One night stand to forever (ฟินเว่อร์)

บทที่ 5 จูบสูบวิญญาณ (1)

“ท่านหายไปที่ใดมา ข้ารอท่านตั้งนาน” หานหนิงเซียนโวยวายทันทีที่เฟยหลงซ่างกลับมาถึงโรงเตี๊ยม นางแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น นั่งรอเขาอยู่ที่โต๊ะชั้นล่าง ทั้งที่ในใจของนางกรุ่นโกรธเขามากที่เขาทิ้งรอยอัปลักษณ์ไว้บนตัวนาง

“ไปกราบไหว้ฟ้าดินกับฮูหยินของข้ามา” ได้ยินเขาเอ่ยไม่ปิดบัง หัวใจของนางกลับสั่นไหวอย่างหาสาเหตุไม่ได้

เห็นนางไม่เอ่ยสิ่งใดจึงเอ่ยถามต่อ “ไม่ถามหรือว่าข้ากราบไหว้ฟ้าดินกับผู้ใดมา”

“ไยข้าจะต้องอยากรู้ว่าท่านไปกราบไหว้ฟ้าดินกับผู้ใด” นางเอ่ยอย่างไม่สนใจ

“เจ้ากินน้ำส้มข้าแล้วใช่หรือไม่” เขายิ้มเจ้าเล่ห์เอ่ยถาม

“ผู้ใดกินน้ำส้มท่านกัน ข้าแค่ไม่อยากรู้เท่านั้น”

เฟยหลงซ่างยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใดต่อไป๋เฉิงและชีซาก็กลับเข้ามาพอดี

“พวกท่านไม่ได้ไปกับพวกศิษย์พี่ของเข้าหรือ” นางเอ่ยถาม

“ข้าอยู่ทำธุระให้นายท่าน” ไป๋เฉิงเอ่ย

“เช่นนั้นก็รีบออกเดินทางกันเถิด ล่าช้าไปมากแล้ว”

นางลุกขึ้นคว้าห่อสัมภาระและกระบี่ แต่ขณะที่กำลังจะออกจากโรงเตี๊ยมกลับเห็นพ่อครัวของโรงเตี๊ยมใช้กระบวยทุบตีใครคนหนึ่งอย่างแรง

“เจ้าขี้ขโมย บังอาจมาขโมยอาหารถึงในครัวของข้า ตายซะ เจ้าขี้ขโมย”

“ข้าไม่ได้ตั้งใจ โปรดละเว้นข้าด้วย!” เสียงทุ้มแตกพร่า เด็กหนุ่มเอ่ย มือยังคงปัดป้องกระบวยที่พ่อครัวฟาดลงมา

“ไม่ได้ตั้งใจ ข้าเห็นชัดๆว่าเจ้ากำลังขโมยเป็ดย่างของข้าไปทั้งตัว เจ้าโกหก”

“ท่านใจเย็นก่อนเถิด ค่อยพูดค่อยจากันก็ได้” หานหนิงเซียนรีบเข้าไปห้ามเมื่อเห็นว่าพ่อครัวไม่ยอมหยุดหวดกระบวยใส่เด็กหนุ่มเสียที

“แม่นางโปรดถอยไป ข้าจะสั่งสอนมันให้มันเลิกนิสัยขี้ขโมยนี้”

“หากต้องการสั่งสอนเขา เจ้าควรส่งให้ทางการเป็นคนจัดการไม่ใช่ใช้ศาลเตี้ยลงทัณฑ์เขาเช่นนี้” หานหนิงเซียนเอ่ย

“ข้าไม่ได้อยากจะขโมย ข้าแค่ต้องการเอาอาหารดีๆ ไปให้ท่านแม่ของข้า” เด็กหนุ่มเอ่ยดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ สีหน้าเศร้าสร้อย

“ถึงเป็นเช่นนั้นก็ไม่ควรจะขโมย” ครั้งนี้เฟยหลงซ่างเอ่ย

“ข้าไม่ได้อยากเป็นขโมย แต่ท่านแม่ของข้านางป่วยหนักเมื่อคืนนี้นางเอ่ยอยากกินเป็ดย่าง ตอนนั้นข้าก็คิดว่าจะพยายามหาเงินแล้วซื้อเป็ดย่างให้นางได้กินสักครั้ง” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“เช่นนั้นไยเจ้าจึงมาขโมยล่ะ” นางเอ่ยถามเสียงอารี

“เพราะว่า...” เสียงของเด็กหนุ่มขาดหายเขาสูดลมหายใจแรงๆ อีกครั้งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “เมื่อเช้าท่านแม่ของข้านางไปแล้ว ข้าฝังศพนางไว้ที่หน้าบ้าน ข้างๆศพของท่านพ่อ ดังนั้นข้าจึงอยากเอาเป็ดย่างไปให้นางเป็นครั้งสุดท้าย”

แม้สีหน้าของเด็กหนุ่มจะเจ็บปวดเศร้าสร้อยเพียงใดแต่กลับไม่มีน้ำตาแม้สักหยด มันเอ่อคลออยู่ที่ขอบตาแต่ไม่ว่าอย่างไรน้ำตาของเขาก็ไม่ร่วงออกมา

“แม่นางอย่าไปเชื่อไอ้หัวขโมย หัวขโมยมันล้วนทำได้ทุกอย่าง”

“ข้าไม่ได้โกหก! ” เด็กหนุ่มตะโกนใส่พ่อครัวสีหน้าโกรธขึ้ง

นางมองเด็กหนุ่มครุ่นคิด สุดท้ายก็ตัดสินใจ “เป็ดย่างของท่านราคาเท่าใด”

“ยี่สิบแปดอิแปะขอรับ” พ่อครัวเอ่ยสีหน้ายิ้มแย้มทันที

“งั้นเอามาให้ข้าตัวหนึ่ง”

“ได้ขอรับ” รับคำพร้อมกับหายไปในครัวอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงเสี่ยวเอ้อที่ลอบสังเกตการณ์อยู่

นางคลำถุงเงินเอาออกมาตรวจนับดูเงิน ทำอย่างไรดี เงินนางนั้นไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้นเสียด้วย เพราะการเดินทางส่วนใหญ่เป็นศิษย์พี่อวิ๋นมู่และศิษย์พี่ไป่หลางจัดการเรื่องเงินตลอด นางจึงพกเงินมาไม่มาก ระหว่างทางหากเจออะไรน่ากินถูกใจก็ซื้อกินเองบ้างตอนนี้จึงเหลือไม่มากแล้ว เอาออกมานับเหลือสิบเก้าอิแปะ สะกิดเฟยหลงซ่างกระซิบกับเขา

“นายท่านหลง ข้าขอยืมเงินท่านสักเก้าอิแปะสิ”

เฟยหลงซ่างมองใบหน้านางยิ้มเจ้าเล่ห์ “เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าหากยืมเงินข้าแล้วเจ้าต้องให้สิ่งตอบแทนแก่ข้า”

“ไว้ข้ามีเงินแล้วจะคืนท่านเป็นสองเท่าเลย” นางกระซิบตอบ น่าขายหน้ายิ่งนักทำตัวเป็นวีรสตรีแต่กลับมีเงินไม่พอ

“ข้าไม่ได้ต้องการเงินคืน”

“แล้วท่านต้องการสิ่งใด”

“ไว้ข้าค่อยบอกเจ้าทีหลัง”

“ก็ได้ เช่นนั้นตอนนี้เอามาก่อน” รีบเอ่ยเพราะตอนนี้พ่อครูเดินยิ้มถือเป็ดย่างห่อกระดาษน้ำมันตรงมาแล้ว

เฟยหลงซ่างพยักหน้าให้ไป๋เฉิง เขาล้วงเงินอิแปะให้นางทันที

“ขอบคุณมากขอรับแม่นาง” พ่อครัวรับเงินมานับใบหน้ายิ้มแย้ม

เมื่อนางรับเป็ดมาก็ส่งให้เด็กหนุ่มที่นั่งมองนางอยู่บนพื้น “เจ้าเอาไปให้ท่านแม่ของเจ้าสิ”

“ไม่” เขาเอ่ยอย่างดื้อรั้น ไม่ยอมรับเป็ดจากมือนาง

“ไยไม่รับไปล่ะ”

“เพราะเป็ดตัวนี้ไม่ใช่ของข้า”

“แล้วเจ้าจะเอาอย่างไร จะไปขโมยเป็ดเพื่อนำกลับไปให้ท่านแม่เจ้าหรือ แบบนั้นจึงเรียกว่าเป็นของเจ้าหรือ”

“อย่างน้อยข้าก็ใช้ความพยายามของตัวเอง”

“ด้วยการขโมยเนี่ยนะ” นางโมโหจะตายอยู่แล้ว อุตส่าห์หน้าด้านขอยืมเงินบุรุษผู้ที่นางชังขี้หน้าอยู่ แต่เด็กหนุ่มคนนี้กลับไม่รับ

“...” เด็กหนุ่มยังคงไม่ตอบ สีหน้าดื้อรั้นไม่ยอมใคร

นางถอนหายใจก่อนจะเอ่ยอีกครั้ง “บ้านเจ้าอยู่ที่ใด”

“บ้านข้าอยู่ที่ชายป่าทางใต้ของหมู่บ้าน”

“เป็นทางผ่านพอดี เช่นนั้นเจ้าพาข้าไปที”

แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจะไปบ้านเขาแต่เด็กหนุ่มก็ลุกขึ้น เดินออกจากโรงเตี๊ยมไป

“เจ้าจะไปบ้านเด็กหนุ่มผู้นั้น” เฟยหลงซ่างเอ่ยถาม

“ไม่ผิด ท่านจะไปด้วยหรือไม่”

เฟยหลงซ่างไม่ตอบ แต่สีหน้าเขาดูไม่พอใจ เห็นเขาไม่เอ่ยสิ่งใดนางจึงสะพายห่อสัมภาระ เดินถือเป็ดย่างเดินตามเด็กหนุ่มออกไป

“เหตุใดนางถึงมีน้ำใจอย่างไร้ขอบเขตเช่นนี้ สักวันข้าจะทำให้นางรู้สำนึกให้ได้ว่าการมีน้ำใจนั้นควรจะมีขอบเขต” เขาเอ่ยเสียงขุ่น เดินไปที่คอกม้าหลังโรงเตี๊ยมด้วยสีหน้าหงุดหงิด ไป๋เฉิงและชีซามองกันเลิกลั่กคราหนึ่งก่อนจะรีบตามไป

ตลอดทางเด็กหนุ่มไม่ได้เอ่ยสิ่งใด นางเองก็ไม่ได้คุยกับเขา นางลอบสังเกตเด็กหนุ่ม ตัวเขาสูงคาดว่าเพราะไม่ได้กินอาหารดีๆจึงผอมมาก ผอมจนเหมือนร่างเขาจะปลิวไปกับสายลมได้ ทั้งที่อากาศเริ่มหนาวแล้วแต่เขายังคงสวมเพียงเสื้อผ้าบางๆมันทั้งเก่าทั้งขาด กางเกงมีรอยปะชุนอยู่หลายแห่ง รองเท้าที่สวมก็ขาดจนพื้นรองเท้าหายไปบางส่วนแล้ว ยิ่งเห็นยิ่งน่าเวทนา

“อย่ามาสงสารข้า ข้าไม่ชอบให้ผู้ใดมาสงสาร” เด็กหนุ่มเอ่ยเมื่อเขาเห็นนางลอบมองเขา

“ข้าไม่ได้สงสารเจ้าเสียหน่อย แค่เห็นเจ้าเดินไวจึงอยากรู้ว่าขาของเจ้ายาวแค่เพียงใดเท่านั้นเอง เจ้าคิดว่าข้าสงสารเจ้าด้วยเหตุใดหรือ” นางรีบแก้ความเข้าใจของเขาอย่างรวดเร็ว

เด็กหนุ่มใบหน้าแดงเม้มปากแน่นไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อ

“นั่นบ้านของข้า” เขาชี้ไปที่บ้านหลังเล็กๆ เก่าๆ ที่มีเพียงหญ้าผุๆ มุงหลังคา ทับด้วยก้อนหินก้อนใหญ่กันหลังคาปลิวเวลามีลมแรง แต่ดูจากภายนอกนั้นไม่เห็นว่ามันจะกันลมกันฝนได้เท่าใดนัก

“เจ้าฝังศพของท่านแม่ไว้ที่ใด”

เด็กหนุ่มเดินนำนางเข้าไปในรั้วเตี้ยๆ ผุๆ นางเห็นกองดินกองใหญ่ที่ทับถมกันอยู่สูงสองกอง กองแรกนั้นดูเล็กกว่ามีต้นหญ้าขึ้นประปราย ส่วนอีกกองเป็นกองใหม่ เขาชี้กองที่มีต้นหญ้าขึ้นประปรายก่อนจะชี้ไปที่หลุมใหม่ “หลุมนี้เป็นของท่านพ่อ ส่วนหลุมนี้เป็นของท่านแม่”

“เจ้าไม่มีป้ายชื่อหน้าหลุมศพหรือ” นางเอ่ยถามเพราะทั้งสองหลุมต่างไม่มี มีเพียงกระดาษเงินกระดาษทอง ธูปเทียนที่ผ่านการเผาไปไม่นาน

เด็กหนุ่มไม่ตอบ นางจึงเดาว่าเขาคงไม่มีเงิน จึงเอ่ยเสนอ “ที่จริงใช้ไม้ธรรมดาก็ได้แล้วแกะสลักเอา”

ครั้งนี้เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น เอ่ยเสียงเบา “ข้าไม่รู้หนังสือ”

ได้ยินดังนั้นนางจึงยัดเป็ดย่างใส่มือเด็กหนุ่ม “ฝากเจ้า” เดินวนอยู่บริเวณบ้านของเขา เห็นมีไม้แผ่นหนึ่งพาดไว้ที่ข้างบ้านหลังเก่าๆ เดาว่าคงจะเอามาซ่อมบ้าน นางจึงยกมันขึ้นมาจับให้มันตั้งขึ้น ชักกระบี่ออกจากฝักพันฉับไปสองครั้งแค่นี้ก็ได้แผ่นป้ายหน้าหลุมศพแล้ว

นางยกมาปักไว้ที่หน้าหลุมทั้งสองหลุม ดูว่ามันเหนี่ยวแน่นดีแล้วจึงหันไปเอ่ยถามเด็กหนุ่มที่ยืนนิ่งมองนางอยู่ “พ่อของเจ้านามว่าอะไร”

“จิ้นลี่...แซ่จิ้น จิ้นลี่” เขาเอ่ยเบาๆ

นางไม่ถามต่อไปว่าหมายความว่าอย่างไร ตวัดปลายกระบี่ไปที่แผ่นไม้หน้าหลุมศพแรกอย่างรวดเร็ว เมื่อเสร็จแล้วจึงเอ่ยถามต่อ

“แม่ของเจ้าเล่า”

“อิ่งฉิน...”

นางตวัดปลายกระบี่แกะสลักแผ่นป้ายหลุมศพให้แม่ของเขาอย่างรวดเร็ว มองผลงานของตนเองด้วยความภูมิใจเก็บกระบี่เข้าฝัก

หันไปเอ่ยกับเด็กหนุ่ม รับเป็ดปักย่างจากมือของเขาพร้อมเอ่ยถาม “แล้วเจ้าล่ะมีนามว่าอะไร”

นางคุกเข่าหน้าหลุมศพ วางเป็ดย่างลงแกะห่อกระดาษน้ำมันออก ไม่เห็นเด็กหนุ่มเอ่ยจึงหันไปถามอีกครั้ง “ว่าอย่างไรเล่า”

“จิ้นติ้ง”

นางพยักหน้า หันกลับไปมองหลุมศพก่อนจะเริ่มเอ่ย “ท่านลุงจิ่น ฮูหยินจิ้น...ข้ามีนามว่าหานหนิงเซียน วันนี้มาเคารพท่านในฐานะสหายใหม่ของจิ้นติ้งลูกชายของท่าน ขออภัยที่ข้าไม่มีของติดมือมามีเพียงเป็ดย่างตัวนี้เท่านั้น หวังว่าท่านลุงท่านป้าทั้งสองจะรับน้ำใจอันน้อยนิดของข้าผู้น้อย” เอ่ยจบก็คำนับศพก่อนจะลุกขึ้นมา ปัดฝุ่นที่ชายกระโปรงไปมา

ตลอดเวลาจิ้นติ้งเอาแต่มองการกระทำของหานหนิงเซียน เขาไม่ได้เอ่ยสิ่งใดแต่ดวงตาเขากลับแดงก่ำปากยังคงเม้มแน่น นางมองเขากลับ

“ต่อไปเจ้าก็ค่อยๆ หาเงินแล้วค่อยซื้อมาให้ท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าก็แล้วกัน ครั้งนี้ถือว่าข้ามาทำความรู้จักกับพ่อแม่ของเจ้า”

“...” เด็กหนุ่มยังคงไม่ตอบ นางจึงตบบ่าเขาสามครั้งพยักหน้าให้

“ข้าไปแล้วนะ รักษาตัวด้วย”

เอ่ยจบก็เดินกลับไปหาเฟยหลงซ่าง เขามาถึงนานแล้วพร้อมกับไป๋เฉิงและชิงซา เพียงแค่นั่งอยู่บนม้ารอนางอยู่ห่างๆเท่านั้น หานหนิงเซียนไม่เห็นว่าหลังจากที่นางหันหลังให้เด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มมองแผ่นหลังของนางครู่หนึ่งด้วยแววตาประกายประหลาดแล้วก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว

“เสร็จแล้วใช่หรือไม่” เฟยหลงซ่างถามด้วยเสียงเย็นชา

เพราะนางยังอารมณ์ดีอยู่ หานหนิงเซียนจึงไม่ได้ใส่ใจน้ำเสียงเย็นชาของเขา ยิ้มพยักหน้าอย่างยินดี

“เดินทางได้แล้ว ศิษย์พี่ของเจ้าคงชะลอฝีเท้าม้ารอเจ้าอยู่” เอ่ยพร้อมกับดึงนางขึ้นมานั่งอยู่ด้านหลังเขา

“อืม” นางพยักหน้า

แล้วม้าทั้งสามตัวก็เริ่มย่างก้าวตามกันไปอีกครั้ง ขณะที่ม้ากำลังเริ่มออกตัววิ่งกลับได้ยินเสียงชีซาตะโกนมาจากด้านหลัง

“นายท่าน เด็กหนุ่มคนนั้นวิ่งตามมาขอรับ”

คิ้วของเฟยหลงซ่างหมุ่นเล็กน้อยแต่ไม่ได้ชะลอฝีเท้าม้า กลับยิ่งกระตุ้นให้ม้าออกวิ่งไวขึ้น หานหนิงเซียนที่ได้ยินดังนั้นหันหลังกลับไปมองเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นวิ่งตามมาจริงๆ ด้วย

“ท่านหยุดม้าก่อน เขาวิ่งตามมา”

“...” เฟยหลงซ่างไม่หยุด เขากระตุ้นสีข้างม้าให้วิ่งไวกว่าเดิม

“นี่ท่าน! หยุดนะ ไม่เห็นหรือว่าเขายังวิ่งตามมา”

“เจ้าหวังสิ่งตอบแทนจากเด็กนั่นหรือ” เขาเอ่ยถามเสียงหงุดหงิด

“ข้าไม่ได้หวังสิ่งใด แต่เขาวิ่งตามมาแบบนี้ เขาคงมีสิ่งใดสำคัญจะเอ่ยกับเรา หยุดก่อนเถิด”

“มันจะเอ่ยกับเจ้า ไม่ใช่กับเรา” เขาเอ่ยเสียงเข้ม

“เช่นนั้นก็หยุดสิ” นางเหลียวไปมองเห็นเด็กหนุ่มยังวิ่งตามไม่เลิกแต่ท่าทางอ่อนแรงเต็มที นางตีไปที่บ่าเฟยหลงซ่างหลายครั้ง

สุดท้ายเฟยหลงซ่างก็ทนการรบเร้าของนางไม่ได้ดึงบังเหียนจนขาหน้าสองข้างของอาชาพันธุ์ดีตะกายอากาศก่อนจะหยุดลง นางกอดเอวเขาไว้แน่นจนขาหน้าของม้าอยู่บนพื้นแล้วจึงรีบลงมาลงไปดูเด็กหนุ่มคนนั้น

เขาวิ่งมาถึงตรงที่ม้าหยุดไม่เท่าไหร่ก็ทรุดนั่งหายใจหอบ

“ไยเจ้าต้องวิ่งตามมา” นางเอ่ยถาม สีหน้าของเขาขาวซีดไร้สีเลือด เหงื่อกาฬผุดซึมไปทั่วร่าง เขามีห่อผ้าเล็กๆ ที่สะพายหลังมาด้วย

“ข้าจะไปกับเจ้า” เด็กหนุ่มหอบแฮกเอ่ยตอบ

“ไปกับข้า” นางแปลกใจ “ไยจะไปกับข้า เจ้ากลับไปบ้านของเจ้าเถิด ข้าต้องเดินทางไปไกลไม่เหมาะจะให้ผู้ใดตามไป”

“แต่ข้าจะไป ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่เรียกร้อง ไม่วุ่นวาย ไม่รบกวนเจ้าขอเพียงให้ข้าไปกับเจ้าก็พอ” เด็กหนุ่มที่พูดน้อยยามพูดมากกลับพูดได้อย่างคล่องแคล่ว

นางคิดว่าเขาเพียงแค่จะขอบคุณนาง ซึ่งนางก็ไม่ได้หวังอยู่แล้ว เห็นเขาวิ่งตามเอาเป็นเอาตายจะไม่หยุดเอ่ยถามก็ใจร้ายเกินไป แต่กลายเป็นว่าเขาจะตามนางไปด้วย

“เจ้ารู้เหรอว่าข้าจะไปที่ใด”

เขาส่ายหน้า

“ไม่รู้แล้วไยจะตามไปให้ได้”

“ข้าจะตามเจ้า ข้าตัดสินใจแล้ว” เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว

“แล้วหลุมศพพ่อแม่เจ้าเล่า”

“ท่านแม่สั่งเสียข้าไว้แล้ว หากอยู่ที่นี่ไม่มีสิ่งใดดีขึ้นก็ให้ข้าไปทำในสิ่งที่ข้าอยากทำ นานๆ ค่อยกลับไปไหว้พวกท่านก็ได้”

“ไปกับข้าก็ไม่มีสิ่งใดดี อีกทั้งยังอันตรายถึงชีวิต” นางเอ่ย ไม่อยากให้เขาเอาชีวิตมาเสี่ยงเพราะไม่รู้ว่าระหว่างเดินทางจะเจอนักฆ่าหรือลอบทำร้ายอีกหรือไม่

“ข้าไม่กลัว ข้าตัดสินใจแล้ว” จิ้นติ้งยังคงเอ่ยตอบสายตาเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่น

“ไม่ ข้าไม่ให้เจ้าไป เจ้าอยากไปไหนก็เรื่องของเจ้าแต่ไม่ต้องตามข้ามา” นางเอ่ยอย่างตัดรอน นางไม่อยากให้เด็กหนุ่มผู้นี้ต้องมาเสี่ยงอันตรายกับพวกนาง

“...” เขาไม่เอ่ย แต่แววตาดื้อรั้นยิ่ง

นางไม่สนใจกลับไปที่ม้าของเฟยหลงซ่างอีกครั้ง เฟยหลงซ่างดึงตัวนางขึ้นอย่างรวดเร็ว

“เด็กหนุ่มคนนั้นช่างดื้อรั้นนัก” นางเอ่ยอย่างหงุดหงิด

“เจ้าต่างหากที่ดื้อรั้น” เฟยหลงซ่างขบกราม เมื่อครู่เขาไม่ชะลอม้าเพื่อไม่ให้นางลงไปหาเด็กหนุ่มคนนั้นแล้ว แต่นางก็ดื้อรั้นจะลงไปเป็นอย่างไรเล่า

“ข้าไม่ได้ดื้อรั้น” นางเอ่ยอย่างไม่พอใจ

“หากเจ้าไม่ให้ข้าหยุดม้าป่านนี้เด็กหนุ่มนั่นก็ตามมาไม่ทัน”

“ก็ข้าไม่คิดว่าเขาจะขอตามมา อีกทั้งท่านเห็นหรือไม่หากเราไม่หยุดเขาก็ไม่คิดจะหยุดวิ่งเช่นกัน ข้ากลัวเขาจะเหนื่อยตาย” นางเอ่ยเสียงอ่อน

เฟยหลงซ่างไม่เอ่ยต่อ กระตุกสายบังเหียนกระตุ้นมาให้เริ่มออกวิ่งทะยานไปข้างหน้า ชีซาและไป๋เฉิงควบม้าตามมา ด้านหลังไป๋เฉิงและชีซา เด็กหนุ่มผู้นั้นลุกขึ้นมาอีกครั้ง แล้ววิ่งตามม้าของพวกเขามา

นางเหลียวกลับไปมองอย่างร้อนใจ ทำอย่างไรกับจิ้นติ้งผู้ดื้อรั้นดี


“ไม่ต้องไปสนใจ ไม่นานหากเขาเหนื่อยก็เลิกตามมาเอง” เฟยหลงซ่างเอ่ยเสียงเย็นชา กระตุ้นม้าให้วิ่งเร็วขึ้น ม้าของพวกเขาห่างจากเด็กหนุ่มจิ้นติ้งไปทีละน้อย แต่เด็กหนุ่มก็ยังพยายามวิ่งตามพวกนางมา สุดท้ายก็ทิ้งระยะห่างจนเด็กหนุ่มคนนั้นหายไปจากสายตา



รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว