กาแฟไม่ถือสาที่ถูกอีกฝ่ายเยาะเย้ย “พวกเราสองคนไม่เคยทำอะไรปิดบังเธออยู่แล้ว” ว่าแล้วก็หันไปขยิบตาอย่างมีเลศนัยกับเซี่ยจื้อ
“ใช่ไหมจ๊ะที่รัก”
เซี่ยจื้อก็เล่นหูเล่นตากลับและแกล้งทำเป็นเขินอาย “พูดอะไรกันน่ะ น่าเกลียดชะมัด”
เฉิงเซียวรู้สึกเบื่อหน่ายกับพฤติกรรมของเพื่อนทั้งสอง “ฉันไม่อยากอยู่เป็นพยานระหว่างที่พวกเธอพลอดรักกันหรอกนะ”
มีรอยยิ้มแพรวพราวปรากฏอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาของกาแฟ “ตอนนี้เธอกลายเป็นพยานรักของเราสองคนแล้วนะ”
เฉิงเซียวได้แต่ตอบว่า “รอให้พวกเธอแต่งงานแล้วฉันจะไปเป็นพยานรักในงานให้อีกทีก็แล้วกัน”
เซี่ยจื้อถลึงตาใส่เธอแล้วเอ่ยว่า “ให้มันน้อยๆ หน่อย” จากนั้นก็ชี้ไปที่เสื้อของเธอ “แล้วนั่นไปโดนอะไรมาน่ะ?”
เฉิงเซียวที่อัดอั้นตันใจเรื่องนี้มานานได้โอกาสระบายอารมณ์เสียที “ฉันไปเจอกับยัยผู้หญิงบ้าคนนั้นไง”
เซี่ยจื้อได้ยินแล้วก็ตาสว่างทันที “ยัยปีศาจซางหยู่คู่หมั้นตัวร้ายของเฝ่ยเย่าใช่ไหม นี่ยัยนั่นกล้าสาดกาแฟใส่เธอเลยเหรอ!”
“บังเอิญเจอกันในห้างหยางกวาง” เฉิงเซียวพูด “ยัยนั่นยังกล้ามาห้ามฉันว่าอย่าไปยุ่งกับเฝ่ยเย่าอีก ฉันอยากให้รางวัลตุ๊กตาทองกับยัยนางแบบนั่นจริงๆ”
ห้างหยางกวางอย่างนั้นหรือ? เซี่ยจื้อทบทวนข้อมูลที่เกี่ยวข้องในสมองของเธอ “วันนี้เธอไปบริษัทไห่หนานมางั้นเหรอ? ก่อนหน้านี้ฉันเคยลองค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ช่วงนี้สายการบินไห่หนานไม่มีประกาศรับสมัครงานนี่”
“พ่อเป็นคนจัดการนัดให้ฉันไปคุยกับประธานเฝิงน่ะ” เฉิงเซียวบอกไปตามความจริง
“พ่อเธอเส้นใหญ่ขนาดนั้น ไม่ว่างานอะไรก็เข้าได้หมดแหละ” เซี่ยจื้อหัวเราะ “แต่เธอทำตัวไม่เหมือนลูกคนมีเส้นสายเลยนี่”
“ถ้ามีทางลัดใครบ้างจะไม่อยากเดินล่ะ คนอย่างฉันทำอะไรไม่จำเป็นต้องมีหลักการหรอก” เฉิงเซียวตอบกลับไป
“อืม... ดูจากเรื่องของอีตาบ้าเฝ่ยเย่าแล้ว ฉันก็เชื่อแล้วล่ะว่าเธอเป็นพวกไม่มีหลักการจริงๆ” เซี่ยจื้อแขวะ
เฉิงเซียวสวนกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เรื่องอะไรก็ตามที่ต้องยึดหลักการน่ะมันต้องเปลืองสมองคิดมากเลยนะ แล้วเธอคิดว่าคนอย่างเขาคู่ควรให้ฉันใช้ความคิดขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็จริงของเธอ” จากนั้นเซี่ยจื้อก็วกกลับมาที่ประเด็นเรื่องสายการบิน “ฉันเคยหาข้อมูลของสายการบินต่างๆ ดูแล้ว พบว่าไชน่าเซาเทิร์นแอร์ไลน์จะมีมหกรรมรับสมัครงานครั้งใหญ่ที่จะมีขึ้นทุกๆ สามปี และปีนี้ก็วนมาครบกำหนดพอดี ถ้าเธอกำลังอยู่ในขั้นพิจารณาว่าจะทำงานที่ไหนดี ถ้าอย่างนั้นเราไปสมัครงานที่ไชน่าเซาเทิร์นด้วยกันดีไหม?”
“เดี๋ยวก่อน” กาแฟพูดขัดจังหวะขึ้น “บัณฑิตสาขาวรรณกรรมและภาพยนตร์ก็ควรจะทุ่มเทแรงกายแรงใจในการสร้างสรรค์ผลงานสิ จะไปสมัครงานที่บริษัทสายการบินให้วุ่นวายทำไม?”
เฉิงเซียวรับอาสาอธิบายแทนว่า “ก็เพราะเธออยากทำตามฝันให้สำเร็จยังไงล่ะ” จากนั้นก็หันไปถามกาแฟ “แล้วนายล่ะจะเอายังไงต่อ?”
แผนการของกาแฟก็คือ “เรียนอะไรมาก็ต้องทำงานด้านนั้นสิ เธอเรียนเพื่อเป็นนักบินก็ต้องไปทำงานที่สายการบินถูกต้องแล้ว” ก่อนจะชี้ไปเซี่ยจื้อ “ส่วนเธอไปยุ่งอะไรกับเขาด้วย ผู้กำกับที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งจะไปเป็นพนักงานในสายการบินอย่างนั้นเหรอ หรือคิดว่าเผื่อจะจับพลัดจับผลูได้แต่งงานกับกัปตันสักคน? ให้ตายเถอะ!”
เซี่ยจื้อคว้าหมอนโยนใส่เขาเต็มแรง “ไม่อย่างนั้นจะให้แต่งกับนายหรือไง?”
กาแฟใช้เท้าสะกิดหมอนให้กระเด็นไปด้านข้าง “มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วนี่!” จากนั้นก็หันกลับไปมองเฉิงเซียว และถามเรื่องที่เธอโดนซางหยู่สาดกาแฟใส่ “แล้วเธอคิดจะจัดการเรื่องนี้ยังไง”
เฉิงเซียวยิ้มอย่างชั่วร้าย ก่อนจะตอบด้วยมาดนางมารว่า “ก็ต้องเอาเรื่องให้ถึงที่สุดยังไงล่ะ!”
ผู้หญิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่เจ้าคิดเจ้าแค้นเป็นที่สุด เรื่องเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้พวกเธอโกรธเป็นฟืนเป็นไฟราวกับภูเขาไฟปะทุได้
“อย่าบอกนะว่าจะให้ฉันเป็นคนเริ่มอีก?” กาแฟประท้วงขึ้น
“ถ้าไม่ใช่นายแล้วจะเป็นใครล่ะ?”
“แล้วทำไมต้องเป็นฉันด้วย?”
“ก็เพราะว่านายเป็นผู้ชายยังไงล่ะ!” เฉิงเซียวและเซี่ยจื้อตอบเป็นเสียงเดียวกัน
“แต่พวกเธอชอบพูดว่าฉันเป็นมิตรกับผู้หญิงนี่” กาแฟปฏิเสธเสียงแข็ง
“เป็นมิตรกับสาวสวยต่างหาก” หญิงสาวทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกันอีกครั้ง
กาแฟถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะส่ายหน้าพูดเบาๆ ว่า “โลกของผู้หญิงนั้นเป็นสิ่งที่พวกผู้ชายไม่มีวันเข้าใจจริงๆ”
เหตุการณ์หลังจากนั้นก็เป็นปาร์ตี้น้ำเมาของเพื่อนรักเพื่อนตายทั้งสามคน ส่วนทางด้านเฉิงโฮ่วจูที่เพิ่งกลับบ้านแล้วไม่พบลูกสาวก็รีบโทรหาทันที “นี่แกไปเสเพลอยู่ที่ไหนกัน นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วทำไมยังไม่กลับบ้านอีก?”
ตอนนี้แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปเริ่มออกฤทธิ์ เฉิงเซียวพูดเสียงอ้อแอ้ไม่เป็นคำ พอได้ยินคำถามจากปลายสายแล้วเธอก็พูดกลั้วหัวเราะว่า “มาสิพ่อ... มาแฮปปีด้วยกัน”
เฉิงโฮ่วจูตัดสายทิ้งด้วยความเดือดดาล จากนั้นก็โทรไปหาอดีตภรรยา “นี่คุณสอนลูกยังไงกันเนี่ย”
‘เซียวเฟย’ ได้ยินน้ำเสียงอีกฝ่ายแล้วก็รู้ทันทีว่าลูกสาวสุดที่รักของเธอไปสร้างเรื่องอีกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็เถียงกลับไปว่า “สอนไม่ดีแล้วจะทำไม ความผิดอยู่ที่ฉันคนเดียวหรือไง ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ แล้วฉันจะคลอดเฉิงเฉิงออกมาไหมล่ะ?”
เฉิงโฮ่วจูได้ยินเช่นนี้ก็วางโทรศัพท์ทันที
ส่วนเซียวเฟยก็ไม่ได้สนใจคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของลูกสาว เธอตัดสินใจโทรไปหาเฉิงเซียวทันที พอปลายสายกดรับก็พูดออกไปว่า
“เฉิงเฉิง กลับมาแล้วทำไมถึงไม่มาหาแม่ล่ะลูก?”
จังหวะนั้นเฉิงเซียวลุกไปเข้าห้องน้ำ เซี่ยจื้อจึงเป็นคนรับโทรศัพท์แทน หญิงสาวตอบกลับไปว่า “แม่คะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกหนูจะไปเยี่ยมนะคะ”
เซียวเฟยหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ได้สิจ๊ะเซี่ยเซี่ย เดี๋ยวแม่จะเตรียมของอร่อยๆ ไว้ให้พวกหนูนะ”
เซี่ยจื้อพูดอย่างคนที่เพิ่งสร่างเมา “ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะแม่ เราไปกินร้านข้างนอกก็ได้ค่ะ”
ทว่าเซียวเฟยกลับดุอีกฝ่ายว่า “นี่เป็นห่วงแม่ กลัวแม่จะเหนื่อย หรือว่าไม่อยากกินข้าวฝีมือแม่กันแน่?”
เซี่ยจื้อหัวเราะชอบใจก่อนจะตอบกลับไป “แม่คิดว่าไงล่ะคะ?”
เช้าวันรุ่งขึ้น
ขณะที่เฉิงเซียวกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง สัญญาว่าจ้างให้ซางหยู่ถ่ายโฆษณาให้กับสายการบินไห่หนานก็ถูกส่งมาถึงมือเฝิงจิ้นถิง ชายหนุ่มเซ็นชื่อเหมือนกับที่เซ็นเอกสารฉบับอื่นๆ แต่เมื่อเลขามารับแฟ้มเอกสารกลับไปและเห็นข้อความที่เขียนกำกับเอาไว้บนสัญญาก็ถึงกับตะลึงงัน “ท่านประธานคะ สัญญาที่จะว่าจ้างคุณซางให้ถ่ายโฆษณาให้กับเรา ก่อนหน้านี้ท่านประธานตอบตกลงแล้วนี่คะ...”
เฝิงจิ้นถิงยังคงก้มอ่านเอกสารตรงหน้า ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา “มีตรงไหนที่ระบุไม่ชัดเจนงั้นเหรอ?”
ไม่มีส่วนไหนที่ไม่ชัดเจน แต่ข้อความว่า ‘ยกเลิกสัญญา’ นี่เธอเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก ทว่าเธอทำได้เพียงโทรหาผู้จัดการส่วนตัวของซางหยู่แล้วแจ้งว่า “ขออภัยค่ะ สัญญาที่ทางบริษัททำไว้กับคุณซางก่อนหน้านี้คงต้องขอยกเลิกนะคะ”
ซางหยู่ไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจแต่อย่างใด กลายเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเธอที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “ทางไห่หนานแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ออกหรือไง! ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นกับประธานเฝิงมีความสัมพันธ์กันยังไง ซางหยู่ไม่ต้องเสียดายหรอกนะ กะอีแค่งานถ่ายโฆษณากับบริษัทเล็กๆ พวกเราไม่จำเป็นต้องไปง้อหรอก”
สายการบินไห่หนานไม่ใช่บริษัทเล็กๆ แน่ และเมื่อวานเธอก็ได้สร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีให้ผู้บริหารของบริษัทเห็นไปแล้ว!
ซางหยู่เหยียดยิ้มอย่างดูแคลน “คนอย่างยัยนั่นคู่ควรให้ฉันโกรธด้วยงั้นเหรอ?”
ผู้จัดการส่วนตัวกรีดกรายปลายนิ้วอย่างมีจริตจะก้านแบบสาวประเภทสอง “ถูกต้องที่สุด เฝ่ยเย่านี่สายตาแย่จริงๆ ทำไมก่อนหน้านี้ถึงได้เลือกเธอคนนั้นเป็น...” เสียงบ่นพลันขาดหายเมื่อเห็นว่าซางหยู่สีหน้าไม่ค่อยดี ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องว่า “แต่เธอได้ลงเอยกับเขาก็ดีแล้ว จะประกาศเรื่องความรักหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่เรื่องหมั้น... เธอคิดดีแล้วเหรอ?” พอเห็นว่าซางหยู่ทำหน้าไม่พอใจอีกหนเขาจึงรีบบอกว่า “ดีแล้วแหละๆ”
ซางหยู่ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้มากที่สุด “บัตรเชิญก็แจกไปหมดแล้ว แล้วจะให้พี่ชายฉันไปเก็บกลับมารึไง อีกอย่างฉันไม่ได้เลือกใครที่หน้าตา แต่ฉันเลือกที่พาวเวอร์ของเขา จะโสดไม่โสดสำคัญด้วยเหรอ?”
สำคัญอยู่แล้ว แต่ว่า... ช่างเถอะ แม้แต่พ่อของเธอยังต้องปล่อยเลยตามเลย แล้วผู้จัดการอย่างเขาจะไปห้ามอะไรเธอได้ เขาพยายามใจเย็นลงแล้วพูดปลอบเธอว่า “เอาล่ะๆ ไม่พูดเรื่องนี้กันแล้ว เดี๋ยวต้องไปลองชุดอีก ถ้ายังอารมณ์เสียอยู่อย่างนี้เดี๋ยวจะถ่ายภาพออกมาไม่สวยนะ”
จากนั้นซางหยู่ก็ไปลองชุดทั้งๆ ที่ยังมีอารมณ์ไม่พอใจคั่งค้างอยู่
ส่วนทางด้านกาแฟก็เตรียมข้อมูลที่เฉิงเซียวต้องการรู้ไว้อย่างครบถ้วน
“เฝ่ยเย่ากับซางหยู่จะจัดงานหมั้นที่บริเวณสนามหญ้าของโรงแรมเจียงพ่าน โรงแรมนี้จัดอยู่ในระดับห้าดาวเชียวนะ ได้ข่าวว่าเชิญทั้งสื่อมวลชนและนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงจำนวนมากมาร่วมเป็นสักขีพยานในครั้งนี้ด้วย”
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว