ลัดฟัาหาหัวใจ-3.หากว่า

โดย  โปรเจคพิเศษ by Hongsamut

ลัดฟัาหาหัวใจ

3.หากว่า

ชายคนนั้นรีบหันกลับมาคว้าโทรศัพท์ ทว่าช้าไปเพียงเสี้ยววินาที

“ตุ้บ” โทรศัพท์ตกลงอย่างนิ่มนวลและแม่นยำในอ้อมกอดของกู้หนานถิง

แน่นอนว่ากรณีนี้มันย่อมดีกว่าการที่โทรศัพท์ตกลงบนพื้นแข็งๆ เหตุการณ์วุ่นวายควรจะจบลงแค่นี้... หากว่าผู้โดยสารที่นั่งอยู่ข้างๆ กู้หนานถิงไม่ได้ถือแก้วกระดาษอยู่ หากว่าเธอไม่บังเอิญยื่น
แก้วกาแฟที่ดื่มเหลืออยู่ครึ่งแก้วให้แอร์โฮสเตสเอาไปเก็บ หากว่า... ไม่มี ‘หากว่า’ แล้ว

เมื่อเห็นเสื้อสีขาวของกู้หนานถิงเลอะคราบกาแฟจนกลายเป็นรอยด่าง คุณป้าที่นั่งอยู่ข้างๆ เฉิงเซียวก็บอกด้วยเสียงแหลมว่า“ยัยหนูรีบเอาผ้ามาเช็ดให้เขาเร็ว ตายแล้ว เสื้อสีขาวดีๆ ดันมาเปื้อนหมด”

เมื่อปะทะเข้ากับสายตาที่พยายามข่มความโกรธเอาไว้ของ ‘พลเมืองดี’ เธอถึงกับหลุดหัวเราะออกมา

ผู้โดยสารที่นั่งข้างเขาขอโทษเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า กู้หนานถิงมองตัวต้นเรื่องอย่างเฉิงเซียวด้วยสายตาเย็นชา ราวกับกำลังบอกว่า ‘ช่วยเพลาๆ ลงหน่อยได้ไหม’ จากนั้นก็ส่งแก้วกระดาษให้แอร์โฮสเตสพลางสั่งว่า “คุณไปนั่งเถอะ เครื่องกำลังจะลงจอดแล้ว”

แววตาของกู้หนานถิงสงบนิ่งไร้ความรู้สึกราวกับน้ำใสในสระกว้างที่ปราศจากคลื่นลมใดๆ น้ำเสียงที่เปล่งออกมาบ่งบอกว่าเขากำลังพยายามข่มกลั้นอารมณ์เอาไว้ไม่ให้ระเบิดโทสะออกมา

แอร์โฮสเตสมองกู้หนานถิงพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทั้งเกรงใจและเป็นกังวล “เดี๋ยวฉันจะทำความสะอาดเสื้อให้นะคะ”

ส่วนทางด้านผู้โดยสารที่ก่อเหตุหลังจากได้โทรศัพท์คืนแล้วก็มีท่าทีสงบลง แต่ก็ไม่วายพึมพำว่า “เปียกหมดแล้วเนี่ย” พูดจบก็ยอมกลับไปนั่งแต่โดยดี

กู้หนานถิงไม่ได้สนใจชายที่ก่อเรื่องวุ่นวายคนนั้น สายตาของเขาเหลือบมองเฉิงเซียวที่ยังยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าและแววตาของเธอขึงขัง น้ำเสียงก็แข็งกร้าว ดูแล้วคล้ายท่าทีของผู้ชายมากกว่าจะเป็นหญิงสาวผู้บอบบาง

“ต้องให้ฉันเตือนอีกครั้งไหมว่าเวลาเครื่องกำลังลงจอดต้องทำยังไงบ้าง”

เฉิงเซียวมองชายที่ก่อเรื่องวุ่นวายด้วยแววตาที่แฝงความขบขันไว้ภายใน เธอเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วนั่งลงที่เดิม

หลังจากเครื่องลงจอดสนิท เฉิงเซียวก็ไม่ได้ต่อปากต่อคำกับผู้โดยสารเจ้าปัญหาคนนั้นอีก ตอนนี้ผู้โดยสารคนอื่นๆ เริ่มทยอยเดินลงจากเครื่อง เมื่อ ‘พลเมืองดี’ ขยับตัวเตรียมลงจากเครื่องบ้าง เธอจึงเคลื่อนกายตามหลังเขาออกมาแต่ยังคงรักษาระยะห่างไว้พอสมควร ในที่สุดเธอก็ลงจากเครื่องเป็นคนสุดท้าย

กู้หนานถิงทำสีหน้าท่าทางราวกับไม่รู้ว่าเธอกำลังเดินตาม เมื่อเดินมาถึงประตูทางออก แอร์โฮสเตสยังพูดซ้ำว่าจะช่วยทำความสะอาดเสื้อให้เขา ทว่าเขากลับปฏิเสธ “ไม่เป็นไรครับ” จากนั้นก็ติดกระดุมเสื้อสูท เพียงเท่านี้ก็ปิดบังคราบเลอะบนเสื้อสีขาวตัวในได้แล้ว

สายตาของแอร์โฮสเตสปรากฏแววปลื้มใจและเสียดายในคราวเดียวกัน สิ่งที่เห็นทำให้เฉิงเซียวรู้สึกหมั่นไส้เขาจนแทบทนไม่ไหวแต่ ‘คุณพลเมืองดี’ กลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

“เดี๋ยวก่อนค่ะ” เสียงของแอร์โฮสเตสดังขึ้น

เฉิงเซียวหันกลับไปมอง แอร์โฮสเตสพูดกับเธอว่า “เรื่องเมื่อกี้ ขอบคุณมากนะคะ”

เพราะไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อครู่เธอจึงเก็บอาการที่แสดงออกกับ ‘คุณพลเมืองดี’ เอาไว้ไม่ทัน เฉิงเซียวจึงหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วตอบว่า “ไม่เป็นไรค่ะ”


ภายในอาคารผู้โดยสารของสนามบิน

ผู้คนมากมายต่างมารอรับผู้โดยสาร แต่เฉิงเซียวยังมองไม่เห็นคนที่จะมารับเธอ ในขณะเดียวกันเธอก็สังเกตเห็นว่า ‘คุณพลเมืองดี’ ที่เพิ่งเดินถึงประตูทางออกนั้นมีผู้ชายในชุดสูทคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาค้อมตัวให้เขาอย่างนอบน้อม แล้วทำท่าเชื้อเชิญให้เดินตาม กู้หนานถิงพยักหน้ารับและก้าวเร็วๆ ตามไป ทว่าเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวเขาก็ชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับมามอง

เฉิงเซียวรู้สึกได้ว่าเขากำลังมองมาในทิศที่เธอยืนอยู่พร้อมกับกวาดสายตาราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่าง เขากำลังมองหาอะไร? เพราะรู้ว่าเธอเดินตามหลังเขา หรือเขาเพียงแค่มองบรรยากาศทั่วๆ ไปอย่างไร้จุดหมายกันแน่?

เฉิงเซียวตัดสินใจว่าอะไรจะเกิดก็ปล่อยให้มันเกิดไปเถอะ

เธอเดินตรงเข้ามาหาเขา รองเท้าส้นเตี้ยกระทบกับพื้นหินอ่อนดังเป็นจังหวะกลบเสียงคึกคักจอแจที่ดังอยู่โดยรอบ

เธอเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขา กู้หนานถิงยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ

เฉิงเซียวทำเพียงส่งยิ้มตาหยีให้เขาโดยไม่ได้พูดอะไร

กู้หนานถิงใช้ดวงตาคมกริบมองใบหน้าของเธอในระยะประชิด ทั้งสองจ้องตากันโดยไร้ซึ่งอารมณ์พิศวาสใดๆ

บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความเงียบและอารมณ์ที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมากลายเป็นเพียงตัวประกอบฉากเท่านั้น

ในที่สุดเขาก็ถามขึ้นว่า “มีอะไรจะพูดกับผมหรือเปล่า?”


เมื่อกู้หนานถิงกลับมาถึงบ้านก็ได้รับรายงานว่าไม่มีใครอยู่

แม่บ้านเฉินบอกว่า “คุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงไปบ้านตระกูลเซียว ส่วนคุณหนูมีเรียนตอนบ่าย”

ทุกคนเปิดโอกาสให้เขาได้พักผ่อน กู้หนานถิงเข้าใจในเรื่องนี้ดี

ต้องอยู่บนเครื่องบินเป็นเวลากว่าสิบชั่วโมงใครไม่เหนื่อยก็คงบ้าแล้ว หลังจากอาบน้ำเสร็จเขาก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงหลังใหญ่ตอนแรกเขาคิดว่าคงจะนอนไม่หลับ แต่ช่วงนี้มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน หลายวันมานี้เขาต้องอดหลับอดนอน สุดท้ายก็ผล็อยหลับไปพร้อมกับใบหน้าอันงดงามของเฉิงเซียวที่วนเวียนอยู่ในสมองของเขา

กู้หนานถิงหลับลึก และเนิ่นนาน

เมื่อใกล้เวลาอาหารเย็น ‘เซียวหยู่เหิง’ ก็เปิดประตูเข้ามาในห้องแล้วถามด้วยสีหน้าบึ้งตึง “เมื่อวานไปทำอะไรมา นี่ไม่ได้นอนเลยใช่ไหม หนูกลับมาตั้งนานแล้วแต่พี่ก็ไม่ยอมตื่นสักที”

แม้จะไม่ชอบการถูกคาดคั้นแบบนี้ แต่เพราะฟังออกว่าอีกฝ่ายเอ่ยออกมาด้วยความห่วงใย อีกทั้งยังมีแววออดอ้อนอย่างคนที่ต้องการให้เอาอกเอาใจ ทำให้กู้หนานถิงเสียงอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว “พี่จะทำอะไรที่ไหน เมื่อไหร่ จำเป็นต้องรายงานเธอทุกอย่างเลยเหรอ?”

เซียวหยู่เหิงตะโกนตอบกลับ “หนูต้องทำหน้าที่แทนคุณพ่อหรอกค่ะ”

จังหวะนั้นก็มีเสียงเรียกมาจากชั้นล่าง “หนานถิงมากินข้าวได้แล้ว”

เป็นเสียงของ ‘เซียวซู่’ ภรรยาใหม่ของพ่อหรือแม่เลี้ยงของเขา และเป็นแม่แท้ๆ ของเซียวหยู่เหิงนั่นเอง

กู้หนานถิงจึงตอบกลับไปว่า “จะลงไปเดี๋ยวนี้แหละครับน้าเซียว”

จากนั้นพี่ชายและน้องสาวก็เดินควงกันลงมาจากชั้นบน ระหว่างที่เดินเซียวหยู่เหิงก็ถามถึงของฝากจากพี่ชายไม่ขาดปาก

“ถ้าไม่มีอะไรใหม่ๆ มาฝากก็ไม่ต้องกินข้าว!”

เซียวหยู่เหิงเป็นสาวน้อยวัยแรกแย้มอายุสิบเจ็ดปี ใบหน้าที่น่ารักสดใสที่กำลังยิ้มแย้มนั้นทำให้ผู้ที่พบเห็นเกิดความเอ็นดู

กู้หนานถิงล็อกข้อมือของเซียวหยู่เหิงไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เธอใช้กำลัง “จะเอาของใหม่ๆ มาจากไหนเยอะแยะกัน? พี่ไม่ใช่นักประดิษฐ์สักหน่อย”

เมื่อเห็นว่าคงเถียงไม่ชนะ เซียวหยู่เหิงจึงหันไปหาตัวช่วย“คุณพ่อดูสิคะ พี่เขารังแกหนู”

กู้หนานถิงล็อกมือเธอแล้วลากกึ่งถูลู่ถูกังเข้ามาในห้องรับแขก “ก็ดีแต่แจ้งความเท็จนั่นแหละ เธอไม่รู้ตัวเลยหรือว่าโตจนพ่อตีไม่ไหวแล้วน่ะ”

ชายหญิงวัยกลางคนประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน

“หนานถิงอย่าแกล้งน้อง!”

“เหิงเหิงเลิกแหย่พี่เขาได้แล้ว!”

กู้หนานถิงมองไปยังต้นเสียง สายตาของเขาปะทะกับ‘กู้ฉางหมิง’ และเซียวซู่ที่เดินออกมาจากห้องครัวด้วยกัน

แม้ว่าพ่อของเขาจะอายุมากแล้ว แต่ก็ยังดูหนุ่มแน่นไม่มีวี่แววว่าความชราจะมาเยือน รูปร่างยังคงสมส่วน สายตาเฉียบคม ส่วนภรรยาข้างกายก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งรูปร่างและท่วงท่าที่สง่างาม รวมถึงกิริยามารยาทที่ดูอ่อนโยนอย่างแม่ศรีเรือน

กู้หนานถิงอมยิ้มพลางเอ่ยทักทายว่า “พ่อ น้าเซียว”

“กลับมาถึงบ้านจนได้ ช่วงที่เธอไม่อยู่มีหนูบางตัวร่าเริงเหลือเกิน” เซียวซู่เดินเข้ามาใกล้แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สายตาห่วงใยที่อีกฝ่ายมอบให้ด้วยความจริงใจนั้นทำให้กู้หนานถิงรู้สึกอุ่นซ่านขึ้นมาในใจ เขาปล่อยตัวเซียวหยู่เหิง จากนั้นก็อ้าแขนกอดเซียวซู่พร้อมกับเอ่ยว่า “ไว้เดี๋ยวผมจะจัดการหนูตัวนั้นเองครับ”

เซียวหยู่เหิงได้ยินแล้วก็เถียงขึ้นมาว่า “แม่หมายถึงใครกัน? ไม่ใช่หนูนะ”

เซียวซู่ยกมือเขกหัวลูกสาวเบาๆ “กล้าทำ แต่ไม่กล้ารับเหรอ?”

เซียวหยู่เหิงเกาะแขนพ่ออย่างออดอ้อน “คุณพ่อขาดูสิคะแม่ยังรักพี่เขามากกว่าหนูเสียอีก ทำเหมือนหนูเป็นลูกที่ถูกเก็บมาเลี้ยงอย่างนั้นแหละ”

กู้ฉางหมิงลูบหัวเซียวหยู่เหิงอย่างเอ็นดู “หนูอิจฉาพี่เขาหรือลูก? พ่อก็อยู่ฝ่ายเดียวกับหนูมาตลอดไม่ใช่เหรอ?”

“ไม่จริงหรอก พวกผู้ชายก็เหมือนกันทั้งนั้น เชื่อถือไม่ได้!”เซียวหยู่เหิงไม่ยอมรับ

“เด็กคนนี้นี่ พูดอะไรไม่น่าฟังเลย” เซียวซู่ตำหนิเบาๆ

เซียวหยู่เหิงคลายแขนจากกู้ฉางหมิงแล้ววิ่งไปนั่งบนโซฟา“ก็พี่สัญญากับหนูตั้งนานแล้วว่าจะพาหนูไปเที่ยว หนูได้แต่รอปีแล้วปีเล่า แต่พี่ก็ไม่หายยุ่งเสียที ตอนนี้รับตำแหน่งใหญ่แล้วก็ยิ่งไม่มีเวลาทำตามสัญญาอีกแน่ๆ”

คำพูดของเธอทำให้กู้หนานถิงนึกขึ้นได้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกใจหายวาบ

เซียวซู่ไม่ได้สังเกตท่าทางที่ผิดปกติของกู้หนานถิง แต่กลับหันไปเอ็ดลูกสาวว่า “ชวนไปเที่ยวกับพ่อแม่ก็ไม่ยอม เอาแต่จะไปกวนพี่เขาอยู่นั่นแหละ”

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว