เจ้าพ่อนักซิ่ง

เจ้าพ่อนักซิ่ง|02 - 1

พุดพิชชากลับมาถึงบ้านนานแล้วแต่ปราณติญาก็ยังไม่กลับมา เธอเข้าใจดีว่าปราณติญาคงไปเที่ยวกับแฟน หญิงสาวรอที่จะบอกว่าเธอเจอบ้านเช่าที่ใกล้กับร้าน การเดินทางสะดวกเธอเลยอยากจะขอย้ายออกโดยไม่ได้บอกปราณติญาว่าเธอรู้เรื่องที่ปราณติญากับแฟนคุยกันถึงเรื่องที่แฟนของเธอจะย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้าน

“มีเรื่องอะไรด่วนหรือเปล่าทำไมมายืนรอตรงนี่ละพุด” ปราณติญาอดแปลกใจไม่ได้ที่เพื่อนมายืนรอรับที่หน้าบ้าน

“ก็ไม่เชิงว่าด่วน ฉันจะบอกแกว่าฉันเจอบ้านเช่าอยู่หลังหนึ่งอยู่ใกล้กับที่ร้านมากวันนี้ฉันไปดูมาเห็นว่าค่าเช่าถูกเลยรีบตกลงทำสัญญาเช่ากับเขาไปแล้ว”

“มีอะไรเหรอพุดทำไมอยู่ดีๆ แกถึงอยากจะย้ายออกมีใครไปพูดอะไรกับแกหรือเปล่า”

“แกหมายถึงอะไรฉันไม่รู้เรื่อง เพียงแต่เห็นว่ามาอยู่กับแกก็เกือบครึ่งปีแล้วอยากจะขยับขยายไปอยู่คนเดียวบ้างและฉันเห็นว่าแกเองก็มีแฟนแล้ว อีกหน่อยถ้าแกแต่งงานแกอาจจะอยากมีความเป็นส่วนตัวมากกว่านี้ก็ได้”

“แกคิดยังนั้นจริงๆ เหรอพุด”

“ก็จริงสิ ฉันเองถ้ามีแฟนก็คงต้องการความเป็นส่วนตัวบ้าง แกมีอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า ฉันแค่แปลกใจที่อยู่ๆ แกก็จะย้ายออก”

“ฉันคิดเรื่องนี้มานานแล้วเพียงแต่ยังหาบ้านที่ถูกใจไม่ได้สักที พอดีว่าบ้านหลังนี้เจ้าของ เค้าอยากได้คนช่วยดูแลบ้านด้วยฉันเห็นว่ามันใกล้กับร้านมากเลยรีบตกลงทำสัญญากลัวคนอื่นจะมาแย่ง ฉันขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้บอกแกก่อน”

“ไม่เป็นไร เพียงแต่ฉันรู้สึกใจหายที่อยู่ๆ แกก็จะย้ายออก แล้วแกบอกป้าดาหรือยังล่ะ” ปราณติญารู้ว่าป้าลดาเอ็นดูเพื่อนของเธออยู่มาก

“ยังไม่ได้บอกเลยฉันว่าพรุ่งนี้จะไปหาป้าดาที่บ้าน”

“อืม” ปราณติญาฟังที่เพื่อนพูดแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจเพราะไม่รู้ว่าที่พุดพิชชาต้องย้ายนั้นเป็นเพราะมีใครไปพูดอะไรหรือเปล่า พอคุยกับเพื่อนเสร็จเธอจึงรีบเข้าห้องตัวเองแล้วรีบโทรศัพท์ถามเมฆาแฟนของเธอทันที

“พี่คุยกับเพื่อนของป่านครั้งสุดท้ายก็ที่บ้านวันนั้นแหละครับ”

“หรือว่าพุดจะได้ยินที่เราคุยกันวันนั้นคะ” ปราณติญาเริ่มกังวล

“พี่ว่าไม่น่าจะได้ยินนะ เพราะวันนี้เราคุยกับจบตั้งนานกว่าเพื่อนของป่านจะกลับมา พี่ว่าป่านอย่าคิดมากเลยนะครับ เพื่อนของป่านอาจได้บ้านเช่าที่ใกล้กว่าบ้านของป่านอย่างที่บอกก็ได้นะครับ”

“ป่านก็หวังให้เป็นอย่างนั้นนะคะ” ปราณติญาเองก็หวังให้เป็นเช่นนั้นจริงๆ

การย้ายบ้านของพุดพิชชาไม่มีอะไรยุ่งยากเลยสักนิดเพราะของใช้เธอไม่ได้มีอะไรมากนัก หญิงสาวบอกปราณติญาไว้ตั้งแต่เช้าแล้วว่าวันนี้เธอจะย้ายออก ปราณติญาอยากอยู่ช่วยเพื่อนแต่พุดพิชชาไม่อยากให้เพื่อนต้องลางานเพราะเรื่องเล็กน้อย เธอจึงเก็บข้าวของขึ้นรถคนเดียวอีกครั้ง พอนึกๆ ไปก็รู้สึกใจหายที่ต้องจากย้ายจากบ้านหลังนี้เพราะที่นี่เธออยู่แล้วมีความสุข มีความสบายใจไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าต้องไปอยู่คนเดียวจริงๆ เธอจะทนกับความเหงาและความหว้าเหว่ได้มากแค่ไหน


“พี่ตกใจหมดเลยที่รู้ว่าน้องพุดจะย้ายออก” กรกนกพูดขึ้นเมื่อรู้ว่าเธอไปบอกว่าจะย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่

“พุดไม่ได้ย้ายไปไหนไกลหรอก บ้านหลังใหม่อยู่ใกล้ๆ โรงพยาบาลนิดเดียวเองค่ะ พุดยังส่งข้าวกล่องให้พี่เหมือนเดิมค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยยังชั่วแล้วจะไปวันนี้เลยเหรอคะ ให้พี่ช่วยไหม” เธอมองหญิงสาวที่กำลังเก็บของขึ้นรถอยู่คนเดียวแล้วก็อดใจหายไม่ได้ แม้จะไม่ได้คุยกันบ่อยแต่พุดพิชชาก็เป็นคนอัธยาศัยดี

“ไม่เป็นไรค่ะพี่ญา ของพุดไม่ได้เยอะอะไรเลย พี่ญาต้องรีบไปเปิดร้านไม่ใช้เหรอคะ”

“ตายจริง คุยเพลินเลย พี่ไปก่อนนะคะ”

ขณะที่กำลังเก็บของกล่องสุดท้ายขึ้นรถรัญภาคย์ก็เดินเข้ามาพอดี

“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”

“ไม่มีค่ะ ฉันเก็บของเสร็จแล้ว”

“ผมว่าจะมาช่วยสักหน่อย แต่พอดีต้องไปส่งแม่ที่สนามบินเลยมาช้า”

“อ้าวไหนป้าดาว่าจะไปพรุ่งนี้ใช่เหรอคะ”

“พอดีหลานสาวไม่สบาย แม่เลยรีบไปช่วยดูแล”

“ค่ะ แล้ววันนี้ไม่ไปทำงานเหรอคะ”

“ไม่ครับ ผมตั้งใจว่าจะมาช่วยคุณนี่แหละ คุณจะว่าอะไรไหมถ้าผมจะไปหาที่บ้านบ้าง”

“ได้สิคะ ไหนๆ วันนี้ก็ไม่ได้ไปทำงานแล้วสนใจจะไปช่วยยกของลงจากรถไหมคะ”

“แน่นอนอยู่แล้วครับ ถึงไม่ชวนผมก็จะตามไปอยู่ดี” เขาไม่อยากเสียความตั้งใจ

“ขอบคุณนะคะ”

ทั้งสองคนช่วยกันเอากล่องลงจากรถแล้วก็จัดของเข้าที่กว่าจะเสร็จก็บ่ายคล้อย พุดพิชชาอยากทำอาหารเลี้ยงชายหนุ่มที่เขามาช่วยก็คงต้องขอเลื่อนไปวันอื่นเพราะเธอยังไม่ได้ซื้อของมาเลยสักอย่าง รัญภาคย์เลยพาหญิงสาวมาทานอาหารที่ร้านไม่ไกลจากบ้านมากนัก

“ผมว่าคุณอยู่ที่นี่ก็สะดวกดีนะครับ”

“ค่ะ ประหยัดเวลาไปซื้อของได้เยอะเหมือนกัน”

“พูดถึงซื้อของแล้ว เดี๋ยวเราไปซื้อของกันนะครับ ผมว่าคุณคงต้องซื้ออะไรเพิ่มอีกหลายอย่างเลย”

“ค่ะ ฉันก็ว่าจะชวนคุณอยู่เหมือนกัน”


พุดพิชชามาอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้สองสัปดาห์แล้วทุกๆ เย็นรัญภาคย์มักจะแวะมาหาและทานอาหารเย็นด้วยก่อนที่จะกลับไปที่บ้านของตัวเอง เขาบอกเธอว่ามารดาของเขายังไม่กลับมาจากเชียงใหม่เลยไม่อยากต้องเหงาอยู่ที่บ้านคนเดียว บางครั้งเขาก็มาช่วยเธอเตรียมของที่จะทำขายจนดึกและในช่วงกลางวันเขาก็มันจะแวะไปหาเธอที่ร้านชาเป็นประจำ

ตอนนี้เธอมีคนช่วยงานที่ร้านหนึ่งคน เป็นผู้หญิงอายุ 35 ปีชื่อเบญจวรรณหรือที่เธอเรียกว่าพี่เบญ พี่เบญเป็นคนขยันและเรียนรู้งานได้ไว เธอสอนพี่เบญชงชา ต้มมุกรวมไปถึงการทำแซนวิช ส่วนน้ำสลัดที่นำมาทาบนขนมปังนั้นเธอไม่ได้สอนเพราะมันเป็นสูตรที่เธอคิดว่าอร่อยที่สุดและไม่อยากให้สูตรนี้กับใคร แต่เธอจะเป็นคนทำน้ำสลัดและซื้อวัตถุดิบต่างๆ ไปให้พี่เบญที่ร้าน นอกจากเงินเดือนแล้วพุดพิชชายังให้กำไรจากทุกแก้วที่ขายได้ แม้จะเป็นเงินไม่มากแต่ถ้านับจำนวนแก้วที่ขายได้ในแต่ละวันแล้วก็ถือว่าเป็นจำนวนที่เยอะอยู่พอสมควร

เธอกับปราณติญายังคงติดต่อกันอยู่เกือบทุกวัน เพราะการจากมาอยู่ที่นี่ของเธอไม่ได้มาเพราะโกรธหรือน้อยใจเพื่อน แต่เพียงเพราะเธออยากให้เพื่อนมีชีวิตครอบครัวที่มีความสุข การแต่งงานของปราณติญาจะเกิดขึ้นในเดือนเมษาช่วงปิดเทอมพอดี พุดพิชชาสัญญากับปราณติญาไว้ว่าเธอจะเป็นเพื่อนเจ้าสาวของเธอ

พุดพิชชารู้สึกอุ่นใจที่แม้เธอจะย้ายมาอยู่คนเดียวแต่ก็ยังมีรัญภาคย์แวะมาทานข้าวด้วยเกือบทุกวัน กับข้ออ้างเดิมคือที่บ้านไม่มีคนอยู่ เธอเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไรในในตัวเขาเลย เพราะมันทำให้แต่ละวันของเธอผ่านไปอย่างมีความหมาย

“พร้อมหรือยังครับ” รัญภาคย์เดินเข้าในบ้านอย่างคุ้นเคย วันนี้เขานัดกับเธอไว้ว่าจะพาเธอลงไปกรุงเทพฯ เพราะต้องไปเลือกซื้อของใช้และของตกแต่งสำหรับร้านอาหารคนรักสุขภาพของเขาที่ตอนนี้เริ่มเป็นรูปเป็นล่างขึ้นมาแล้วตั้งแต่หญิงสาวเข้ามาช่วยเขา

พุดพิชชามาพักที่คอนโดฯ ของรัญภาคย์เพราะไม่อยากไปพักที่โรงแรม เธอไว้ใจเขาว่าจะไม่ทำอะไรเธออย่างแน่นอน ผิดกับอีกคนที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่ล่วงเกินหญิงสาว

“วันนี้เราจะไปไหนกันค่ะ” เธอนั่งรถออกมาจากคอนโดฯ แล้วก็ถามอยากแปลกใจเพราะของที่ต้องการนั้นได้ครบตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่รัญภาคย์ก็ยังไม่ยอมพาเธอกลับบ้านสักที

“ผมอยากให้คุณช่วยซื้อของเล่นกับชุดเด็กหน่อยครับ”

“ของเล่น?” เธอหันมาถามเขาอีกครั้ง

“ใช่ครับ ผมอยากได้ของเล่นเสริมพัฒนาการและก็พวกชุดเด็กพอดีว่าผมจะซื้อไปฝากหนูอัยย์ที่เชียงใหม่ครับ” ชายหนุ่มหมายถึงลูกสาวของฐิตาภาที่เขากำลังจะพาเธอขึ้นไปหาที่เชียงใหม่หลังจากที่เสร็จธุระเรื่องซื้อของแล้ว

“ฉันว่าเรื่องนี้เราคงต้องไปถามพนักงานขายดีกว่าไหมคะ เพราะฉันเองก็ไม่เคยซื้อของแบบนี้เหมือนกันค่ะ”

ระว่างที่กำลังเลือกซื้อของเล่นและของใช้สำหรับเด็กอยู่นั้นพุดพิชชาก็รู้สึกเหมือนกำลังมีใครมองอยู่ และก็เป็นอย่างที่คิดมีคนยืนมองเธออยู่จริงๆ หญิงสาวตกใจมากเพราะไม่คิดมาก่อนว่าจะมาเจอกับบิดาที่นี่

“พ่อ” เสียงเรียกคล้ายเสียงอุทานที่แผ่วเบาของพุดพิชชาทำให้ชายหนุ่มที่กำลังเลือกของใช้หันไปมองเพราะถ้าเป็นบิดาของเธอจริง เขาจะได้ไปทำความรู้จัก แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นตรงหน้า

เพี้ยะ!

เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าขาวเนียนที่ตอนนี้มีรอยแดงไปทั้งแถบ รัญภาคย์รีบเดินตรงเข้าไปขวางทันทีเพราะกลัวว่าจะมีครั้งที่สองหรือสามตามมา

“อะไรครับเนี่ย” รัญภาคย์ถามออกไป

“อ๋อ นี่ใช่ไหมผู้ชายที่แกหนีตามมันไป”

“ใครหนีตามใครคะ พุดไม่เห็นเข้าใจเลย” เธอถามบิดา

“เห็นอยู่ตำตาว่าแกหนีไปอยู่กับมัน”

“ไม่ใช่อย่างที่พ่อคิดนะคะ” พุดพิชชาพยายามอธิบาย

“แล้วแกจะให้ฉันคิดว่าอะไร แกหายออกจากบ้านจากไปตั้งหกเดือน โดยที่ไม่ติดต่อมาเลย พอผกาโทร. ไปตามแกก็ไม่ยอมกลับ ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อที่ผกาบอกหรอกนะ แต่วันนี้ฉันเห็นกับตาฉันไม่คิดเลยว่าลูกสาวของฉันจะหนีไปกับผู้ชายจริงๆ แล้วยังไงท้องไส้กันแล้วสิท่าถึงต้องมาหาซื้อของใช้เด็กแบบนี้”

“พ่อเข้าใจผิดแล้วนะคะ มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ พุดไม่ได้หนีตามใครที่พูดต้องออกจากบ้านก็เพราะพ่อนั่นแหละ พ่อจะยกสมบัติชิ้นสุดท้ายของแม่ให้เมียใหม่” เธอโพล่งออกไปอย่างสุดกลั้น

“ไม่ต้องมาโทษคนอื่น แกนั่นแหละที่ทำตัวแกเอง ทำงามหน้าอย่างนี้จะให้ฉันเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

“พ่อคะ เรื่องนี้พุดอธิบายได้เพราะไม่ได้หนีตามใครไปจริงๆ”

“ยังจะมาเถียงฉันอีกหลักฐานก็เห็นอยู่ตรงหน้า คุณก็เหมือนกันโตเป็นผู้ใหญ่ซะเปล่าแทนที่จะทำให้มันถูกต้องยังมาพาลูกสาวฉันหนีไปอีกค่อยดูนะฉันจะแจ้งตำรวจ”

“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะครับคุณพ่อ”

“ใครเป็นพ่อคุณ”

“ผมอธิบายได้”

“ยังจะจะต้องอธิบายอะไรอีก เรื่องนี้คงต้องถึงตำรวจกันบ้างล่ะ อย่าหวังว่าจะรอดไปได้”

“พ่อคะพุดกับคุณรัญเราไม่ได้เป็นอะไรกันนะคะ เราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานค่ะ”

“จะเพื่อนร่วมงานหรืออะไรก็ช่าง แต่นี่หายไปอยู่ด้วยกันหกเดือนแกคิดว่าใครเค้าจะเชื่อ ไม่เห็นแก่หน้าฉันก็เห็นแกหน้าแกแม่แกที่ตายไปด้วย ฉันให้เวลา 1 ชั่วโมงแล้วไปเจอกันที่บ้าน ก่อนที่ฉันจะแจ้งความ” พูดจบชายสูงวัยก็เดินออกจากร้านขายของไปอย่างรวดเร็วทิ้งให้พุดพิชชายืนร้องไห้เพราะทำอะไรไม่ถูก

“คุณพุดครับผมว่าวันนี้เรากลับกันก่อนดีกว่านะครับ” รัญภาคย์ไม่สนใจคนอื่นที่กำลังยืนมองเลยสักนิด เขาเป็นห่วงก็แต่ความรู้สึกของพุดพิชชาเท่านั้น ชายหนุ่มคว้ามือเล็กๆ กุมไว้แล้วพาหญิงสาวเดินไปที่รถทันที

พอถึงรถเขาเปิดประตูให้เธอเข้าไปนั่งก่อนที่ตัวเองจะเดินอ้อมไปนั่งฝั่งคนขับ หญิงสาวยังคงร้องไห้ไม่หยุดรัญภาคย์เองก็ไม่ได้พูดอะไรเขานั่งเงียบๆ และปล่อยให้เธอร้องไห้อย่างเต็มที่ เพราะรู้ดีว่ายิ่งปลอบจะยิ่งทำให้คนที่กำลังร้องไห้อยู่นั้น ร้องมากยิ่งขึ้น เขาเคยเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้มาก่อนแล้ว ตอนที่น้องสาวของเขาร้องไห้เสียใจ แรกๆ เขาก็พยายามจะปลอบ แต่พอเจอหลายๆ ครั้งเขาก็เรียนรู้แล้วว่าการนั่งอยู่เงียบๆ ต่างหากที่เป็นการปลอบอย่างดีที่สุด มือใหญ่กุมมือเล็กๆ ของเธอไว้ เธอหยุดร้องไปแล้วตอนนี้ความเงียบปกคลุมไปทั่วรถเกือบ 10 นาที เขาจึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ

“เรื่องนี้ผมจะรับผิดชอบเองนะครับ”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ เพราะมันเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด พ่อก็คงแค่ขู่ไปอย่างนั้นเอง” น้ำเสียงของเธอยังไม่ดีเท่าไหร่นัก

“ที่ผมบอกว่าจะรับผิดชอบไม่ใช่เพราะกลัวที่พ่อคุณมาขู่ แต่ผมไม่อยากให้ชื่อเสียงของคุณเสียหายไปมากกว่านี้”

“เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น ฉันเองก็ไม่ใช่คนมีชื่อเสียงอะไรที่ต้องกลัวนี่คะ” เธอไม่อยากให้เขาต้องมารับผิดชอบในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงเลยสักนิด

“แล้วคุณไม่ห่วงชื่อเสียงของแม่คุณเหรอครับ ถ้าใครรู้ว่าลูกสาวคนเดียวของท่านหนีไปอยู่กับผู้ชายแล้วเอาไปนินทา คุณแน่ใจเหรอครับว่าคุณจะยอมให้คนอื่นมาว่าแม่คุณแบบนั้นได้”

หญิงสาวนิ่งไปเมื่อได้ฟัง มารดาเธอเสียชีวิตไปแล้วก็จริงแต่ถ้าต้องให้ใครมานินทาลับหลังว่าท่านเลี้ยงลูกไม่ดีจนเสียคนถึงขั้นหนีไปอยู่กับผู้ชาย เธอก็คงยอมไม่ได้เหมือนกัน

“มันน่าจะมีทางออกอื่นนะคะ” พุดพิชชาพยายามคิดหาทางออกของเรื่องนี้

“อย่างพึ่งคิดมากเลยครับ ผมว่าเราไปคุยกับพ่อคุณที่บ้านก่อนดีไหม บางทีพอไปที่บ้านแล้วท่านอาจจะใจเย็นขึ้นก็ได้นะครับ บอกทางผมมาเลย”

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว