GENTLE MONSTER บุรุษอันธพาล-GENTLE MONSTER บุรุษอันธพาล|02 - 2

โดย  SUNISAYOK

GENTLE MONSTER บุรุษอันธพาล

GENTLE MONSTER บุรุษอันธพาล|02 - 2

เกิดคลื่นความตระหนกตกใจไปทั่วสนามประลองแห่งนั้น คนบนอัฒจันทร์ไม่มีใครคิดว่าคิมบีโฮจะกล่าวยอมแพ้ออกมา ทั้ง ๆ ที่วัดดูจากระดับพลังฝึกปรืออย่างไรตัวของบุรุษคางบุ๋มผู้นั้นย่อมได้เปรียบ อีกบาดแผลบนตัวมันนั้นนับว่าน้อยนิด วิ่งหกล้มยังได้แผลถลอกมากกว่านี้เสียด้วยซ้ำ

ทว่าเหตุใดมันถึงยอมแพ้กัน?


“ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง.. เจ้าคิดจะยอมพะ..”


“ข้าไม่ยอม!!” นัยน์ตาน้ำแข็งพลันถูกละลายด้วยเพลิงโทสะ อุสางิซากิรีบตะโกนแทรกการถามไถ่ของฮูจิน

นางไม่มีทางยอมรับการชนะแบบไม่สมศักดิ์ศรีแบบนี้ได้


ด้านคิมบีโฮนั้นไม่ตอบ มันพลันก้มลงอย่างระมัดระวัง ใช้มือซ้ายเพียงข้างเดียวเก็บดาบเข้าปอกแล้วจึงหันหลัง เตรียมเดินลงจากเวทีประลอง


“กลับมา!! ข้าสั่งให้เจ้ากลับมาอย่างไรเล่า!!” เห็นท่าทางของบุรุษที่เตรียมเดินลงจากสนามประลองลงไป ยิ่งทำให้โทสะของเด็กสตรียิ่งพูนทับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว


“สั่ง? เจ้ามีอำนาจอันใดทำให้ข้าต้องทำตามคำสั่งของเจ้า” คิมบีโฮเพียงเหลียวหลังส่งสายตากลับไปทางด้านนั้น สายตาคนตอนนี้สุดขึ้งโกรธ “ขยะอย่างเจ้ามีสิทธิ์สั่งได้เฉพาะคนที่เกรงกลัวในบารมีของโคตรเจ้าเท่านั้น.. แต่คนน่าสมเพชไร้ฝีมือเช่นเจ้า นั้นไม่ใช่อะไรที่สามารถสั่งข้าได้..”

กล่าวจบขาคนจึงได้เหยียบย่างลงจากสนามประลองไปในทันที


“คิมบีโฮลงจากสนามประลอง ทำให้อุสางิซากิแห่งบ้านตระกูลศศะผ่านเข้าสู่รอบสี่คนสุดท้ายของสายบน มีกำหนดการแข่งขันคือยามอู่ของวันมะรืน ส่วนคิมบีโฮจากสำนักดาบเหล็กตกลงไปในสายล่าง มีโอกาสประลองแก้ตัวใหม่ตอนกลางยามซื่อของวันพรุ่ง พักสนามหนึ่งเค่อ!”


“เหตุใดคิมบีโฮถึงกล่าวยอมแพ้ ใช่มันเป็นตัวเต็งในงานประลองนี้มิใช่รึ?”

“ประลองกับคนจากห้าตระกูลเสาหลักอย่างไรก็ต้องมีพะวักพะวนกันบ้างนั้นแล..”

“หรือว่าเป็นคนตระกูลอุสางิจับจ่ายไปมาก คิมบีโฮผู้นั้นถึงได้ประกาศยอมแพ้?”

“ก็มีสิทธิ์อยู่.. ข้ามองอย่างไรคุณหนูอุสางิก็ไม่มีโอกาสเอาชนะคิมบีโฮได้เลย.. ดูอย่างรอบก่อน ๆ นางยังเอาชนะผ่านเข้ารอบมาได้อย่างกระท่อนกระแท่น ปราณธาตุเองก็เพิ่งใช้ได้ดีขึ้นในรอบก่อน ไม่มีทางที่จะเอาชนะคิมบีโฮได้ด้วยวิชาเดียวแน่.. ไม่มีวัน”


อุสางิซากินั้นได้ยินทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้อยคำเหล่านั้นต่างสะเทือนโสตการรับฟังของนาง

นางทั้งโกรธในตัวของคนที่นินทาว่าร้าย นางสุดชังในตัวของคิมบีโฮที่ทำให้นางต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้ พวกมันเหล่านั้นไม่เข้าใจในตัวนางเลย นางนั้นเพียรพยายามฝึกวิชามากมายขนาดไหน

ตั้งแต่สอบเข้าสำนักสี่ขุนเขามาได้ นางไม่เคยเรียกร้องขอโอสถใด ๆ ในการช่วยกรุยทางให้นางฝึกได้อย่างสะดวกจากบ้านตระกูล นางไม่เคยบอกว่าอยากได้ศิลาหินมากพลังมาซึมซับปราณจากบิดาหรือแม่ของนาง นางไม่เคยรีดไถทรัพยากรต่าง ๆ จากเพื่อนเรียนของนาง

ทุกสิ่งอย่างล้วนแล้วแต่เป็นนางที่หามาด้วยตนเองทั้งหมด ทั้งทำภารกิจของสำนัก ใช้ความรู้เรื่องวิชาแพทย์ที่ร่ำเรียนมาจากตระกูลปรุงโอสถด้วยตนเอง ข้าวนางกินสามมือฝึกซ้อมวิชาสี่มื้อ นี้ล้วนแล้วแต่เป็นความอุตส่าห์ของนางทั้งนั้น

ที่นางระเห็จมาทนลำบากอยู่ที่สำนักแห่งนี้ ก็ล้วนแล้วแต่ต้องการที่จะใกล้ชิดชายคนที่นางรักมันอยู่ข้างเดียว และเพื่อที่จะเดินเจริญรอยตามอัจฉริยะอันดับหนึ่งในรอบพันปีเช่นหม่าเฟย นางถึงกับยอมทำลำบากแทนที่จะอยู่เสวยสุขอยู่ที่ตระกูลที่มีทุกอย่างประเคนให้นางอย่างไม่มีวันหมด

ไอ้พวกคนที่ไม่เคยเห็นนางลำบาก..

มิสิทธิ์อันใดมานินทาว่าร้ายนาง!!


สายตาของหญิงสาวกวาดมองไปทั่วอัฒจันทร์ทั้งห้า สายตาของนางตอนนี้สุดเกรี้ยวกราด นางต่างเห็นใบหน้าของคนทุกคนที่เอื้อนเอ่ยคำติฉินนินทา นางล้วนเห็นใบหน้าแสนสนุกที่นำเรื่องของนางไปกล่าวอย่างออกรส นางจะจดจำทุกใบหน้าของคนทุกคนไว้ในหัวใจ

คนทุกคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรแล้วเอาแต่นินทาว่าร้ายนาง

สักวันหนึ่งนางจะทำให้พวกมันต้องกลืนน้ำลายที่คลุกเคล้าไปด้วยรสโลหิตสุดแสบคอลงท้องไป และจะทำให้พวกมันต้องเจ็บช้ำจากสิ่งที่ล่วงเกินนาง

โดยเฉพาะคิมบีโฮ!


พัดหยกถูกรวบเก็บเข้าไปในจิต อาภรณ์สีขาวที่เปื้อนฝุ่นดินต่างสะบัดไปตามทางที่ร่างอรชรนั้นเดินจากไป..


ไม่นานสนามประลองก็เตรียมการจนแล้วเสร็จ การประลองในคู่นี้นั้น เรียกได้ว่าดึงดูดความสนใจของคนได้อย่างล้นหลาม เนื่องด้วยมันคือการประลองระหว่างตงเสวี่ยซานและเฟิงป๋ายหยุ่น

สิ่งที่น่าสนใจนั้นไม่ใช่เพราะตงเสวี่ยซานนั้นลงแข่งขันเพียงอย่างเดียว แต่ด้วยคู่นี้ คนทั้งสองมีพลังระดับสัมผัสสรรพวิถีขั้นกลางด้วยกันทั้งคู่

แม้ในโลกของผู้ฝึกยุทธ์ ระดับพลังฝึกปรืออาจเป็นตัวชี้วัดถึงความก้าวหน้าของผู้ฝึกยุทธ์ด้วยกันที่ชัดเจนที่สุด แต่กระนั้นยังมีตัวแปรหลายอย่างที่อาจทำให้ความแตกต่างนั้นคลาดเคลื่อน อย่างวิชาที่ฝึก ประสบการณ์ และที่สำคัญ พลังสถิตร่าง

แม้ในช่วงชั้นสัมผัสนั้น พลังสถิตร่างจะยังไม่มีผลสักเท่าไหร่นอกจากเป็นตัวชี้วัดถึงระดับพรสวรรค์ว่ามีมากหรือมีน้อย


“เฟิงป๋ายหยุ่นจากบ้านตระกูลเฟิง” ชายร่างสูงกุมมือทำท่าคารวะไปทางตงเสวี่ยซาน “ขอได้โปรดคุณชายตงโปรดไว้ไมตรี”


สายตาของบุรุษปากยาวหน้าหยกพลันเหลือบมองไปที่คู่ต่อสู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้า “นานทีปีหนจะมีคนจากตระกูลชั้นรองที่โดดเด่นขึ้นมา.. นับเป็นเรื่องที่ดี..” คำพูดของคนที่กล่าวอาจมองว่าเป็นคำชม ทว่าน้ำเสียงและสีหน้านั้นต่างระบุชัดว่ากำลังดูถูก

ตงเสวี่ยซานทำเหมือนคนตรงหน้าก็แค่คนที่อยู่ต่ำกว่าตนแต่พยายามตีตัวเสมอ

ช่างน่าขันยิ่งในสายตาของตงเสวี่ยซานที่เกิดมาตระกูลของมันก็สูงอยู่แล้วโดยไม่ต้องพยายาม


คิ้วของเฟิงป๋ายหยุ่นถึงกับงองุ้ม สายตาจากเคยที่แสดงออกอย่างนับถือต่างบิดผันเป็นเฉยเมย

.

.

ย้อนกลับไปตอนที่คิมบีโฮเดินลงจากสนามประลอง หลังจากเดินมาจนถึงโถงทางเดินที่ไร้ผู้คนแล้ว บุรุษชายคางบุ๋มจึงได้แลมองซ้ายขวาครั้งหนึ่งเพื่อความแน่ใจก่อนที่จะฉีกชายเสื้อของตนเองออกมาปิดบังปานแดงบนหลังมือขวาของตนเอง


“ท่านนี่น่ารังเกียจมากจริง ๆ พี่บีโฮ!” เสียงสุดเล็กแว่วใสดังมาจากมุม..มุมหนึ่งที่อยู่ทางด้านขวาของคิมบีโฮ

ในทิศทางนั้นเป็นหญิงสตรีนางหนึ่งใบหน้างดงามจิ้มลิ้ม สตรีนางนี้มีอายุราว 14-15 ปีเท่านั้น

ทว่าแม้จะดูอ่อนเยาว์ ความงามที่มียังผลิบานไม่เต็มที่ แต่กระนั้นแรกแย้มบานแรกบนใบหน้าของนางก็เรียกได้ว่างดงามราวกับเทพีและราชินีแห่งมวลหมู่ดอกไม้รักและเอ็นดูนางเป็นอย่างมาก จากใบหน้ารูปไข่ที่มีผิวขาวห่มนั้น ช่างละเอียดและงดงามยิ่งโดยไม่ต้องเพิ่งชาดแต้มปากหรือแป้งผลัดแต่งแก้ม ดวงตาคู่งดงามสดใสนั้นช่างเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น จมูกของนางนั้นไม่โด่งมากแต่เป็นรูปทรงหยดน้ำที่น่ารัก และที่ดูดีที่สุดบนใบหน้านี้ก็คือแก้มคู่กลม ยิ่งนางเป็นคนผิวขาวอยู่แล้วจึงดูคล้ายกับก้อนซาลาเปาสองลูกที่มีรักยิ้ม อีกปากยังจับจีบเข้าคู่กับแก้มป่องกลมโตของนางได้อย่างลงตัว และแน่นอน สตรีน้อยนางนี้มีร่องลึกอยู่ตรงคาง เป็นรอยบุ๋มที่ตื้นกว่าคิมบีโฮเล็กน้อย

ทว่าตอนนี้ความงามทั้งหมดของนางกลับแสดงออกมาด้วยท่าทางง้องอน แก้มที่กลมอยู่แล้วยิ่งโป่งพองออกมาจนเหมือนจัมโบ้ซาลาเปาลูกใหญ่ ๆ ที่ขายตามร้านสะดวกซื้อ


สายตาของคิมบีโฮพลันมองไปทางเด็กหญิงคนนั้น คิ้วคู่หนาของคนพลันย่นชนกัน “ให้ตายเถอะยัยเด็กเหลือขอนี่.. ข้าบอกเจ้าให้รออยู่ที่สำนักกระบี่เหล็กอย่างไรเล่า เหตุใดถึงไม่ฟังคำสั่งของข้า!”

ปากคนกล่าว มือซ้ายเองก็ยังขยับอย่างต่อเนื่องเพื่อพันผ้าขาด ๆ ไปที่หลังมือของมันต่อไปอย่างไม่ถนัด


“พี่กล้ามากที่กล้าทิ้งน้องไว้ที่นั่นแล้วออกมาเที่ยวสนุกเองคนเดียว!” เด็กสาวกล่าวพร้อมสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น แก้มป่อง ๆ ของนางเองตอนนี้เรียกว่าใหญ่จนแทบปริแตก หากเป็นคนอื่นอาจคิดว่าท่าทางแบบนี้นั้นน่ารัก ทว่าตัวของคิมบีโฮต่างเห็นจนชินตา จึงทำให้รู้สึกรำคาญทุกครั้งที่เห็นดรุณีน้อยนางนี้ทำแก้มเช่นนั้น


“สนุก?” คิมบีโฮหลังจากพันผ้าเสร็จ มันก็ได้เดินตรงเข้าหาเด็กสาวนางนั้นก่อนใช้นิ้วกลางของมือข้างขวาดีดใส่ไปที่กลางหน้าผากเสียเต็มแรง


“โอ๊ย!!” เด็กสาวถึงกับสะดุ้งกับการกระทำนั้นของพี่ชายของนาง มือสั่น ๆ สองข้างพลันหยิบยกขึ้นมาปิดเหม่งกลางหน้าผาก “ท่านกล้าดีดหน้าผากข้าทั้ง ๆ ที่ท่านนั้นผิดอย่างนั้นรึ!”


“ดีดให้สมองของเจ้ามันเข้าที่เข้าทางอย่างไรเล่ายัยเด็กเหลือขอ! สิ่งที่ข้าทำนั้นมันไม่สนุก!” ใบหน้าของคิมบีโฮพลันแสดงออกมาอย่างขึ้งโกรธ “ไอ้พวกเวรนั่นมันก็อยู่ที่นี่ด้วย! หากเกิดอะไรขึ้นข้าไม่สะดวกพาเจ้าหนีไปด้วย อย่างไรเจ้าก็กลับไปรอข้าที่สำนักดาบเหล็กแต่โดยดี ข้าอุตส่าห์จ่ายเงินให้พวกมันไปตั้งมากมายเพื่อให้พวกมันเลี้ยงดูเจ้าจนอิ่มหนำ!”


“ชิ! อิ่มหนำ! หมั่นโถววันละสามลูกผัดผักวันละจาน! นี่ท่านเรียกว่าอิ่มหนำรึ! ขอทานยังได้กินดีกว่าข้าเสียอีก! สู้ท่านเอาเงินนั่นมาซื้อของในเมืองนี้ให้ข้ากินยังอิ่มยังถูกกว่าตั้งเยอะ!” นิ้วชี้แสนเรียวเล็กของหญิงสาวชี้ไปที่ข้อมือขวาของคิมบีโฮที่ถูกพันเอาไว้ “แล้วดูท่าน! ท่านเอาแต่พร่ำบอกว่าพลังสถิตของท่านคือหายนะ ทำให้ตระกูลของเราต้องล่มสลาย แต่ท่านกลับเผลอตัวเกือบทำให้พวกมันเหล่านั้นเห็นสิ่งที่ท่านปกปิด แบบนี้น่ะหรือเรียกว่าระวังตน”


“อย่างไรข้าก็มีวรยุทธ์ มีพลังปราณ เจ้าที่แม้แต่ปลุกพลังสถิตยังไม่ได้ไม่มีสิทธิ์แม้แต่วิ่งหนีพวกมัน เอาตามที่ข้าบอก รีบกลับไปรอข้าที่สำนักดาบเหล็ก หลังจากจบงานประลอง..ข้าจะไปรับเจ้ากลับบ้าน!”


“เอ่อ.. คือว่าข้าคงกลับไปไม่ได้แล้ว” มือซ้ายขวาที่ปิดเหม่งของหญิงสาวพลันลดลง ก่อนที่เด็กสาวจะถูกมือซ้ายขวาของนางเล็กน้อยอยู่ระหว่างท้อง และอาการนั้นคนเป็นพี่ต่างรู้ได้ในทันทีว่าน้องสาวตัวดีของมันต้องก่อเรื่องเอาไว้แน่ ๆ


สายตาคิมบีโฮพลันเหลือบมองไปที่หลังมือซ้ายของน้องสาว ที่ตรงนั้นมีผ้าผืนหนึ่งสี่ขาวมัดผูกเอาไว้อยู่

“เจ้าสร้างเรื่องอะไรที่สำนักนั่นยัยเด็กเหลือขอ.. บอกข้ามา..”


“เอ่อ...”


“บอกข้ามา..” น้ำเสียงตอนนี้ของคิมบีโฮกดลงต่ำ สายตาเองก็จ้องจับผิด


เมื่อถูกซักไซ้แถมยังถูกกดดันด้วยสายตา ปากน้อย ๆ จึงเผยออ้ากล่าว

“ขะ..ข้า.. ไม่..ไม่..” เด็กสาวพลันเดินเข้าไปใช้มือค้องแขนคนเป็นพี่ สายตาสุดออดอ้อนพลันถูกงัดออกมาใช้ น้ำเสียงเอาแต่ใจเปลี่ยนเป็นหวานใส “ท่านต้องสัญญาก่อนว่าถ้าข้าบอกท่าน.. ท่านจะไม่โกรธหรือลงโทษข้า..”


“มันก็อยู่ที่ว่าเจ้าทำผิดมากหรือน้อย..”


เด็กสาวกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ สายตามองไปที่พี่ชายอย่างไม่มั่นใจนัก “ข้าเผอิญไปได้ยินศิษย์สำนักนั้นพูดถึงเรื่อง 'ศิลาปลุกสวรรค์' เข้า.. ข้าจึงเกิด..เอ่อ.. เอาเป็นว่าข้าสงสัย จึงได้หลอกล่อให้ไอ้หูดำคนหนึ่งลอบพาข้าเข้าไปในห้องเก็บศิลา.. ซ้ำข้ายังหลอกให้มัน..เอ่อ.. หลอกให้มัน.. หลอกให้มันแสดงให้ข้าดูว่าการใช้ศิลาปลุกสวรรค์นั้นใช้อย่างไร เจ้าโง่นั่นก็เชื่อข้าและแสดงให้ข้าดู.. ข้าจึงได้สวมรอย.. ใช้พลังปราณของมันพร้อมศิลาปลุกสวรรค์ ปลุกพลังสถิตของข้า..”


คิ้มคู่หนาของคิมบีโฮที่มุ่นจนชนกันอยู่แล้ว ตอนนี้ต่างกดลงต่ำยิ่งขึ้นจนกลายเป็นเงื่อนที่แก้ออกได้ยาก “เจ้าจะบอกข้าว่า.. เจ้าได้ปลุกพลังสถิตร่างแล้วในตอนที่ข้าไม่อยู่?”


ใบหน้าของเด็กสาวผงกขึ้นลงอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ สายตาไม่กล้าแลมองสบกับสายตาคู่นั้นของคนเป็นพี่


มือขวาของคนเป็นพี่พลังตบลงและลูบไปทั่วใบหน้าของตนเองอย่างสุดแรง สีหน้าตอนนี้ของคนนั้นไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง ด้วยรู้ว่าการปลุกพลังสถิตร่างนั้นถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ต้องมีจอมยุทธ์มากฝีมือเป็นคนคอยปลุกและกำกับดูแล มิเช่นนั้นอาจทำให้ผู้ที่กำลังทำการปลุกพลังสถิตถึงตายได้ หรือไม่ก็คนที่กำลังช่วยปลุกพลังสถิตนั้นตาย..

“เจ้ายังอยู่.. แล้วไอ้คนที่เจ้าหลอกให้มันปลุกพลังสถิตให้นั้นตายแล้ว?”


“ไม่..ไม่..ไม่! เขายังไม่ตาย” สองมือที่เกาะแขนพี่ชายพลันถูกถอดออก เปลี่ยนมาโบกไม้โบกมืออย่างตื่นกลัว “เอ่อ.. เพียงแต่มันผู้นั้นสูญสิ้นพลังฝึกปรือทั้งหมดแถมยังได้รับบาดเจ็บตรงเส้นปราณ”


“มันพิการ?”


“ไม่..ไม่..ไม่..ไม่! มันแค่บาดเจ็บเส้นปราณ เอ่อ..ไม่รู้สิ.. น่าจะแค่บาดเจ็บนั่นแหละ.. คงต้องใช้เวลาพักฟื้นกว่าหกเดือนเห็นจะได้ และต้องเริ่มฝึกวรยุทธ์ใหม่ตั้งแต่เริ่ม”


มือของคิมบีโฮที่ถูหน้าของตนเองจนยับยู่ สายตาคนพันเหล่มองไปที่ผ้าผืนสีขาวบนหลังมือซ้ายของน้องสาว “ที่เจ้าพันมือซ้ายเอาไว้เพราะต้องการปกปิดตราประทับร่าง? แล้วพลังสถิตของเจ้าคืออะไร?”


ใบหน้าของเด็กสาวจากที่ดูเศร้าสลดในตอนนี้เปลี่ยนไปโดยฉับพลัน นิ้วมือขวาพลันถูกยกขึ้นมาถูจมูก “ฮิ..ฮิ.. ข้าคือใคร.. ข้าคือ ทง มีโซ (ทิศตะวันออก , รอยยิ้ม) น้องสาวของท่านพี่ ทง บีโฮ (ทิศตะวันออก , นักรบ) แน่นอนว่าพลังสถิตของข้าย่อมไม่พื้นเพทั่ว ๆ ไป”

กล่าวโอ้อวดออกมาคำโต ผ้าผืนขาวจึงได้ถูกแก้ออก


ดวงตาของทงบีโฮถึงกับเหลือกออกเมื่อเห็นปานแดงบนหลังมือของน้องสาว “มีโซ.. นะ..นะ..นี่มัน!”

สิ่งที่คนเป็นพี่เห็นนั้นมันเป็นสัตว์ที่คาบเกี่ยวระหว่างมังกรตนกับงูตนหนึ่งที่ดูเมตตา มองแล้วให้ความรู้สึกสงบใจยิ่ง มันคือปานแดงรูปพญานาค.. หนึ่งในสองพลังสถิตมังกรระดับสี่ดาวครึ่ง

มือของคนเป็นพี่รีบรวบจับไปที่มือข้างนั้นของน้องสาว มืออีกข้างที่ว่างอยู่พลันฉวยนำผ้าขาวในมือของนางสาวพันไปที่หลังมือของนาง “ปานแดงนี่.. มีใครเห็นของเจ้าแล้วบ้าง?”


“ยังไม่มีใครเห็น” คิมมีโซส่ายหัวซ้ายขวา “เพราะข้าและเจ้าหูดำนั้นลอบเข้าไปในยามวิกาล และพอพลังสถิตของข้าถูกปลุกจนแล้วเสร็จ เจ้าหูดำนั่นก็สลบไปในทันที แต่ว่าภายในห้องเก็บศิลานั่น.. เอ่อ..มัน... เอ่อ...”


“มันอะไร?” คิมบีโฮตอนนี้ตระหนกแบบสุด ๆ ปานแดงรูปพญานาคนั้น เป็นอะไรที่ดีแต่ก็นำมาซึ่งอันตราย เพราะมันเป็นถึงพลังสถิตมังกรระดับสี่ดาวครึ่ง


“มันโกลาหลและอึกทึกมากพอดู มีแสงสว่างจ้าบาดตาฉายออกไปทั่ว เกรงว่าคงมีคนรู้สึกและสัมผัสได้อยู่หลายคน แต่ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ตอนที่พลังสถิตของข้าปลุกได้สำเร็จ ข้าอยู่ตรวจสอบอาการของเจ้าหูดำนั่นอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงรีบรุดหนีออกมาเมื่อได้เห็นว่าตราประทับร่างของข้าคือตราของพญานาค..”


“ดี.. ถือว่าตัดสินใจได้ดี..” คิมบีโฮกล่าวจบในตอนที่มัดเงื่อนสุดท้ายใส่หลังมือของน้องสาว “เช่นนั้นเจ้าก็อยู่กับข้าก่อน.. หลังจบงานประลองนี้พวกเราควรรีบหนีกลับจักรวรรดิเต่าทมิฬในทันที!”

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว