล่าวแล้วฟงมู่นั้นเตรียมมือรับการโจมตีที่จะเข้ามาทันที
กระบี่แห่งแสงและกระบี่น้ำแข็งนั้นพยานเข้าหาฟงมู่ เมื่อฟงมู่เห็นกระบวนท่ากระบี่ทั้งสองธาตุกว่า 20 เล่มทะยานเข้ามาหาเขาด้วยความรวดเร็วเขาใช้สมบัติปกป้องชีวิตทันที
เป้ง เป้ง เป้ง เป้ง……
เมื่อกระบี่ปะทะเข้ากับสมบัติปกป้องชีวิตนั้น มีเสียงปะทะเหมือนโลหะเข้าปะทะกันแต่ถึงฟงมู่จะใช้สำหรับปกป้องชีวิต เขาก็รู้สึกถึงความร้อนจากกระบี่แห่งแสงและความเย็นยะเยือกจากกระบี่น้ำแข็งที่เข้าปะทะกับสมบัติปกป้องชีวิตนี้
‘เหตุใดเจ้าเด็กนี่ถึงได้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้และยังสามารถควบคุมกระบี่แห่งธาตุหลายสิบเล่มได้ในเวลาเดียวกันสมาธิของมันบรรลุถึงขั้นไหนกันแน่ถึงทำให้มันทำได้ถึงเพียงนี้’ ฟงมู่ที่แตกตื่นตระหนกไหนเลยคาดเดาได้ว่าไป๋ซิงนั้นฝึกปรือเคล็ดวิชาเพ่งจิตผ่านว่างเปล่าโดยการจ้องมองภาพวาดเทพธิดาหนี่วาในจิตสำนึก จนความเข้มแข็งของจิตวิญญาณเทียบเท่ากับสาวกตำหนักม่วง สามารถใช้พลังจิตควบคุมการโจมตีได้อย่างสมบูรณ์แบบและเขายังสามารถแบ่งจิตใจเป็นสองทางได้มาตั้งแต่ตอนเป็นทารกแล้ว
ฟงมู่หน้าดำคร่ำเครียด มันที่ถือกำเนิดในตระกูลฟงอันทรงอิทธิพลไม่ด้อยไปกว่าตระกูลไป๋ แต่เขาไม่คิดเลยว่าเจ้าเด็กนี่จะสามารถฝึกฝนวิชากายาเทพอสูรว่างเปล่าที่ไม่มีใครฝึกฝนได้มาก่อนเขาย่อมทราบดีถึงความร้ายกาจของวิชานี้ที่มันอธิบายไว้ในตำรา วิชานี้เหนือกว่าวิชากายาเทพอสูรทั่วไปนับร้อยเท่า ตามปกตินั้นผู้ฝึกฝนกายาเทพอสูรจะเหนือล้ำกว่าผู้ฝึกพลังปราณในระดับเดียวกันอยู่แล้ว ยามนี้แม้ไป๋ซิงจะเพียงเพิ่งบรรลุระดับเหนือธรรมชาติขั้นแรกเริ่มและตัวมันเป็นผู้ฝึกพลังปราณระดับเหนือธรรมชาติขั้นสูง มันก็ยังไม่กล้าเสี่ยงอันตรายรับการโจมตีของไป๋ซิงโดยตรง เพราะมันได้เห็นการโจมตีของไป๋ซิงจากการต่อสู้กับนางพญานาคเจ็ดเศียรเจ้าเด็กนี่สามารถต่อกรกับนางพญานาคเจ็ดเศียรได้อย่างเท่าเทียมในขณะที่นางพญานาคเจ็ด เศียรนั้นสามารถต่อกรกับสัตว์อสูรระดับเหนือธรรมชาติขั้นสูงได้อย่างสูสี
ก่อนหน้านี้ที่มันถือดีว่ามีพลังของค่ายกลฟ้าดินและคิดว่าไป๋ซิงไม่มีสมบัติวิเศษใดติดตัว เมื่อสภาพความเป็นจริงยืนยันต่อมันว่าแม้แต่พลังของค่ายกลก็ยังมิอาจทำอะไรอีกฝ่ายได้ ไม่ว่ามันไม่ยินยอมพร้อมใจถึงเพียงไหน ทางเลือกเดียวที่หลงเหลืออยู่ก็คือต้องล่าถอยอย่างสุดกำลัง
นี่เป็นสิ่งเดียวที่มันคิดได้ในตอนนี้
“ข้าจะต้องไม่ปล่อยให้เจ้าเด็กนี่มีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าต้องรีบแจ้งต่อผู้อาวุโสของตระกูลให้เร่งจัดการกับมันโดยเร็วที่สุดมิเช่นนั้นแล้วถ้ามันเติบโตเช่นนี้ต่อไปแม้จะเป็นผู้อาวุโสของตระกูลก็อาจจะไม่สามารถรับมือกับมันได้และจะเป็นภัยคุกคามต่อตระกูลฟงอย่างแท้จริง” ฟงมู่หวาดหวั่นต่อพลังของไป๋ซิงเป็นอย่างมาก ค่ายกลนั้นต่อให้ร้ายกาจเพียงใดก็ยังต้องใช้เวลาในการจัดตั้ง แต่พลังขอไป๋ซิงมิเพียงแข็งแกร่งยิ่งกว่ายังสามารถใช้ออกได้ดังใจได้ตลอดเวลา
ตระกูลของพวกเขาทั้งสองนั้น เป็น 2 ใน 6 ผู้ปกครองดินแดนเทือกเขาดอยทะลุฟ้าก็เป็นเพราะว่าทั้งสองตระกูลนั้นมีผู้อาวุโสที่มีพลังอยู่ในระดับสาวกตำหนักม่วงคอยคุ้มครองดูแลตระกูลอยู่ห่างๆ เขาจึงต้องแจ้งต่อผู้อาวุโสหวังพึ่งผู้อาวุโสที่มีระดับสาวกตำหนักม่วงในตระกูลเข้าสยบไป๋ซิงก่อนที่อีกฝ่ายจะเติบโตแข็งแกร่งไปกว่านี้
ฟงมู่หยิบคัมภีร์บางอย่างออกมาจากแหวนมิติ “ม้วนผนึกแห่งเต๋า ท่าร่างสายลม” ฟงมู่ที่เรียกเอาม้วนกระดาษสีดำที่มีลายเส้นสีเลือดล้อมพันและมีอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่เปล่งประกายลี้ลับออกมา จากนั้นแผ่พุ่งพลังปราณระดับเหนือธรรมชาติเข้าไป อักขระศักดิ์สิทธิ์เปล่งลำแสงออกมาและไหลเข้าสู่ร่างกายของฟงมู่และร่างของเขาแปรเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงพุ่งหนีออกจากบริเวณนี้อย่างรวดเร็ว
“เมื่อมาแล้วเจ้าคิดจะหนีอย่างนั้นเหรอ” ร่างกายของไป๋ซิงเร่งเร้าโคจรพลังกายาเทพอสูรออกมาอย่างเต็มที่พร้อมกับใช้กฎเกณฑ์แห่งแสงและไล่ล่าติดตามไปทันที
“เพียงเชื่องช้ากว่าข้าเล็กน้อยเท่านั้น” เมื่อฟงมู่เห็นไป๋ซิงติดตามมาอย่างกระชั้นชิดหน้าเขาก็ถอดสี เขาพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกเศร้าเสียดาย กัดฟันดึงเอาผนึกแห่งเต๋าม้วนที่สองออกมาแล้วแผ่พุ่งพลังปราณเข้าไป
“ม้วนผนึกแห่งเต๋า เคลื่อนสายลมสวรรค์” เงาอักขระอีกหนึ่งชุดหลั่งไหลเข้าหลอมรวมในร่างของฟงมู่ช่วยให้ร่างที่กลับกลายเป็นลำแสงเร่งความเร็วสูงขึ้นไปอีก
“เจ้าลงทุนกระทั่งใช้ของล้ำค่าอย่างม้วนผนึกเพื่อหลบหนีข้า” เมื่อเห็นฟงมู่หนีห่างออกไปเรื่อยๆไป๋ซิงก็ยังไม่หยุดไล่ล่าอยู่ดี
“เด็กบัดซบตระกูลไป๋จงลำพองต่อชัยชนะชั่วคราวนี้ไปเถิด ข้าจะรายงานเรื่องนี้ต่อผู้อาวุโสตลอดจนคนของภูเขาหมื่นดาราที่เป็นคู่แค้นของตระกูลไป๋ ขอเพียงตระกูลฟงของเรากับภูเขาหมื่นดาราร่วมมือกันเจ้าจะต้องตายโดยไร้ที่กลบฝัง” ฟงมู่เครียดแค้นไป๋ซิงอย่างมากเพราะไป๋ซิงนั้นต้องทำให้เขาใช้ม้วนผนึกถึงสองม้วนแม้ของชิ้นนี้จะไม่อาจเทียบเท่ากับเครื่องรางหลบหนี แต่มูลค่าของมันนั้นมหาศาลเป็นอย่างมากเมื่อไป๋ซิงบีบให้เขาต้องใช้ม้วนผนึกถึงสองม้วนมันทำให้เขานั้นเครียดแค้นชิงชังไป๋ซิงเป็นอย่างมาก
ฟงมู่กลายเป็นลำแสงหลบหนีอย่างสุดชีวิตพลันพบเห็นก้อนหินขนาดใหญ่และต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ลอยเบื้องหน้าขวางเส้นทางของเขา ก้อนหินขนาดใหญ่ลอยเข้าจะปะทะกับตัวของเขา
“ทำลาย” ฟงมู่เรียกแส้มาไว้ในมือและสะบัดแส้ทำลายก้อนหินและต้นไม้ที่ลอยเข้ามาหาจนกลายเป็นเศษซาก ทว่าด้วยการที่เขาทำลายก้อนหินและต้นไม้ทำให้ความเร็วของเขาลดลงเล็กน้อย
ถึงเขาจะทำลายก้อนหินและต้นไม้ไปเท่าไหร่ก็มีสิ่งกีดขวางมากขึ้นเรื่อยๆทั้งต้นไม้ก้อนหินสิ่งของต่างๆนานาลอยเข้ามาหาเขาจากทั่วทิศทาง
ท่ามกลาง ต้นไม้ ท่อนไม้ ก้อนหิน ที่ล่องลอยเต็มท้องฟ้า บ้างบดบังขวางหน้า บ้างพุ่งกระแทกเข้าใส่ ฟงมู่มิอาจรักษาระดับความเร็วเอาไว้ได้อีกต่อไป
“นี่หมายความว่าอย่างไร” ใบหน้าของฟงมู่มืดคล้ำดำเขียวซีดเผือดไร้สีเลือด สุดยอดฝีมือที่มีพลังปราณสูงส่งอาจสามารถบงการสมบัติวิเศษให้ทำตามคำสั่ง แต่การบังคับสิ่งของทั่วไปให้ลอยไปมาในอากาศเช่นนี้ ต่อให้เป็นสาวกตำหนักม่วงมาด้วยตนเองก็ยังกระทำมิได้
ปัง
ลำแสงสีขาวขนาดมหึมาพุ่งเข้าใส่ด้านหลังของเขา ฟงมู่สะบัดแส้ไปข้างหน้าพันก้อนหินและเหวี่ยงเข้าปะทะกับลำแสงที่พุ่งเข้ามา
ตู้ม
เสียงระเบิดดังสนั่น แต่ด้วยก้อนหินที่ขนาดใหญ่ทำให้สามารถต้านทานลำแสงสีขาวได้อย่างชิวๆ
‘อันตรายจริงๆ ถ้าลำแสงนั่นปะทะเข้ากับตัวเราคงบาดเจ็บสาหัสแน่’ ฟงมู่ได้แต่ร้องอุทานในใจ
“นี่ก็เป็นฝีมือของเจ้ารึ” ฟงมู่ตระโกนกลับไป ด้วยการปะทะกันที่รุนแรงนั้นทำให้ความเร็วของเขาตกลงอีกส่วนหนึ่งแต่แส้เถาไม้ดำในมือยังคงปัดป่ายสิ่งของที่ลอยเข้าหาอย่างต่อเนื่อง มันพยายามดิ้นรนอย่างสุดความสามารถเพื่อรักษาระดับความเร็วในการเคลื่อนที่เอาไว้
ไป๋ซิงเพียงเหยียดยิ้มไม่ตอบคำ
เขาได้ใช้ท่าร่างเงาอัสนีขั้นฟ้ามนุษย์หลอมรวม รวมเข้ากับพลังของกายาเทพอสูรและกฎเกณฑ์แห่งธาตุแสงทำให้ความเร็วของเขานั้นเกือบจะเทียบเท่าฟงมู่ที่ใช้ม้วนผนึกสำหรับหลบหนีถึง 2 ม้วน ทำให้ความเร็วของพวกเขาทั้งสองคนนั้นที่เกือบจะเทียบเท่ากับสาวกตำหนักม่วงขั้นต้นกันเลยทีเดียว
แต่ถึงความเร็วของทั้งสองนั้นจะใกล้เคียงกันแต่ก็ทำให้ไป๋ซิงรับรู้ว่าเขาไม่สามารถเข้าใกล้ฟงมู่ได้เลยระยะห่างของพวกเขานั้นห่างเกือบ500เมตรกันเลยทีเดียว
นั่นทำให้เขาตัดสินใจที่จะใช้ไพ่ตายอีกใบของเขา นั่นก็คือพลังจิต พลังจิตของเขานั้นมีอนุภาคเทียบเท่ากับผู้ที่อยู่ระดับหมื่นดาราร่วมสำแดง
ผู้ที่อยู่ระดับหมื่นดาราร่วมสำแดงนั้นสามารถโยกย้ายสิ่งของได้ แต่สำหรับไป๋ซิงนั้นเขาสามารถทำได้อย่างง่ายดายไม่ว่าจะเป็นการยกย้ายสิ่งของการควบคุมหลายๆสิ่งพร้อมกันหรือการรับรู้รอบกายของเขาด้วยพลังจิต
แต่สำหรับบุคคลทั่วไปนั้นไม่สามารถทำเหมือนอย่างเขาได้ ผู้ที่จะทำสองสิ่งได้นั้นต้องอยู่ระดับตำหนักม่วงหรือผู้เป็นอัจฉริยะถึงจะทำได้ก่อนจะถึงขั้นตำหนักม่วง การโยกย้ายสิ่งของนั้นหรือจิตตานุภาพต้องอยู่ในขั้นหมื่นดาราร่วมสำแดงถึงจะสามารถใช้ได้ และการรับรู้รอบกายนั้นต้องอยู่ในระดับจักรวาลแรกกำเนิด แต่ที่พูดมาทั้งหมดนี้นั้นเขากลับสามารถทำได้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ขั้นเหนือธรรมชาติแล้ว
“จิตตานุภาพ”ฟงมู่อุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
“เป็นไปไม่ได้ เจ้าจะต่อต้านสวรรค์มากเกินไปแล้ว” โดยปกติแล้ว ‘สาวกตำหนักม่วง’ จะมีพลังจิตที่เข้มแข็งจนสามารถ ‘แบ่งใจเป็นสองทาง’ กระทำเรื่องสองประการที่เป็นอิสระจากกันได้โดยพร้อมเพรียง
เมื่อฝึกปรือจนถึงระดับ ‘หมื่นดาราร่วมสำแดง’ พลังแห่งจิตจะกล้าแข็งขึ้นจนสามารถใช้ ‘จิตตานุภาพ’ เคลื่อนย้ายสิ่งของได้ด้วยจิตสำนึก
และเมื่อก้าวขึ้นถึงระดับ ‘จักรวาลแรกกำเนิด’ จะสามารถเบิกเนตรดวงที่สามและสำแดงพลังแห่ง ‘เทพสำนึก’ ออกมา
เขานั้นก็ศึกษาตำราของตระกูลมาเหมือนกันทำให้เขารู้หลายสิ่งหลายอย่างแต่สิ่งที่เจ้าเด็กนี่แสดงออกมานั้นมันเหนือล้ำกว่าสิ่งที่เขาศึกษาจากตำราเสียอีก
ในการฝึกฝนพลังจิตนั้นโดยทั่วไปจะต้องเริ่มฝึกจากการนั่งสมาธิอย่างสงบและจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแต่ถ้าเป็นตระกูลใหญ่ก็จะมีเคล็ดวิชาสำหรับฝึกจิตเพื่อบ่มเพาะสร้างความแข็งแกร่งทั้งกายและจิตใจไปพร้อมกัน แต่ไม่มีเคล็ดวิชาใดที่จะสามารถทำได้ถึงเพียงนี้
“เจ้าหนีข้าไม่พ้นแล้ว” ไป๋ซิงไล่กวดตามหลังและเร่งเร้าพลังจิตออกไปไม่หยุดยั้ง กวาดสิ่งกีดขวางทั้งมวลเข้าสกัดร่างของฟงมู่จากรอบทิศทาง
“ไม่เป็นไม่ได้ถึงเจ้าเด็กนี่จะเป็นอัจฉริยะยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถใช้จิตนุภาพได้เจ้าเด็กนี่ต้องมียอดฝีมือระดับสูงของตระกูลคอยปกป้องอยู่แน่นอน” ฟงมู่ถูกบังคับให้ต้องหยุดร่างลงในที่สุด สมองของมันเริ่มสั่งการให้ดิ้นรนหาทางรอดทุกวิถีทางที่มันจะสามารถรอดไปได้
“ทำลาย” กระบี่กฎเกณฑ์ทั้งสองพุ่งทะลวงเข้าหาฟงมู่
“บัดซบ” เมื่อเห็นกระบี่พลังธาตุหลายสิบเล่มพุ่งเข้ามาหาฟงมู่ได้แต่ใช้แส้ป้องกันการโจมตีที่พุ่งเข้ามา
“โล่แส้เถ่าดำ”แส้สีดำหมุนเป็นวงกลมอยู่บริเวณหน้าของฟงมู่
“หยุดการดิ้นรนอันไร้ประโยชน์ได้แล้ว” เมื่อเห็นสิ่งที่ฟงมู่ทำนั้นไป๋ซิงกล่าวออกมาอย่างเฉยชา
“เด็กบัดซบตระกูลไป๋ข้าขอแลกชีวิตกับเจ้าแล้ว” ฟงมู่อาศัยโล่แส้เถ่าดำต่อต้านพลังกระบี่กฎเกณฑ์แห่งธาตุเอาไว้ ส่วนตนเองทุ่มเทพลังปราณเข้าสู่มืออีกข้าง และหยิบยาต้องห้ามขึ้นมากิน เมื่อกินยาต้องห้ามแล้วนั้นพลังปราณของเขานั้นทะลวงเข้าขั้นสูงสุดของระดับเหนือธรรมชาติเป็นการชั่วคราว เขาสะสมพลังงานออร่าสีดำไว้บนฝ่ามือและจู่โจมเข้าใส่ไป๋ซิงอย่างรวดเร็วรุนแรง
ไป๋ซิงเรียกปืนแห่งแสงขึ้นมาในมือกระหน่ำยิงออกไปใส่ออร่าสีดำที่พุ่งเข้ามาโจมตี
เขาปล่อยให้กระบี่กฎเกณฑ์ทั้งสองกระหน่ำโจมตีเข้าใส่แซ่เถาไม้ดำอย่างต่อเนื่อง
“แหลกไปซะ”ฟงมู่รวบรวมเรี่ยวแรงกระชากดึงแส้เถาไม้ดำที่คอยป้องกันกระบี่กฎเกณฑ์ทั้ง20 เล่มและสะบัดแส้ฟาดฟันเข้าใส่กระบี่กฎเกณฑ์ทั้ง 20 เล่มอย่างบ้าคลั่ง
“ไม่ ข้าไม่มีวันยอมตกตายใต้เงื้อมมือของเด็กน้อยผู้หนึ่ง” ฟงมู่ยินยอมละทิ้งทุกสิ่งเพื่อเอาชีวิตรอด มันปล่อยมือออกจากแส้วิเศษที่ไม่เคยยินยอมให้ห่างกายแล้วหันหลังกลับตระเตรียมหลบหนีอีกครั้ง
แต่การตัดสินใจนี้ของมันนั้นกลับเป็นหนทางที่นำไปสู่ความตายที่เร็วยิ่งขึ้น
“ซีโร่ เมทราเจ็ตต้า” กระสุนลำแสงมากมายมหาศาลถูกยิงออกมาในครั้งเดียว กระสุนลำแสงนั้นปกคลุมทั่วร่างของฟงมู่เสียงร้องคร่ำครวญจากร่างที่ถูกเผาผลาญจากกระสุนมากมายมหาศาลเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดสิ้นสุด ถูกเจาะทะลวงทุกส่วนของร่างกายและปลิดชีวิตอันชั่วร้ายของมันไป ทำให้ร่างกายของมันนั้นสลายหายไปไม่เหลือแม้แต่นิดเดียว
ติ้ง
สังหารผู้ฝึกตนขั้นเหนือธรรมชาติขั้นสูง 1 คน ได้รับแต้มอัพเกรด 90,000แต้ม
ไป๋ซิงเก็บปืนแห่งแสงกลับไปเขามองร่างกายที่สลายหายไปไม่เหลือของฟงมู่
*********************************************************************
ฝากกดไลค์ กดแชร์ กดติดตามช่องทางyoutube ด้วยนะครับ
ช่อง เล่าไปเรื่อย Channel
https://www.youtube.com/channel/UCq0jhJfgu3BFHkCtMgcTBcQ
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว