บทที่ 3
ความเชื่อใจที่ไม่สั่นคลอน
“...อือ”
แสงที่ส่องสว่างผ่านบานกระจกทำให้สาวที่นอนหลับอยู่บนเตียงตื่นจากนิทรา ร่างนั้นหยัดตัวขึ้นนั่งอย่างงุนงง
แต่เพียงเหลือบหางตาไปทางซ้ายกลับทำให้เธอได้สติแทบจะทันที ชายร่างกำยำที่นอนอยู่ด้านข้างคนที่ขืนใจเธออย่างสุดสาหัส แม้อยากจะลืมสักแค่ไหนกลับยิ่งทำให้หญิงสาวจดจำมันได้อย่างแจ่มชัดถึงความเจ็บปวดที่ได้รับเมื่อคืน
“จะไปไหน?” ภวิศจับแขนไลลาไว้เมื่อเห็นว่าเธอเตรียมจะออกจากเตียงไป ดวงตาดำสนิทแววลุ่มลึกทอดมองสาวอย่างไม่อาจล่วงรู้
“เพียะ! คุณได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วดังนั้นฉันก็จะกลับแล้วค่ะ”
ไลลารีบปัดมือของเขาออกอย่างเต็มแรง เธอพูดชัดถ้อยชัดคำด้วยน้ำเสียงจริงจังแววตาเกรี้ยวกราด เขายังจะกล้ามาถามเธออีกว่าจะไปไหน สิ่งที่เขาทำไปเธอก็หาได้สมยอม ทั้งมัดมือและยังไม่สนใจถึงความเจ็บปวดที่เธอได้รับ
ไม่ว่าอย่างไงคนแบบนี้เธอก็ขอไม่ยุ่งด้วย!
เมื่อได้จังหวะเธอก็รีบหอบร่างเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว สายน้ำจากฝักบัวกระทบลงศีรษะ ภาพต่างๆ เมื่อคืนยังคงหยั่งรากลึกลงไปกลางใจสาวน้อย เธอโอบกอดตัวเองพลางสะอื้นเบาๆ มิให้ชายด้านนอกรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดนี้
ร่างกายของเธอยังคงปวดร้าวร่องรอยต่างๆ ยังคงไม่เลือนหาย....
นับร่วมชั่วโมงที่เธอเข้าไปภายในนั้น ก่อนจะออกมาพร้อมกับชุดคลุมอาบน้ำสีขาวที่ถูกจัดเตรียมไว้ภายในห้องน้ำ สายตาของเธอเย็นเยียบต่างจากคนที่นอนอยู่ เขามองร่างบางที่เดินออกมาอย่างร้อนรุ่มราวกับว่าถ้าเมื่อคืนเธอไม่หนีเขาไปเสียก่อนคงไม่จบไปอย่างง่ายๆ
“จะรีบไปไหนครับ? ผมรู้ว่าคุณยังเจ็บอยู่”
เขาหยัดกายขึ้นยืนเต็มความสูง เผยให้เห็นรอยสักด้านหลังที่สลักไว้อย่างชัดเจน รอยสักขนาดใหญ่เต็มแผ่นหลังเมื่อได้ลองมองปุ๊บก็รู้ได้ทันทีว่ามาจากตระกูลราพณาสูร รอยสักรูปยักษ์ อาจจะด้วยเมื่อคืนเธอไม่ได้สนใจว่าอะไรจะอยู่ด้านหลังเขากระมังจึงทำให้เธอไม่เห็นสิ่งที่เด่นหราอยู่ตรงนี้
“จะกลับไปทำงานต่อค่ะ มีเรื่องอีกมากที่ต้องสะสาง” ไลลาพูดทั้งยังมองรอยสักนั้นไม่วางตา
“ฮึฮึ ชอบรอยสักนี้เหรอครับ...?”
“...”
“น่าเสียดายถ้าไม่มีรอยเล็บ..คุณคงเห็นชัดกว่านี้” ภวิศกระตุกยิ้มบางๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยแววหยอกเย้า
“ฉันจะกลับแล้วค่ะ!”
เขาพูดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร้ยางอายผิดจากเธอ ไลลาหยิบโทรศัพท์โรงแรมเตรียมยกสายเรียกลูกน้องคนสนิทของตน
“งั้นเย็นนี้เจอกันนะครับ” เขาย้ำเตือนความเป็นจริงที่แสนหน้าเจ็บใจ
หลังงานแต่งจบลงเธอต้องย้ายไปอยู่บ้านของตระกูลราพณาสูร แต่ถึงจะขึ้นชื่อว่าบ้านของตระกูลราพณาสูรก็หาใช่บ้านที่ชัยกรและกรองแก้วอยู่ แต่เป็นบ้านที่ถูกปลูกไว้สำหรับเป็นเรือนหอให้ลูกชายคนเดียวของตระกูลอย่างภวิศได้เข้าไปใช้กับผู้เป็นภรรยา
บ้านหลังนี้ถูกสร้างไว้นานจนเธอเองก็จำไม่ได้ว่านานเท่าไหร่ อาจจะตั้งแต่เธออายุยี่สิบเลยกระมังที่บ้านนี้เริ่มสร้างขึ้นมา…
“...” ไลลาเงียบไม่ได้ตอบกลับพลางยกโทรศัพท์หาคนของตัวเอง ไม่สนใจคำพูดที่ชายคนนั้นพูด ภวิศที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมาและเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างสบายใจ
หลังจากที่ไลลาแต่งตัวเรียบร้อยมายาและกันต์ก็เข้ามาภายในห้อง เผ้าผมของเธอยังคงเปียกชื้นเนื่องจากเธอไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่มากนัก คนใช้สาวเริ่มเก็บข้าวของของเธอรวมไปถึงชุดเจ้าสาวที่ถูกแขวนเอาไว้อย่างลวกๆ ไม่ต้องรอให้ผู้เป็นสามีที่พึ่งจะแต่งงานกันเมื่อวานออกมาเธอก็ออกจากห้องไปอย่างไม่สนใจไยดี
“ของถูกเตรียมเรียบร้อยแล้วนะครับ” กันต์เอ่ยบอกนายถึงข้าวของที่เธอจะต้องเตรียมย้ายไปที่บ้านใหม่ มันถูกจัดเตรียมเอาไว้ก่อนที่เธอจะแต่งงานเสียอีก
“ขอบคุณมาก ตอนนี้ฉันอยากจะกลับบ้านก่อนส่วนของบอกให้ย้ายไปก่อนได้เลย”
“ครับ” บอดี้การ์ดคู่ใจเอ่ยตอบรับ สายตาลุ่มลึกของเขานั้นจ้องมองร่องรอยสีแดงที่ต้นคอระหง แม้พยายามจะเอาผมบังไว้เพียงไหนแต่ก็ไม่พ้นสายตาคมกริบคู่นั้น
หลังจากนั้นเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วจากเช้าตอนนี้ก็เริ่มตกเย็น ทั้งห้องที่เธอคุ้นตา บ้านที่เคยอยู่ ผู้คนที่พบเห็นในตอนนี้คงถึงเวลาต้องห่างกัน ไลลาถือกระเป๋าใบเล็กในมือกำจนแน่นก่อนจะตัดสินใจเดินขึ้นรถไป
เธอนำคนของตนเองมาห้าหกคนส่วนมากก็เป็นคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี สายตาที่จ้องมองนอกกระจกรถช่างเลื่อนลอย การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ช่างน่าหวาดหวั่น...
“ถึงแล้วครับ” เสียงชายขับรถเอ่ยขึ้น
รถคันหรูค่อยๆ จอดลงเผยให้เห็นบ้านด้านหน้า บ้านสุดหรูที่ใครมองก็รับรู้ได้ถึงความร่ำรวยของผู้ที่สร้าง ลูกชายคนเดียวของตระกูลที่ยิ่งใหญ่ทั้งคนหากจะน้อยไปก็คงจะไม่สมราคา ร่างน้อยก้าวออกจากประตูข้างโดยมีผู้คนมากมายมายืนรอต้อนรับ
“ยินดีต้อนรับค่ะ/ครับ นายหญิง”
จากคุณหนูกลายมาเป็นนายหญิง จริงๆ คนที่เรียกเธอว่าคุณหนูก็มีอยู่ไม่กี่คนส่วนมากก็เป็นคนที่อยู่ด้วยกันมานานเรียกจนติดเป็นนิสัย แต่ถึงอย่างนั้นคำว่านายหญิงก็ทำให้ไลลารู้สึกแปลกๆ
“ทุกคนเรียกชื่อฉันดีกว่านะคะ” ไลลาคลี่ยิ้มออกมาบางๆ แต่ก็ไม่ผ่อนวางกิริยาสง่าเอาไว้
แต่เพียงคำพูดเล็กๆ นั้นกลับทำให้เหล่าคนรับใช้ผ่อนความตึงเครียดลง อาจจะเป็นเพราะการมาทำงานที่ตระกูลนี้ทำให้พวกเขาต้องคอยระวังตัวเองอยู่เสมอ ไม่ใช่แค่กับคนภายนอกที่เป็นอริแต่กับคนภายในก็น่ากลัวไม่แพ้กัน แม้งานมันจะดูยากลำบากสักแค่ไหนแต่ผลตอบแทนนั้นมันก็แสนจะคุ้มค่า
“มาแล้วงั้นเหรอครับ” เสียงที่ไม่อยากได้ยินมากที่สุดเอ่ยดังจากด้านหลัง ทำเอาเหล่าคนที่เริ่มผ่อนคลายกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง
ภวิศมาพร้อมกับรอยยิ้มต้อนรับแต่ไลลานั้นกลับไม่สนใจ ดวงตาน้อยๆ จ้องมองชายด้านหน้าไม่ไหวติง เรื่องเมื่อวานเธอยังคงจำมันได้ขึ้นใจ รอยยิ้มที่ออกมาอย่างไม่จริงใจเธอนั้นดูออก
“พาฉันไปที่ห้องหน่อยได้ไหมคะ” ไลลายิ้มอย่างเป็นมิตรให้สาวใช้ด้านหน้าเนื่องเธอพึ่งมาจึงไม่รู้ที่ทางภายในบ้าน หรือจะให้เรียกว่าคฤหาสน์ก็ไม่เป็นการโอเวอร์จนเกินไป
“เดี๋ยวผมพาไปเองครับ ส่วนคนอื่นน่ะกลับไปทำงานของตัวเองได้แล้ว”
ภวิศพูดพร้อมใบหน้าที่ยิ้มบางๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเย็นชาสั่งลูกน้อง ทำเอาเหล่าหญิงชายด้านข้างต้องรีบออกจากตรงนั้นทันที
เธอเองก็ไม่สามารถว่าอะไรคนพวกนั้นได้ อย่างไงเสียคำสั่งของภวิศผู้เป็นเจ้าบ้านก็ย่อมสูงกว่าเธอที่แต่งเข้ามาอยู่แล้ว
“เชิญครับ”
เมื่อเข้ามาด้านในหญิงสาวก็ทอดสายตามองโดยรอบ ด้านในบ้านก็หรูหราอย่างที่คาดไว้ การตกแต่งแบบตะวันตกเสริมให้ดูเป็นผู้ดียิ่งขึ้นไปอีก เดินมาสักพักชายด้านหน้าที่นำอยู่ก็หยุดลง ภายในห้องของเธอที่ถูกจัดเตรียมไว้เป็นการตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่มีสไตล์เหมือนที่เธอชอบ
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนที่แต่งห้องนี้ให้เธอนั้นไม่ใช่ชายที่อยู่ตรงหน้าแต่เป็นกรองแก้วแม่ของเขาอย่างแน่นอน
“ขอบคุณที่พามานะคะ ไม่รบกวนเวลาคุณแล้วล่ะค่ะ” ทั้งที่ใบหน้ายิ้มแย้มแต่แฝงประชดประชัน พูดจบไลลาก็ก้าวเดินเข้าไปด้านในห้อง
“ฮึฮึ นี่คุณยังโกรธเรื่องเมื่อคืนอยู่อีกเหรอ...?” ภวิศจับข้อมือหญิงสาวไว้เมื่อเห็นเธอเตรียมเดินเข้าไป
เห็นแบบนั้นกันต์ที่เดินมาด้วยจึงจับแขนของภวิศหยุดไว้ ออร่ารอบตัวทั้งสองเริ่มเปลี่ยนไป สองตามองประสานกันราวกับจะฆ่าแกงกันเสียตรงนี้ สายตาของภวิศที่มองลุ่มลึกจนน่ากลัว ในขณะที่กันต์เองก็หาได้เกรง สายตาเยียบเย็นเหมือนกับเจอเหตุการณ์แบบนี้มานักต่อนัก
“กรรรร โฮ่งๆๆ”
ยังไม่ทันที่ไลลาจะเข้าห้ามก็มีหมาร็อตไวเลอร์ตัวใหญ่วิ่งกรูเข้ามา เสียงขู่ของมันทำให้จุดสนใจของทั้งสามคนเปลี่ยนไป
“หยุด”
เพียงคำสั่งสั้นๆ ของภวิศหมาที่ดูดุร้ายเมื่อครู่กลับแปลเปลี่ยนไปสงบนิ่งทันตา “นั่งลง” เขาปล่อยมือออกจากแขนเธอและกลับไปออกคำสั่งหมาตัวดังกล่าว
“เจ้าตัวนี้ชื่อร็อตน่ะครับเป็นหมาที่ผมเลี้ยงเอาไว้”
ไม่ใช่แค่เจ้าตัวนั้นตัวเดียวที่เปลี่ยนไปภวิศเองก็เช่นกัน เมื่อครู่ยังมีรังสีอำมหิตแผ่ออกมาอยู่เลยแต่ในตอนนี้กลับหายไปจนหมด เขาหันกลับมายิ้มให้ไลลาอย่างกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไม่ต้องบอกก็รู้อยู่แล้วว่าคนคนนี้น่ากลัวมากแค่ไหน แต่....
“ร็อตนี่ย่อมาจากร็อตไวเลอร์เหรอคะ?”
“ใช่ครับนี่ผมเคยบอกไปแล้วอย่างนั้นเหรอ...?”
อะไรกัน...ทั้งๆ ที่เป็นคนที่น่ากลัวถึงขนาดนั้น แต่กลับไม่มีเซนส์เรื่องการตั้งชื่อเอาเสียเลย ถ้าหากเขาเลี้ยงหมาปั๊กชื่อมันก็คงจะเป็นปั๊กแน่ๆ
“ฮึฮึๆ อะไรกันนี่แกชื่อร็อตงั้นเหรอเนี่ย” บรรยากาศที่ตึงเครียดโดนกลบโดยรอยยิ้มนั้นจนหมด ผู้หญิงที่มักจะนิ่งเฉยเย็นชาเมื่อเผยรอยยิ้มออกมามันช่างดึงดูดอย่างเหลือเชื่อ
สายตาชายทั้งสองเฝ้ามองรอยยิ้มนั้นไม่กะพริบ ในขณะที่หญิงสาวยังไม่สนและลูบหัวเจ้าหมาตัวโตด้านหน้าอย่างไม่เกรงกลัว คงเป็นเพราะเธออยู่กับชายสองคนที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่า จึงทำให้ในสายตาเธอมันช่างดูน่ารักน่าเอ็นดู
“ร็อต! ขอโทษด้วยครับนายท่าน” คนดูแลสุนัขตัวนี้วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนเนื้อตัวสั่นเทา เขาดันปล่อยให้หมาวิ่งหนีออกมาแถมยังมาอยู่กับนายหญิงและนายท่านของบ้านอีก
“ทำไมร็อตถึงมาอยู่ที่นี่?” คำพูดนั้นสั่นคลอนใจชายที่เดินเข้ามา
“คะ..คือว่า..”
“พอเถอะค่ะ ฉันขออยู่กับเจ้าร็อตอีกสักหน่อยได้ใช่ไหมคะ?” ไลลาพูดแทรกขึ้น ชายคนดูแลคงทำงานพลาดอย่างไม่ต้องสงสัย หากซักไซ้ไปก็มีแต่จะแย่เสียเปล่าๆ
“ถ้าคุณต้องการก็ย่อมได้...ตอนนี้ใกล้เวลาที่นัดแล้วด้วยงั้นผมขอไปเตรียมตัวก่อนนะครับ”
เขามองนาฬิกาพาเนรายที่ข้อมือพร้อมเอ่ยพูด แต่ก่อนไปก็ไม่พลาดจูบลงบนเรียวมือเธอเสียก่อน
“ฉันขอเล่นกับเจ้าร็อตก่อนนะคะ เอาไว้เดี๋ยวฉันให้คนไปตามคุณ” เธอเอ่ยยิ้มเบาๆ กับผู้ดูแลก่อนที่เขาจะรีบก้มรับและรีบจากไป
ในระหว่างที่เธอเดินสำรวจบ้านก็มีทั้งเจ้าร็อตและกันต์เดินประกบ ร็อตเชื่องกับเธอกว่าที่คิดแถมเข้ากันได้อย่างน่าเหลือเชื่อ เพราะแบบนี้กระมังเธอจึงถูกชะตากับมันมาก
“เรื่องคุณภวิศผมว่าคุณควรที่จะระวังเขาให้มากกว่านี้นะครับ” ดวงตาคมเหลือบมองหญิงตรงหน้าด้วยสายตาจริงจัง
“นั่นสินะ...”
เรื่องนั้นเธอรู้ดีกว่าใครแต่เขาเป็นคนที่ฉลาดและเจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก เขามักจะรู้จุดอ่อนของคนอื่นอยู่เสมอและไม่เปิดเผยความรู้สึกของตนเอง มันจึงเป็นการยากที่จะรับมือกับคนแบบนี้
“คุณมักจะไม่ระวังตัวเอง...แถมยิ่งคุณรู้สึกไว้ใจก็ยิ่งไม่ระวังเข้าไปใหญ่”
สายตาคู่นั้นล้ำลึกเกินหยั่ง เขาเดินเข้ามาใกล้เธอก่อนจะดันร่างน้อยชิดกำแพง
“....รอยที่คอนี่เป็นเครื่องหมายที่บอกว่าคุณไม่ระวังตัว” มือหนาค่อยๆ ยกขึ้นจับลำคอ แม้ในตอนนี้จะแทบมองไม่เห็นเพราะเธอใช้ครีมปกปิดแต่เขาที่สังเกตเห็นแต่แรกย่อมรู้ดีว่ามันมีอยู่
“เรื่องนั้นมัน...”
ไลลาหันหน้าหนีเธอเองก็เจ็บใจกับเรื่องนั้นแต่มันก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขอะไรได้แล้ว และต่อให้เธอจะรอดจากครั้งนั้นมาได้แต่ชีวิตแต่งงานของเธอก็คงหนีไม่พ้นเรื่องนี้อยู่ดี
“ถ้าหากจู่ๆ ผมเกิดจู่โจมคุณขึ้นมาคุณจะทำอย่างไง?”
คำถามที่ไม่คาดคิดถูกปล่อยออกมาแต่หญิงตรงหน้ากลับนิ่งเฉย สายตาเธอแน่วแน่และน้ำเสียงเชื่อมั่น
“นายนะไม่ทำร้ายฉันหรอก”
“...ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้น ไม่มีอะไรที่รับประกันเสียหน่อยว่าผมจะไม่ทำร้ายคุณ?” นัยน์ตาสีขนกากำลังจับจ้องกดดันน้ำเสียงเค้นหาความจริง
“...นั่นก็เพราะว่านายเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ฉันสนิทด้วยอย่างไงล่ะ”
เรื่องง่ายๆ ที่ไม่ต้องมีเหตุผลอะไรมากมายมาอธิบาย เธออยู่กับเขามาเกือบสี่ปีเขาคือคนที่อยู่ข้างกายเธอใกล้ชิดที่สุด นับครั้งไม่ถ้วนที่เขาช่วยเธอไว้ในเรื่องต่างๆ มากมาย หากเธอไม่สามารถไว้ใจกันต์ได้เธอก็คงจะไม่สามารถไว้ใจใครได้อีก
“ฮึ คุณจะกลับเข้าห้องเลยไหมครับอากาศเริ่มหนาวแล้วด้วย” มือหนาปล่อยออกจากคอระหงและส่งยิ้มให้คุณหนูที่เชื่อใจเขาอย่างที่สุด
“ฉันก็คิดอย่างนั้น”
เธอยิ้มเบาๆ ตอบและเดินกลับไปทางห้องที่เธอจากมา “คุณขึ้นไปก่อนเลยครับ เดี๋ยวผมขอสูบสักหน่อย” ไลลาพยักหน้าตอบไม่ได้ว่าอะไร เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคลที่เธอพอเข้าใจ
ร่างนั้นเดินหันหลังกลับไปพร้อมกับหมาที่เธอยืมมา กันต์ยกมือหยาบขึ้นเสยผมดำสนิทขึ้น ก่อนจะหันหลังกลับไปหาที่จุดสูบ
“เป็นผู้หญิงที่ไม่ระวังตัวเสียจริงๆ”
ควันบุหรี่สีเทาถูกพ่นออกทางปากหลังจากคุณหนูได้เดินกลับลับหายไป รอบกายมีเพียงเขาผู้เดียวที่ยืนอยู่ ท่าทางนั้นวางอำนาจในทีฉายแววตาเกินหยั่งเมื่อคิดถึงสิ่งที่ไลลาพ่นออกมา
การถูกเชื่อใจมันก็เป็นสิ่งที่ดี แต่หากว่าคนที่เธอเชื่อใจอยู่นี้มีอะไรบางอย่างที่ไม่อาจจะบอกให้เธอได้รับรู้…
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว