ชายหนุ่มถอดแว่นกันแดดออกเผยใบหน้าและดวงตาคมเข้มแต่มีแววอ่อนโยน มุมปากยกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว เพียงแค่เขาเห็นหญิงสาวแปลกหน้าอุ้มลูกหมามอมแมมตามหาเจ้าของหมาน้อยตัวนั้นโดยไม่สนใจว่าเสื้อผ้าตัวเองจะเปื้อนเปรอะแค่ไหน
“คุณชายครับ...คุณชายศิริชัช”
เจ้าของชื่อถอนหายใจหนักๆ ก่อนหันไปตามเสียงเรียกด้านหลัง เขามองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของคนสนิทที่รู้คุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก ความซื่อสัตย์คือคุณสมบัติโดดเด่นของชายผู้นี้และมันทำให้เขาโกรธเคือง ‘ธนา ใจใส’ ไม่ลง
“ขออภัยที่ทำให้คุณชายต้องรอนาน...เป็นความผิดของผมที่สะเพร่านำกระเป๋าเดินทางของคุณชายมาไม่ครบ”
“ถ้าฉันจะโกรธนายก็ไม่ใช่เรื่องกระเป๋าหรอก” ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมาแล้วยื่นมือไปตรงหน้า อีกฝ่ายมองฝ่ามือนั่นอย่างฉงน “เอากุญแจรถมา ฉันจะขับรถกลับบ้านเอง”
“ไม่ได้นะครับ” ธนาถอยหลังหลบทันที “ถ้าคุณหญิงทราบผมต้องโดนเล่นงานแน่ๆ “
“ก็อย่าให้ทราบก็สิ้นเรื่อง”
เขาก้าวไปฉวยกุญแจรถในมืออย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มเดินนำไปที่รถของเก๋งคันหรูที่จอดโดดเด่นอยู่ในบริเวณนั้น ธนารีบก้าวตามอย่างรวดเร็วแต่ก็ช้าเกินไปเมื่อผู้เป็นนายก้าวไปนั่งที่ฝั่งคนขับแล้ว เขาจึงรีบวิ่งอ้อมรถไปนั่งที่เบาะข้างๆ คนขับ
“ใกล้ๆ ถึงบ้านแล้วจะให้ขับเอง” ชายหนุ่มเอ่ยปนหัวเราะ เมื่อรถเคลื่อนออกไปแล้วเขาจึงผิวปากเป็นเพลงอย่างสบายอารมณ์ไม่สนใจคนข้างๆ ที่นั่งหน้าซีดอยู่
“อย่ากังวลนักเลย...ฉันเคยเป็นยังไงก็ยังคงเป็นอย่างนั้น แล้วนี่มันยุคไหนสมัยไหนแล้ว”
“แต่ว่าหม่อมเนตรนภา...”
“นั่นมันเรื่องของหม่อมแม่...เอาเป็นว่าเวลาอยู่กับฉันเราเสมอภาคกัน เป็นเพื่อนกันอย่างที่เคยเป็นมานั้นแหละ”
“ครับ ท่านชาย”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงข้างหนึ่งแต่ไม่อยากละสายตากับถนนตรงหน้าจึงทำได้แค่ถอนหายใจหนักๆ ‘ศิริชัช ศรีทรงวัฒน์’ แต่เขาได้ยินใครต่อใครเรียก ‘คุณชาย’ มาตั้งแต่จำความได้จนคิดว่ามันเป็น ‘ชื่อเล่น’ของเขาไปแล้ว 15 ปีที่แล้วเขาจากประเทศไทยไปใช้ชีวิตที่ลอนดอนกับญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง นานๆ ทีถึงจะกลับมาเยี่ยมเมืองไทยสักครั้งและแต่ละครั้งก็ไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำแทบจะไม่มีใครรู้จักหน้าตาเขาด้วยซ้ำไป รู้เพียงแต่หม่อมเนตรนภา มีบุตรชายที่สืบสายโลหิตเพียงคนเดียวคือคุณชายศิริชัช ศรีทรงวัฒน์
แต่ศิริชัชไม่เหมือนคนอื่นเขาไม่เคยชื่นชอบยศถาบันดาศักดิ์ที่มีมาตั้งแต่เกิด หลายต่อหลายคนเข้ามาทำตีสนิทเพราะหวังผลประโยชน์กับเขา แต่สำหรับ ‘ธนา’ แม้จะเป็นลูกชายของ ‘แม่วรรณ’ แม่บ้านที่ดูแลความเรียบร้อยในคฤหาสน์ ธนาอายุมากกว่าเขา 3 ปี แต่ถูกเลี้ยงดูในฐานะผู้ติดตามดูแลเขาตั้งแต่จำความได้ ธนาถอดนิสัยแม่วรรณมาเต็มๆ ทั้งอ่อนโยนและซื่อสัตย์ไม่เคยมีปากมีเสียงจนบ้างทีเขาก็นึกว่าธนาเป็นใบ้ ช่วงที่ไปเรียนเมืองนอกธนาก็คอยติดตามไปด้วย แต่เมื่อปลายปีที่แล้วแม่วรรณไม่สบายมากจนธนาต้องกลับมาดูอาการ เพราะความเป็นห่วงเขาจึงสั่งให้ธนาอยู่ที่เมืองไทยดูแลแม่วรรณไม่ต้องกลับมารับใช้เขาอีก แน่นอนว่าหม่อมเนตรนภาคัดค้านแต่เขาเห็นว่าเป็นโอกาสเดียวที่เขาจะได้ใช้ชีวิตอิสระอย่างแท้จริง
“เมื่อครู่ท่คุณชายมองอะไรอยู่หรือครับ”
“นายว่าอะไรนะ”
ศิริชัชตื่นจากภวังค์ รถราที่มากมายบนท้องถนนทำให้เริ่มหงุดหงิดขึ้นมานิดๆ ถนนในกรุงเทพฯ นี่ไม่เหมาะกับการขับรถเลยจริงๆ ต่อให้มีรถหรูราคาแพงแค่ไหนก็ติดแหงกบนถนนเหมือนๆ กันหมด
“ผมหมายถึงตอนที่คุณชายเดินมาที่ลาดจอดรถครับ”
“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก” เขาเผลอยิ้มออกมาเมื่อถึงหญิงสาวที่อุ้มลูกหมาน้อยตัวนั้น “ว่าแต่ธุระของนายเรียบร้อยดีนะ”
“ครับ...ถ้าผมไม่ลืมของที่สนามบินก็คงไม่ต้องให้ท่านชายนั่งรออยู่อย่างนั้นหรอก” ธนานึกโทษความสะเพร่าที่ไม่ค่อยเป็นบ่อยนัก
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรนี่” เขายักไหล่ไม่ใส่ใจ “ฉันดันกลับบ้านเร็วกว่ากำหนดสองเดือนเอง แต่ก็ขอบใจที่นายอุตส่าห์มารับนะ”
“ไม่ใช่แค่สองเดือน แต่ตั้ง2 เดือนต่างหากครับ” ธนาพูดแก้พลางถอนหายใจหนักๆ เมื่อคิดถึงความโกลาหลที่จะเกิดขึ้นเมื่อกลับไปถึงคฤหาสน์ “หม่อมเนตรนภาเตรียมจัดงานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของคุณชายอย่างใหญ่โต ถ้าเห็นหน้าคุณชายตอนนี้คง...”
“แต่ตอนนี้หม่อมแม่ก็ไปเชียงใหม่อยู่ไม่ใช่เหรอ...อีกหลายวันกว่าจะกลับ...แล้วนายทำตามที่ฉันสั่งหรือเปล่า”
“ครับ...นอกจากท่านชายใหญ่กับแม่ของผม ผมก็ยังไม่ได้บอกใคร...”
“ดีแล้ว...ท่านพ่อหน่ะเข้าข้างฉันอยู่แล้ว”
ชายหนุ่มวัยยี่สิบห้ายิ้มเจ้าเล่ห์ เขารู้ดีว่าตัวเองมีภาระหน้าที่มากแค่ไหนที่ต้องรับผิดชอบ แต่ก็ขอเวลาสนุกกับชีวิตอีกสักหน่อยเถอะ!
.....................
หมาน้อยมอมแมมกลายเป็นหมาน้อยน่ารักในทันที หลังจากเช็ดเนื้อเช็ดตัวจนสะอาดสะอ้าน โดยมีมือของหญิงสาวสองคนและสายตาชายหนุ่มอีกหนึ่งคู่ที่มองอย่างห่วงใย
“ชอบหาหมาแมวมาให้เลี้ยงแบบนี้ ย้ายมาอยู่บ้านเดียวกันเลยไหม”
“ก็อยากมาอยู่หรอกแต่เกรงใจพี่เนย” มาริสาหันไปยิ้มกับหญิงสาวรูปร่างเล็กท่าทางใจดีที่ยังคอยดูแลน้องหมาอยู่ “ถ้าพี่หมอกไม่กลัวมีก้างขวางคอเมี่ยงย้ายมาอยู่เลยก็ได้นะ”
ชายหนุ่มขยับแว่นสายตาให้ชิดใบหน้าแก้เก้อ เขาไม่เคยเถียงน้องสาวคนเดียวของบ้านได้สำเร็จสักครั้ง ลูกคนสุดท้องแถมเป็นลูกสาวที่แม่รอคอยมานานก็ไม่น่าแปลกใจนักหรอกที่จะได้มีนิสัยเอาแต่ใจไม่ยอมใครง่ายๆ ก็ครบสูตรอยู่แล้ว แต่ก็ใช่ว่าน้องสาวคนนี้จะนิสัยเลวร้ายอะไรนักหรอกก็อย่างน้อยเธอก็เป็นกามเทพให้เขาได้รู้จักกับหมอเนย สัตวแพทย์สาวจิตใจอ่อนโยนคนนี้ไงละ
“พี่หมอกค่ะไปหามุมสวยๆ ให้ใบเมี่ยงถ่ายรูปเจ้าตัวน้อยนี่หน่อยซิ”
“ครับเจ้าหญิง”
หมอกรับคำปนประชดนิดๆ แต่ก็ลุกขึ้นเดินไปหน้าบ้าน เหลียวซ้ายและขวา จะว่าไปก็ใช้แทบทุกมุมอยู่แล้ว แต่...บนเก้าอี้ยาวตัวนี้คงใช้ได้ เขาเผลอยิ้มแล้วเดินกลับเข้าไปช่วยอุ้มลูกหมาน้อยแล้ววางบนเก้าอี้ยาวที่ตั้งไว้นั่งเล่นหน้าบ้านซึ่งเป็นกึ่งออฟฟิศ ครอบครัวของเขามีกิจการหลักคือธุรกิจก่อสร้างที่เชียงใหม่แต่เมื่อถึงรุ่นของหม่อน-พี่ชายคนโตก็ขยายกิจการครอบคลุมทุกสาขา เมฆ-พี่ชายคนรองคอยดูแลด้านบัญชีเสียส่วนใหญ่แต่ก็ค่อยติดต่อกับธนาคารด้านการเงิน รวมถึงเขาที่ชอบเรื่องต้นไม้ก็ถูกจับมาทำงานด้านออกแบบตบแต่งสวนซึ่งเขาก็พอใจ ส่วนโมน-น้องชายอีกคนดูแลด้านการออกแบบตบแต่งภายใน จะมีก็แต่ใบเมี่ยง-มาริสา น้องสาวคนสุดท้ายที่ไปเอาดีด้านคอมพิวเตอร์นั้นแหละ
“ตัวยังสั่นๆ อยู่เลย” เนยบ่นพลางลูบตัวเจ้าหมาน้อยที่มาริสาอุ้มมาให้ดูแล “ไม่ต้องกลัวนะ แม่จะหาบ้านใหม่ให้หนูเอง เอ๊ะ! เรายังไม่ได้ตั้งชื่อเลยนี่”
“เรียกตัวเล็กไปก่อนก็แล้วกันพี่เนย” มาริสาบอกยิ้มๆ หันไปยักคิ้วให้พี่ชายที่เธอรู้ดีว่าอิจฉาเจ้าหมาน้อยที่ถูกกอดอย่างทะนุถนอมแบบนั้น
หญิงสาวหยิบกล้องดิจิตอลเตรียมถ่ายรูปหมาน้อยที่ถูกทิ้ง เมื่อเนยผละออกมาเจ้าหมาน้อยก็นั่งนิ่งเป็นนายแบบให้มาริสาถ่ายรูปอย่างง่ายดาย 2 ปีที่แล้วมาริสารู้จักกับเนยผ่านเวบไซต์แห่งหนึ่งที่คอยช่วยเหลือหมาและแมวจรให้มีเจ้าของใจดีค่อยดูแลพวกมัน ทำไปทำมาเธอก็เลยช่วยทำเวบไซต์สำหรับผู้ที่ต้องการอุปการะหมาและแมวตาใสๆ พวกนี้ แต่หมาแมวที่มาริสาเก็บมาบ้างครั้งยังหาเจ้าของไม่ได้หรือรอคนมารับไปดูแลเธอก็ต้องเอาพวกมันมาฝากที่บ้านของหมอกซึ่งเปิดเป็นโฮมออฟฟิศและนั่นก็ทำให้หมอกได้รู้จักหมอเนย สัตวแพทย์สาวจิตใจอ่อนโยน “น่ารักแบบนี้คงหาบ้านได้ไม่ยาก” เนยพูดด้วยรอยยิ้มแล้วหันไปทางหมอก “รบกวนคุณหมอกอีกแล้วนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ” ตอนนี้เขาต้องทำกรงไว้เลี้ยงเจ้าพวกนี้ที่ด้านหลังบ้าน ซึ่งตอนนี้ก็มีอยู่ 4 ตัวแล้ว แต่อีก2-3วัน จะมีคนมาขอดูน้องหมารับไปเลี้ยงคงได้แบ่งเบาภาระลงไปบ้าง
“เจ้าตัวเล็ก...โชคดีแล้วนะจ๊ะ” เนยอุ้มหมาน้อยไว้แนบอก “แต่วันนี้เนยจะเอาเค้าไปตรวจโรคก่อนนะคะ แต่ดูเหงือกแล้วเขาไม่น่าป่วยเป็นอะไรอาจจะแค่ขาดสารอาหารเพราะกินไม่อิ่ม”
“ครับ” หมอกเอ่ยตอบได้แค่นี้
ปกติเขาเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้วยิ่งอยู่กับคนที่ชอบก็ยิ่งพูดจาไม่เป็นแทบเป็นใบ้ด้วยซ้ำ เขาหันไปทางน้องสาวนิดหนึ่งที่ยิ้มทำหน้าทะเล้น เขาได้แต่แอบถอนหายใจเบาๆ ถึงจะไม่อยากให้มีน้องสาวมาเป็นก้างขวางคอแต่ถ้าไม่มีเขาก็ไม่รู้จะอ้าปากพูดอะไรได้หรือเปล่า
มาริสามองไปรอบๆ บ้านของหมอกหลายครั้งเพื่อความแน่ใจ แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่เธอเกรงๆ ท่าทางแปลกๆ ของเธอทำให้หมอกต้องเอ่ยถาม
“พี่หม่อนยังมาไม่ถึงเหรอ”
“พี่หม่อนมากรุงเทพฯ เหรอ?” หมอกถามอย่างแปลกใจ ปกติถ้าพี่ชายคนโตมากรุงเทพฯ จะต้องโทรบอกก่อนเสมอแม้ว่าแต่ละคนที่จะมีที่พักของตัวเองก็ตาม “มีอะไรด่วนหรือ?”
“อ้าว...นึกว่ารู้เรื่องเมี่ยงรู้กันหมดแล้ว”
“เรื่องที่พี่หม่อนไม่ให้แม่โอนเงินให้นะเหรอ” หมอกหัวเราะอย่างพึ่งนึกได้ “แต่ไม่คิดว่าพี่หม่อนจะลงมาจัดการเอง”
“อย่ามาหัวเราะกันแบบนี้นะ” มาริสาแยกเขี้ยวใส่ “แค่นี้ก็กลุ้มใจจะแย่อยู่แล้ว”
“หน้าตาไม่เหมือนคนกลุ้มใจเลยนี่” หมอกพยายามไม่หัวเราะเยาะน้องตัวเอง พี่น้องทั้งหมด 6 คน ทุกคนล้วนกลัวและเกรงพี่หม่อน-พี่ชายคนโตมากที่สุด ยิ่งกว่าพ่อกับแม่ด้วยซ้ำไปและก็มีแต่หม่อนเท่านั้นที่จะจัดการมาริสาได้
“มีอะไรหรือคะ” เนยถามอย่างแปลกใจ
“ก็ไม่มีอะไรครับแค่พี่หม่อนอยากดัดนิสัยน้องสาวขาช้อปฯ ของเรา” หมอกพูดปนหัวเราะ “พี่อยากรู้จริงๆ ว่าเราใช้ข้าวของที่ซื้อมาหมดเหรอ”
“ก็มันชอบนี่พี่” มาริสาแลบลิ้นใส่ “พี่หมอกไม่เข้าใจผู้หญิงหรอก”
“ได้ยินว่าต้องซื้อตู้เสื้อผ้าใหม่เพิ่มอีกตู้ไม่ใช่เหรอ...ทำไม่คัดอะไรๆ ที่เบื่อๆ แล้วออกซะบ้าง” พี่ชายแนะนำ
“คัดไปไว้ไหนละคะ พี่หมอกจะเอาไปใช้หรือไง”
“ก็นี่ไง หมอเนยเค้าทำโครงการหาเงินช่วยน้องหมาแมวอยู่ เมี่ยงก็ไปคัดอะไรที่เบื่อๆ แล้วมาให้เนยเอาไปขายหาเงินเข้าโครงการซิ”
“จริงเหรอคะพี่เนย” มาริสาหันมาถามเนยที่ยิ้มเขินๆ อยู่
“พอดีเนยปรึกษาคุณหมอกนะคะ ปกติเราใช้ทุนส่วนตัวช่วยน้องหมาแต่เราเองก็มีเงินไม่มากนัก เราอยากรักษาน้องหมาน้องแมวที่ไม่สบายให้แข็งแรงก่อนจะหาบ้านให้เจ้าของใหม่ค่ะ”
“ก็เลยคิดว่าจะขายของกัน...”
“ดีเลย! ใบเมี่ยงเอาด้วยช่วยเต็มร้อยอยู่แล้ว” มาริสาดีดนิ้วดังเป๊าะ “แบบนี้ใบเมี่ยงจะได้มีข้ออ้างกับพี่หม่อนแล้ว”
“โธ่!เมี่ยง พี่ชวนมาทำบุญไม่ใช่ให้หาเรื่องแก้ตัวแบบนี้”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย...” เธอหันหน้าไปพยักเพยิดกับเนยที่ยืนหัวเราะคิกคัก
มาริสายื่นมืออุ้มลูกหมาน้อยตาใสมากอดแนบอกอย่างดีใจ “แกนี่นำโชคดีมาให้ฉันจริงๆ เลยนะ แบบนี้น่าจะเรียกว่าหนูโชคดีนะเนี่ย”
หญิงสาวหัวเราะเสียงใส นี่เป็นครั้งแรกของวันที่ได้หัวเราะออกมาเสียทีหลังจากเครียดอยู่เป็นนาน แต่เอาเข้าจริง คนอย่างใบเมี่ยง-มาริสาไม่เคยเครียดนานอยู่แล้ว พี่หม่อนก็พี่หม่อนเถอะ! อย่าคิดว่าจะจัดการเมี่ยงได้ง่ายเลย ไม่มีทาง!!
......................
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว