…….……
หลังจากที่ต้นเหตุแห่งความวุ่นวายได้หนีกลับไปแล้ว สร้อยก็ได้ถามสุภัทราในทันทีว่า
“แม่ทับทิม!! เรื่องที่ผู้หญิงคนนั้นบอกเมื่อสักครู่น่ะ มันเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ? ที่บอกว่าแม่คนนั้นท้องน่ะ!?”
“จริงทุกประการค่ะแม่” สุภัทราตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
พัชราที่เพิ่งรู้ต้นสายปลายเหตุกับเหตุการณ์ในวันนี้ หล่อนเองยังคงไม่อยากที่จะเชื่อเลยว่าพี่ชายของตัวเองจะกลายเป็นคนเลวที่ทำร้ายจิตใจพี่สะใภ้กับแม่สร้อยของเธอได้ ส่วนวัลลภก็เพิ่งจะรู้ในตอนนี้เช่นกัน เพราะว่าสร้อยยังคงไม่ได้บอกแก่เขาให้ได้รับรู้ถึงเรื่องนี้มาก่อนนั่นเอง วัลลภโกรธอานนท์มากและรู้สึกสงสารสะใภ้กับหลานสาวของตนขึ้นมาในทันที
“เรื่องนี้นี่มันยังไงกันแน่? ทำไมไม่มีใครบอกอะไรกับฉันมาก่อนเลย แม่มึง…ทำไมไม่บอกพ่อล่ะ? เรื่องใหญ่ขนาดนี้!! แล้วไอ้อานนท์มันหายหัวไปไหนกัน? วันหยุดแท้ ๆ ทำไมไม่อยู่บ้าน? ไอ้ลูกเลว!! มันยังเป็นคนอยู่ไหม?” วัลลภพูดด้วยอารมณ์โกรธที่พร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
“ฉันว่าจะบอกกับพ่อมึง!? แต่ยังหาโอกาสพูดออกมาไม่ได้น่ะ และอีกอย่างฉันก็เพิ่งจะรู้เมื่อไม่กี่วันมานี่เอง” สร้อยสำนึกผิดและพยายามอธิบายให้วัลลภเข้าใจตนเองเสียใหม่
“แต่…เรื่องจริงหรือพี่ภัทร? ที่พี่หาบ้านเช่าและจ่ายเงินค่าเช่าบ้านให้พวกเขา แถมยังจะดูแลค่าทำคลอดให้กับ? อินังเมียน้อยของพี่อานนท์น่ะ?” พัชราเอ่ยถามพี่สะใภ้ของหล่อนด้วยความสงสัย
“จริงด้วย!! แม่ไม่เข้าใจเลยลูก? จะไปสนใจอะไรกับคนเลว ๆ อย่างพวกมัน!!” สร้อยไม่เห็นด้วยต่อการตัดสินใจของสุภัทรา
“ค่ะ ในตอนแรกหนูก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่…พอคิดว่าเด็กที่เกิดมาจะเป็นยังไง? ถ้าเขาไม่มีพ่อ หรือถ้าเรไรตัดสินใจต้องไปทำแท้งเพราะว่าตัวของหนูมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ด้วยแล้วละก็ มันคงจะต้องเป็นเวรเป็นกรรมผูกพันกันติดต่อไปไม่จบไม่สิ้น วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำอีก หนูไม่อยากให้เป็นเวรเป็นกรรมต่อกันอีกค่ะ” สุภัทราพูดแบบจริงจังเลยเพราะหล่อนเองก็ไม่ได้ต้องการให้เรื่องมันเป็นแบบนั้น
“เวรกรรมอะไรกัน? พวกมันก่อเรื่องเลว ๆ กันขึ้นมาเองทั้งนั้นก็ให้พวกมันรับกันไปเองเลยสิ…นรกน่ะ!!” สร้อยพูดแบบประชดประชัน
“แต่นรกมันจะตามมาหลอกหลอนถึงตัวและจิตใจของหนูค่ะแม่…” สุภัทราให้เหตุผล เธอกำลังต้องการอะไรกันแน่?
“แต่…แม่ทับทิมไม่ได้ทำอะไรผิดนี่!! ทำไมต้องไปรับผิดชอบกับการกระทำของพวกมันด้วยล่ะ ทำไมไม่ตัดหางปล่อยวัดแล้วปล่อยวางปัญหาของผู้อื่นล่ะลูก?”
“แต่ผู้อื่นที่แม่บอก เขาเป็นสามีของหนู เป็นลูกชายของแม่ และยังเป็นพ่อของทับทิมด้วยนะคะ”
สร้อยยังทำใจไม่ได้กับเรื่องความผิดของลูกชายของเธอ แต่ลูกสะใภ้ของหล่อนกลับยอมรับและพร้อมที่จะยื่นมือลงไปช่วยเหลือผู้ที่กระทำผิดต่อตัวเองได้อย่างไม่ลังเล!! นี่มัน…ทำไม? ทำไมลูกสะใภ้ของหล่อนถึงได้ยอมรับและยอมช่วยเหลือผู้หญิงที่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้? ที่มาทำตัวเป็นแมวขโมยแล้วมาฉกของรักของหวงของตนเองออกไปอย่างหน้าด้าน ๆ
สุภัทราไม่ได้เป็นคนใจดีมาตั้งแต่ต้นหรอกนะ ตัวของหล่อนเองนั้นปรกติจะเป็นคนที่มุ่งมั่นมาตั้งแต่ต้น ตอนที่สุภัทรายังเป็นเด็ก หล่อนเติบโตมาจากชนบทที่ยังไม่ค่อยเจริญสักเท่าไหร่นัก (ในยุคสมัยนั้น) พ่อแม่และพี่น้องมีที่ดินไว้สำหรับทำนาแต่ไม่มีใครได้ทำกันแล้ว ตั้งแต่ปู่ย่า ตายายได้ตายจากกันไป ก็ไม่ได้มีผู้สืบทอดการทำนาเป็นเรื่องเป็นราวเลยสักคน
บิดาของสุภัทราเป็นนางเอกลิเก…ใช่แล้วล่ะค่ะ!! ทุกคนฟังไม่ผิดในสมัยนั้นพระเอกและนางเอกลิเกจะใช้ผู้ชายเป็นคนแสดง ส่วนมารดาของสุภัทราก็จะได้บทแสดงเป็นนางยักษ์มาโดยตลอด ที่บ้านของสุภัทราจึงมีแต่ศิลปินที่รักการแสดงลิเก และในภายหลังก็ได้หัดเล่นดนตรีไทยกันจนแม้กระทั่งตัวของสุภัทราเองก็ได้ร่ำเรียนมาด้วยเช่นกัน หล่อนหัดเรียนหัดเล่นดนตรีไทยมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก แต่ในสมัยนั้นอาชีพนี้ยังคงไม่สามารถนำรายได้มาเลี้ยงครอบครัวได้ดีสักเท่าไหร่ สุภัทราจึงต้องการหาเงินให้มากขึ้นเพื่อถีบตัวเองให้หลุดพ้นจากความจนที่เป็นอยู่
ครั้นพอเข้าสู่วัยสาวก็ได้มีผู้ชายมาชอบพออยู่มากมาย เนื่องด้วยที่สุภัทราต้องออกไปช่วยพ่อเล่นดนตรีไทยตามงานและสถานที่ต่าง ๆ ที่มีผู้จ้าง แต่หล่อนไม่เคยสนใจในตัวของผู้ชายที่เข้ามาวุ่นวายกับเธอเลยสักนิดเพราะว่าหล่อนเองเป็นคนที่เลือกมองคน
ในตอนนั้นสุภัทรามีความคิดอยู่อย่างเดียวตลอดเวลาว่าต้องการที่จะรวยและอยากสบาย เพราะแบบนั้นคนที่เข้ามาในชีวิตจะต้องเป็นคนรวยเท่านั้น!! หล่อนถึงจะยอมตกลงพูดจาหรือคุยด้วย และแล้ว…คนแบบที่สุภัทราต้องการจึงได้ก้าวเข้ามาในชีวิตของเธอ
เขาคนนั้นเป็นลูกชายของคนมีเงินในหมู่บ้านใกล้เคียงกัน พอสุภัทรารู้เรื่องครอบครัวของเขาจึงยอมคบหาแล้วแต่งงานด้วย เมื่อหล่อนแต่งงานแล้วจึงได้ไปอยู่ที่บ้านของแม่สามี และนั่นก็เลยทำให้เธอก็ต้องหยุดและเลิกทำงานเล่นดนตรีไทยที่จำเป็นต้องออกไปทำกับพ่อของเธอไปโดยปริยาย
ซึ่งมันเป็นอะไรที่สุภัทราปรารถนามาตั้งแต่นานแล้ว และในตอนนี้หล่อนก็มีความสุขอยู่ดีมีสุขจนได้มีลูกชายกับเขาด้วยหนึ่งคน และแม่สามีก็รักในตัวหลานชายคนแรกมาก สุภัทรายังคงเลี้ยงดูลูกชายคนแรกของเธอเองยังไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ แต่แม่สามีของหล่อนกลับเป็นคนเลี้ยงดูลูกชายของเธอเอาไว้ให้ จนลูกชายของสุภัทรานั้นติดย่าของตนเองเป็นอย่างมาก และไม่ค่อยจะตามติดหล่อนผู้เป็นมารดาของเขาเลย
จนกระทั่งวันหนึ่ง สามีของสุภัทราได้ตัดสินใจไปทำงานที่กรุงเทพ เพราะเขาถูกเพื่อน ๆ ชักชวนให้ไปลงทุนทำอะไรสักอย่าง โดยที่ให้ตัวสามีเดินทางไปทำงานที่นั่นกับเพื่อนของเขาก่อน และคอยส่งเงินมาให้หล่อนกับลูกที่อยู่ทางบ้านแทน ด้วยความที่ว่าบ้านแม่ของสามีมีฐานะทางบ้านดีสุภัทราเลยไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินทองอะไรนั่นเอง
แต่พอนานวันเข้าสามีของเธอเริ่มไม่กลับมาที่บ้านนานเกิน จนบางทีก็ไม่ส่งเงินมาให้เธอกับลูกอีกหลายครั้งมากขึ้น ถึงหล่อนจะไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินหรือความเป็นอยู่ต่าง ๆ ก็จริง แต่ด้วยความเป็นผู้หญิงซึ่งจะเรียกว่าอะไรดีล่ะ? คงจะเรียกได้ว่ามันคือสัญชาตญาณของความเป็นเมียล่ะมั้ง? สุภัทราเลยตัดสินใจเดินทางมาหาสามีที่กรุงเทพโดยที่ไม่ได้เอาลูกชายมาด้วย แต่ถึงอยากจะพามาด้วยแม่สามีก็ไม่ยอมให้เอาหลานไปและตัวลูกชายของเธอเองก็ไม่ยอมตามมาด้วยนั่นเอง หล่อนจึงได้ออกเดินทางมาที่กรุงเทพเพื่อมาพบกับสามี
พอมาถึงกรุงเทพที่สามีอาศัยอยู่ ในครั้งแรกไม่พบตัวสามีของเธอเลยเจอแต่เพื่อนของเขา คนที่ชวนกันมาทำงานที่นั่น สุภัทราเลยต้องพักอาศัยที่ห้องพักของสามีอยู่ถึงสองวัน ระหว่างที่อยู่ที่นั่นหล่อนก็ได้พบกับปืนหนึ่งกระบอกที่ถูกซ่อนในลิ้นชักตู้ของสามีเธอ ส่วนเพื่อนสามีก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าสามีของเธอนั้นมีผู้หญิงคนใหม่ แต่ก็ไม่ยอมบอกอะไรกับหล่อนเลยแถมยังช่วยเพื่อนของตนปกปิด แล้วยังแอบคาบข่าวไปบอกกับเพื่อนอีกด้วยว่า
“เมียนายมาตามแล้ว ตอนนี้อยู่ที่ห้องพักของนาย”
แต่เพื่อนของสามีก็สวนทางกับสามีของหล่อนพอดี และพอสามีของสุภัทรามาถึง หล่อนก็เลยได้รู้ว่าสามีของตัวเองมีผู้หญิงคนใหม่แล้วอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพนี่ ในเวลานั้นหล่อนโกรธแค้นมากด้วยยังมีความคิดแบบเด็ก ๆ และอายุยังน้อยอยู่ สุภัทราจึงไม่ยอมกับเรื่องพวกนี้หล่อนทะเลาะกับสามีจนกระทั่งเกือบหวิดจะฆ่าคนตาย เพราะในตอนนั้นหล่อนได้วิ่งไปเอาปืนที่ได้พบในลิ้นชักตู้ของสามีหมายจะยิงให้พวกเขานั้นตายทั้งคู่ด้วยความโมโห แต่…คงจะเป็นโชคดีของผู้ชายคนนั้นเพราะว่าปืนที่สุภัทราได้จ่อยิงนั้น มันได้ถูกล็อกเอาไว้อยู่และหล่อนก็ปลดล็อกไม่เป็น จึงทำให้ทั้งคู่ไม่สามารถที่จะอยู่ด้วยกันได้อีกต่อไปแล้ว สุภัทราจึงตัดสินใจหย่าขาดจากสามีคนนี้โดยทันที
ในช่วงแรกสามีคนนี้ก็ไม่ยอมหย่าให้กับหล่อนเสียด้วยซ้ำ แต่พอสุภัทราบอกว่าจะฟ้องหย่าแล้วยังบอกอีกด้วยว่า “เมื่อมันเป็นแบบนี้ ฉันก็ไม่อายใคร ๆ แล้วด้วยเหมือนกัน ฉันจะฟ้องหย่า!!”
จึงทำให้สามีเก่าของสุภัทรายอมหย่าขาดจากเธอ เพราะว่าทางผู้ชายกลับมีความรู้สึกหน้าบางและอายต่อเรื่องที่เขาได้กระทำไปต่อชาวบ้านชาวช่องแค่นั้นเอง เขาบอกจะให้สินสมรสกับเธอ แต่ด้วยความหยิ่งในศักดิ์ศรีของสุภัทรา หล่อนจึงไม่ยอมเอาเงินจากสามีคนเก่าคนนั้นเลยแม้แต่บาทเดียว นั่นเพราะว่าในช่วงที่หล่อนได้ใช้ชีวิตอยู่เป็นภรรยาของเขานั้นได้เก็บเงินเอาไว้อย่างมากมายมานานแล้วตั้งแต่ตอนแต่งงานด้วยกันใหม่ ๆ เพราะเนื่องจากที่บ้านแม่สามีไม่ได้ขาดเหลืออะไร แถมแม่สามีก็ดูแลสุภัทราในเวลานั้นเป็นอย่างดีอีกด้วย หล่อนจึงไม่เคยนำเงินจำนวนนั้นมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยแต่อย่างใดเลยและคิดเอาไว้อยู่เสมอมาว่าตัวเองต้องการที่จะเก็บสะสมเงินทองเอาไว้ใช้ในยามจำเป็นเป็น
เมื่อตัดขาดจากความสัมพันธ์ที่มีไปแล้ว และแม่สามีเก่าก็ไม่ยอมยกลูกชายคืนให้กับเธอ และตัวสุภัทราเองก็ไม่อยากที่จะกลับบ้านเพื่อไปทำอาชีพเดิม ๆ กับพ่อที่บ้านอย่างเดิมอีก หล่อนจึงตัดสินใจอยู่ต่อที่กรุงเทพแล้วหาเช่าบ้านห้องเช่าเล็ก ๆ เพื่ออาศัยอยู่และหางานทำ ก็พอดีในกันกับในเวลานั้นที่โรงงานที่หล่อนได้ทำงานอยู่ในปัจจุบันเพิ่งจะเปิดโรงงานขึ้นมาใหม่และต้องการรับคนงานเป็นจำนวนมาก หล่อนจึงได้โอกาสครั้งใหม่ในการดำรงชีพของตนเองในครั้งนั้น สุภัทราไปสมัครงานและได้งานทำตามที่ต้องการ
บ้านที่สุภัทราเช่าอยู่นั้นอยู่ใกล้กันกับบ้านของสร้อยพอดี หล่อนเป็นคนเงียบ ๆ และเรียบร้อย แถมยังเป็นคนขยันแถมในเวลานั้นก็ยังโสดอยู่อีกด้วย และสร้อยก็รู้สึกชอบในนิสัยใจคอของสุภัทราจึงสนิทและนับถือกันเป็นอย่างพี่น้อง
สุภัทราทำงานด้วยความขยันแบบเอาเป็นเอาตายและทำทุกอย่างที่ได้เงิน!? ทั้งขายของตามหอพัก ปล่อยเงินกู้ให้พนักงานในโรงงานที่ไว้ใจและทำงานมานานแต่ก็ยังเดือดร้อนเรื่องเงิน แล้วยังแอบขายหวยใต้ดินเพิ่มอีก!! จึงทำให้ตัวของสุภัทรานั้นมีเงินเก็บค่อนข้างมาก
ต่อมา…หล่อนก็ได้มาเจอกับอานนท์ที่เป็นลูกชายของสร้อย ที่อานนท์เพิ่งมาเจอกับสุภัทรานั้นก็เพราะเขาไปติดทหารมาสองปี พอได้ปลดประจำการมาแล้วก็มาอยู่ที่บ้านของพ่อและแม่ของเขา และด้วยความที่สุภัทรากับสร้อยนั้นสนิทสนมกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หล่อนจึงได้ไปมาหาสู่ที่บ้านของสร้อยจนทำให้พบเจอกับอานนท์อยู่บ่อย ๆ นานวันเข้าก็เกิดเป็นความชอบแล้วก็รักกันในที่สุด อานนท์จึงขอสุภัทราแต่งงานและอยู่กินกันที่บ้านของสร้อยหลังนั้น
โดยที่สุภัทราอายุมากกว่าอานนท์ถึงหกปี แล้วหล่อนยังอยากมีความเป็นส่วนตัวของชีวิตคู่ของตัวเองจึงได้ขอต่อเติมแยกห้องออกมาเป็นสัดส่วน เพื่อความสบายใจของตนเองและยังคงฝากงานให้กับสามีของเธอทำงานอีกด้วย จนกระทั่งมีทับทิมลูกสาวที่น่ารักของเธอในทุกวันนี้
แต่…พอมามีเหตุการณ์ในครั้งนี้แบบที่ซ้ำรอยกันกับในรักครั้งแรกของชีวิตของเธอ ทำไมชีวิตรักของสุภัทราถึงต้องโดนแย่งคนรักมาโดยตลอด? คราวนี้หล่อนจะไม่หย่ากับสามีอย่างแน่นอนเพราะว่าเธอรักลูกสาวคนนี้ของเธอมาก และถ้าเกิดสุภัทราได้ตัดสินใจหย่ากับสามีขึ้นมาคนที่ทำร้ายจิตใจของเธอคงจะมีความสุขอย่างแน่นอน แต่ความทุกข์ระทมจะตามมาหลอกหลอนหล่อนไปตลอดชีวิต ความคิดแย่ ๆ ในช่วงนี้จึงทำให้ตัวของสุภัทราไม่สบายอยู่บ่อย ๆ
ในช่วงสามเดือนที่สุภัทราไปรับเงินเดือนของอานนท์แล้วยึดเอาไว้เองนั้น ในช่วงแรกหล่อนได้ไปหาหมอและได้ตรวจเช็กอาการของตัวเองเนื่องจากว่าตอนนั้นยังทำใจไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่สามีมีชู้จนทำให้เกิดไม่สบายอยู่บ่อย ๆ แล้วเลยกลายเป็นว่าสาเหตุที่เธอนั้นไม่สบายอยู่เรื่อย ๆ นั้นมันไม่ได้เป็นเพราะหล่อนช้ำใจเรื่องของอานนท์แต่เพียงอย่างเดียว เพราะคุณหมอที่ตรวจเช็กอาการกลับบอกว่าหล่อนนั้นเป็นโรคร้าย!! ในตอนนั้นสุภัทราเองก็ไม่อยากที่จะเชื่อหูของตัวเองเลยว่าทำไมตัวหล่อนถึงได้มีชีวิตแบบนี้ ไม่รู้ว่ามันเป็นเวรกรรมอะไรนักหนาแล้วครั้งนี้หล่อนจะทำอย่างไรต่อไปดี?
“อะไรนะคะ? เมื่อกี๊คุณหมอพูดว่าอย่างไรนะ?” สุภัทราเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบาบางและค่อยมากจนแทบจะไม่ได้ยินเสียงของเธอที่พูดออกมาเลย
“หมอบอกว่า…คุณเป็นมะเร็งปากมดลูกครับ” คุณหมอเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ
“แล้วดิฉันต้องรักษายังไงคะ? ผ่าตัดได้ไหม?” ความกังวลยังคงแสดงอยู่บนใบหน้าของหล่อน
“ในตอนนี้…เราผ่าตัดให้กับคุณไม่ได้แล้วล่ะครับ เพราะคุณเป็นมะเร็งในระยะที่สามแล้วครับ มันลุกลามไปทั้งมดลูกของคุณแล้ว คงทำได้เพียงรักษาด้วยการฉายแสงและฝังแร่ครับ และควรจะได้รับการรักษาอย่างเร็วที่สุดด้วยนะครับ”
“หมายถึง? เร็วนี่? ภายในระยะเวลาเท่าไหร่กันคะ?”
“คุณควรตัดสินใจรักษาโรคก่อน…ภายในสามเดือนนี้นะครับ อีกอย่างในตอนนี้ ทางโรงพยาบาลของเรายังไม่มีคุณหมอที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้เพียงพอ แต่จะติดต่อทางคุณหมอที่มีความสามารถทางด้านนี้โดยตรง ซึ่งเขาจะมาเป็นอาจารย์แพทย์ให้กับทางโรงพยาบาลของเรา แต่คงจะมาในอีกสามเดือนข้างหน้าครับ” คุณหมอพยายามอธิบายให้สุภัทราฟัง
“แล้วฉันจะสามารถทำงานที่ทำอยู่ได้ไหมคะ?” หล่อนยังคงห่วงที่จะทำงานของตัวเองอีก
“ถ้าได้รับการฝังแร่แล้วคงจะไม่สามารถทำอะไรได้ครับ เพราะต้องมานอนที่โรงพยาบาล เป็นระยะเวลาไม่เกินหนึ่งเดือนครับ แล้ว…เอ่อ…ตั้งแต่ช่วงนี้เป็นต้นไป…งดมีเพศสัมพันธ์กับสามีจะดีมากเลยนะครับ นั่นก็เพื่อป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ และป้องกันไม่ให้เป็นการทำให้มดลูกเกิดการอักเสบเพราะอาจจะติดเชื้อขั้นรุนแรงด้วยครับ”
“แสดงว่าฉันอาจมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงสามเดือนอย่างนั้นหรือคะ?” สุภัทราดูจิตตกและไขว้เขว
“เอ่อ…อันนี้หมอยังบอกไม่ได้นะครับ ทางเราจะต้องเข้าทำการรักษาอาการของคุณก่อน คุณควรตัดสินใจที่จะเข้าทำการรักษาก่อนภายในสามเดือนนี้ เพื่อตัวของคุณเองครับ”
“และถ้าดิฉันตัดสินใจรักษาในวันนี้ล่ะคะ?”
“เอ่อ…เราคงต้องนัดวันตรวจและรักษาตามอาการไปก่อนนะครับ เพราะทางอาจารย์แพทย์ที่เชี่ยวชาญทางการรักษาในโรคชนิดนี้ ยังคงมาในอีกสามเดือนข้างหน้าที่จะถึงนี้ และทางโรงพยาบาลจะติดต่อไปอีกทีนะครับ”
ในตอนนี้…สุภัทรายังจะทำอะไรได้อีก? ขนาดชีวิตของตัวเองยังกำหนดเองไม่ได้เลย นี่ขนาดตัดสินใจรักษาโรคในวันนี้เลยด้วยซ้ำยังคงต้องรอหมอเฉพาะทางอีกตั้งสามเดือนอีก!! หล่อนคงต้องรอ…และเริ่มคิดว่า…ตัวเองจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป…อีกให้ได้!! เพื่อลูกของตัวเอง
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา อะไรที่ใครต่อใครว่าดี!! ยาแบบไหนที่เขาว่าดีเยี่ยม!! สุภัทราก็ได้สรรหามากินทุกสิ่ง แม้กระทั่งหมอเทวดาที่คนลือกันว่ารักษาคนนั้นก็หาย คนนี้ก็หาย หล่อนก็ยังดั้นด้นไปเพื่อขอเข้ารับการรักษาแม้มันจะไม่ได้ช่วยทำให้เธอหายจากโรคนี้ได้จริง ๆ ก็ตามที!! ยาสมุนไพรเอย ยาหม้อเอย ยาต้มสารพัดอย่างหล่อนก็หาเอามากินเพื่อรักษาตัวเอง แล้วสุภัทราก็เริ่มปลง…และเริ่มคิดเรื่องเวรเรื่องกรรมมากขึ้น
จึงทำให้สุภัทราอภัยให้กับอานนท์ และมองเรไรแบบนึกเปรียบเทียบไปว่า ถ้าตัวของหล่อนเองได้เป็นอย่างเรไรเข้าล่ะ? หล่อนจะทำอย่างไร? ทำให้สุภัทรานึกอยากที่จะช่วยเรไรขึ้นมา เผื่อบางทีเวรกรรมที่สุภัทราอาจจะเคยทำมาในชาติที่แล้วนั้นอาจจะหายและหมดไปได้ หรือถ้าไม่หมดแต่กรรมดีที่หล่อนได้ทำในตอนนี้อาจจะช่วยให้สุภัทราไม่ต้องตาย และสามารถมีชีวิตอยู่ต่อ…เพื่อดูแลลูกสาวของตัวเองต่อไปอีกได้
สุภัทราเฝ้าอธิษฐานความปรารถนาของตัวเองในทุก ๆ วัน ทั้งสวดมนต์และทำบุญกุศลเพื่อสร้างความดีให้คงอยู่กับตนเองแบบนี้มาโดยตลอด ตั้งแต่ตอนที่หล่อนได้รับรู้เรื่องของโรคร้ายที่คุกคามเธอมา
ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านได้โปรดรับความปรารถนาของสุภัทราด้วยเถิด…
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว