บทที่ 7 ถูกต้อง ฉันรังเกียจ
จางซู่ฉินที่ถูกว่าตกใจจนพูดไม่ออก แต่พอคิดว่าตนเองไม่ต้องยอมรับสิ่งที่เสิ่นทิงหงพูดก็ได้ เลยไม่พูดอะไรออกมา
ปรากฏว่าตอนที่หลิวเยว่ยกน้ำแกงสำหรับมื้อเช้าออกมา เสิ่นทิงหงได้ตักน้ำแกงแบ่งให้คนในบ้านทุกคน แม้แต่สมาชิกบ้านรองก็ได้ส่วนแบ่งไปเล็กน้อย แต่ไม่มีใครจากบ้านใหญ่ได้ส่วนแบ่งเลย
การกระทำนี้แม้แต่เสิ่นต้าลี่ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ เพราะเมื่อก่อนเสิ่นทิงหงก็เป็นคนปากร้ายที่สุดในบ้านเป็นทุนเดิมอยู่ หากใครมาทำไม่ดีด้วย เธอก็ไม่สนว่าคนคนนั้นจะเป็นใครหน้าไหน เด็กสาวจะชักสีหน้าใส่ไปหลายวัน
เสิ่นทิงหงรู้สึกพอใจนิสัยเดิมนี้ของเจ้าของร่างเดิมมาก เพราะเธอเองก็ไม่อยากประนีประนอมกับพวกงูพิษน่ารำคาญเหล่านั้นเหมือนกัน
เสิ่นต้าลี่ก็รู้ตัวเองดี เสิ่นโหย่วเหวยเห็นผ่านหูผ่านตามาเยอะ ไม่ว่าจะเป็นอาสะใภ้สามหรือเสิ่นทิงหง ล้วนไม่ใช่คนที่ควรไปตอแยด้วย ถึงเสิ่นทิงหงจะไม่แบ่งให้ครอบครัวเรา เขาก็จะไม่พูดอะไร
บ้านรองเองก็รู้สึกดีใจแทบแย่ อู๋อวิ๋นยังพูดเยินยอเสิ่นทิงหงสำทับไปว่าเป็นเด็กดี
แม้ว่าเมื่อคืนจะเจ็บใจที่ถูกหลิวเยว่ตำหนิ แต่ตอนนี้เธอกลับมีความสุขมาก แทบจะลืมไปหมดสิ้นว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อวาน
ทั้งสามีและลูกชายต่างรู้รุกรู้ถอย แต่ไม่ได้หมายความว่าจางซู่ฉินจะรู้ด้วย ยิ่งเพิ่มเสิ่นปี้เหลียนเข้าไป สองแม่ลูกคู่นี้จ้องน้ำแกงปลามาตั้งแต่เช้าแล้ว แต่ตอนนี้ถ้วยชามกลับว่างเปล่า เพราะงั้นพวกเธอจะยอมได้ยังไง?
“เสิ่นทิงหง นี่มันหมายความว่ายังไง? ทำไมคนอื่นได้กันทั่วหน้า มีแต่บ้านฉันที่ไม่ได้ หรือว่ารังเกียจพวกเราบ้านใหญ่กันแน่?” จางซู่ฉินพูดเสียงดัง
“ถูกต้อง ฉันรังเกียจพวกคุณ พวกที่ชอบลอบแทงข้างหลัง ใครบ้างจะไม่รังเกียจคนแบบนี้?”
เสิ่นทิงหงชักสีหน้า พูดออกไปอย่างไม่เกรงใจ ยังไงนิสัยของเจ้าของร่างเดิมก็เป็นคนไม่ยอมใครอยู่แล้ว ทำไมตัวเองต้องมาคอยทนเก็บอารมณ์ไว้ด้วยล่ะ
“เสิ่นทิงหง ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ” สีหน้าของเสิ่นปี้เหลียนไม่ค่อยดีนัก รู้สึกว่าเสิ่นทิงหงกำลังทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เห็นชัด ๆ ว่าไม่มีอะไรแต่กลับไม่ยอมปล่อยไปแม้แต่น้อย
“ตั้งใจหรือไม่เด็ก ๆ ในหมู่บ้านต่างก็เห็นกันหมด หรือจะลองเรียกพวกเขามาถามดูดีล่ะ? เสิ่นปี้เหลียนฟังให้ดีนะ ไม่ว่ายังไง ต่อไปนี้ก็อย่ามารังแกพวกเราอีก ไม่งั้นฉันไม่ปล่อยให้เรื่องนี้จบง่าย ๆ แน่”
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาเก็บเกี่ยวในฤดูร้อน งานในไร่สวนก็ยุ่งมากแล้ว หลิวเยว่ก็บอกว่าไว้รอให้ลูกตัวเองฟื้นขึ้นมาก่อนค่อยคิดบัญชี ดังนั้นเหล่าคุณลุงจากบ้านหลิวจึงพยายามอดทนอดกลั้น ไม่อย่างนั้นบ้านเสิ่นคงผุดลุกผุดนั่งกันไม่เป็นสุขแล้ว
ทั้งเสิ่นปี้เหลียนและจางซู่ฉินต่างก็คิดได้ถึงจุดนี้ จึงนั่งกินข้าวกันต่อไปอย่างเงียบ ๆ ไม่กล้าแผลงฤทธิ์อีก
พ่อเฒ่าเสิ่นกับแม่เฒ่าเสิ่นพอได้กินน้ำแกงปลาที่เสิ่นทิงหงแบ่งมาให้ แถมยังให้ปลามาคนละตัวก็รู้สึกพอใจอย่างมาก ถึงจะได้ยินเสิ่นทิงหงพูดจาไม่น่าฟังต่อหน้าก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของเสิ่นทิงหงเองด้วย ผู้อาวุโสอย่างพวกเขาสองคนก็นับได้ว่าเป็นคนยุติธรรม แน่นอน ถ้าหากเรื่องนี้เป็นเสิ่นทิงหงที่ทำผิด พวกเขาย่อมต้องพูดออกไป
พวกหลิวเยว่แม้จะรู้สึกไม่เต็มใจให้เสิ่นทิงหงแบ่งให้คนพวกนั้น แต่ว่ามันถูกแบ่งไปแล้ว จะพูดอะไรก็ไม่ได้ ส่วนชามของตัวเองที่ไม่ได้แตะตั้งแต่แรก ยังคิดแบ่งคืนให้เสิ่นทิงหง
“พ่อคะ แม่คะ พี่คะ หนูอยากซดน้ำแกงก็จริง แต่สองวันมานี้ก็ได้กินจนมันเลี่ยน กินต่อไปไม่ลงแล้ว ถึงแบ่งมาให้ก็กินไม่ลงอยู่ดีค่ะ”
พอได้ยินแบบนั้นหลิวเยว่จึงได้ค่อย ๆ กินส่วนของตัวเองไป ใช่ว่าเธอจะไม่รู้นิสัยของเสิ่นทิงหง ก็เหมือนกับไข่ตุ๋นเมื่อคืน ถึงจะรู้สึกว่าหลังจากบุตรสาวฟื้นขึ้นมาครั้งนี้จะทำตัวรู้เรื่องมากขึ้น แต่หลิวเยว่กลับรู้สึกไม่ค่อยดี ขอให้เสิ่นทิงหงเป็นเด็กตลอดไปก็ยินยอม
เสิ่นทิงหงเห็นมารดามีอาการเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าในใจเธอนั้นคิดอะไร แต่ยังรู้สึกได้ว่ามารดากำลังเป็นห่วงตัวเองอยู่
เสิ่นทิงหงเริ่มคิดอย่างไตร่ตรองว่าจะใช้วิธีไหนได้บ้างที่จะเอาห้วงมิติของตัวเองออกมาได้อย่างเปิดเผย
เธอยังไม่คิดเอาเรื่องห้วงมิตินี้ไปบอกกับพวกหลิวเยว่ ถึงจะต้องบอกกันจริง ๆ ก็ต้องเป็นหลังแยกบ้านเท่านั้น
ตอนนี้ทุกคนยังอยู่รวมกัน ใครจะรู้ว่าจะมีคนอื่นมาได้ยินเข้าหรือไม่ จากนิสัยของบ้านใหญ่และป้าสะใภ้รองแล้ว ถ้าพวกเขาเกิดรู้เรื่องขึ้นมา ต่อไปคงไม่มีทางทำให้พวกเราย้ายออกไปได้แน่
หลิวเยว่ยังต้องรีบออกไปทำงาน ช่วงเวลาเก็บเกี่ยวในฤดูร้อนนั้นต้องเร่งรีบกว่าฤดูใบไม้ร่วง เหตุผลก็ไม่ใช่อะไร เพราะฤดูร้อนมีฝนชุม ดังนั้นจึงต้องรีบทำเวลา
หลานที่อายุน้อยที่สุดของตระกูลเสิ่นก็คือเสิ่นเสี่ยวปิงจากบ้านรอง ตอนนี้ไปเข้าเรียนในโรงเรียนเล็ก ๆ ของหมู่บ้าน แต่พอถึงช่วงเวลาเก็บเกี่ยว ทุกโรงเรียนจะหยุดการเรียนการสอน
แม้แต่เสิ่นทิงเหวินที่เป็นคุณครูก็ต้องออกมาช่วยงานเก็บเกี่ยว
พวกเสิ่นปี้เหลียนก็ไม่มีข้อยกเว้น ไม่ช้าภายในบ้านจึงเหลือเพียงเสิ่นทิงหงคนเดียว
ทว่า แม้แต่ตอนที่เสิ่นทิงหงไม่ได้บาดเจ็บ ก็ไม่ต้องออกไปช่วยงานหนักข้างนอก เหตุผลก็ไม่มีอะไร เพราะเสิ่นต้าเฉียงกับหลิวเยว่ต่างแบ่งงานกันหมดแล้ว เสิ่นทิงเหวินได้เงินเดือน เสิ่นทิงอู่เรี่ยวแรงเหลือเฟือ เอางานในส่วนของเสิ่นทิงหงมาทำให้หมดแล้วเรียบร้อย
ดังนั้นถึงแม้เสิ่นทิงหงจะไม่ได้ออกไปลงแรงข้างนอก งานในส่วนของเธอก็เรียบร้อยดี นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่าสถานะในบ้านของเสิ่นทิงหงนั้นไม่ต่ำเลย
ใครใช้ให้ยุคสมัยนี้ ใครที่ทำงานได้มากก็มีสิทธิ์มาก พูดจาก็จะมีน้ำหนักมากตาม แล้วให้อาหารตามจำนวนงานล่ะ
แม้แต่เสิ่นโหย่วเหวยจากบ้านใหญ่ก็แบ่งไปทำได้แค่ 8 ส่วน แถมชื่อเสียงของจางซู่ฉินในหมู่บ้านก็ไม่ค่อยจะดี ดังนั้นถึงอายุจะปาเข้าไป 22 แล้ว แต่ก็ยังไม่แต่งงาน
แต่ว่าก่อนที่เสิ่นทิงหงจะทะลุมิติมา จางซู่ฉินเคยพูดกับเสิ่นโหย่วเหวยไว้อย่างหนึ่งว่า รอให้ช่วงเก็บเกี่ยวในฤดูร้อนผ่านไปก่อนก็ควรจะแต่งเข้ามาได้แล้ว
นี่ยังเป็นสาเหตุที่ถึงเสิ่นทิงเหวินและเสิ่นทิงอู่จะอายุ 20 ปีแล้ว ทั้งครอบครัวก็ยังไม่รีบร้อนอะไร
ใครใช้ให้พี่ใหญ่ของบ้านยังไม่แต่งสะใภ้เล่า แต่ถึงอย่างนั้น เวลานี้หลิวเยว่ยังคงรู้สึกเป็นกังวล
เสิ่นทิงหงอยู่บ้านคนเดียวก็รู้สึกเบื่อหน่าย เลยหาพวกหนังสือพิมพ์เก่า ๆ มาแปะรูที่หน้าต่าง แล้วค่อยลงกลอนประตู
ในสมัยนี้ยังคงใช้กลอนประตูแบบเก่า ซึ่งเป็นท่อนไม้ไว้ขัดกับห่วงที่ประตูสองอัน แบบนี้ก็สามารถลงกลอนประตูจากด้านในได้แล้ว
พอทำเรื่องเพื่อรักษาความลับเสร็จ เสิ่นทิงหงก็เดินเข้าไปในห้วงมิติ
เด็กสาวให้อาหารสัตว์ทั้งหลายเล็กน้อย แม้ว่าสัตว์ตัวน้อยพวกนี้จะเชื่องมาก ขอเพียงเสิ่นทิงหงไม่เคลื่อนไหวหรือทำอะไร พวกมันก็จะไม่เคลื่อนไหววุ่นวาย
แต่เสิ่นทิงหงยังคงคิดที่จะรอจนอาการบาดเจ็บของตัวเองหายดีก่อน ขึ้นเขาไปหาท่อนไม้มาสักหน่อย แล้วค่อยเอามาใช้แบ่งคอก แบบนี้ก็จะสามารถแยกเลี้ยงตามประเภทได้แล้ว
ในชีวิตก่อน เธอไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้นัก ถ้าเอาสัตว์มาเลี้ยงรวมกัน พ่อเป็ดเอาแม่ไก่มาทำเมียแล้วจะเกิดอะไรขึ้นก็สุดรู้ ถ้าหากพ่อไก่โดนแม่ไก่สวมหมวกเขียวขึ้นมา จะใช้ความรุนแรงกับแม่ไก่ไหม คิดไม่ตกจริง ๆ
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว