รวมเรื่องสั้น NC20+-แรงแค้น-1-

โดย  kamoon

รวมเรื่องสั้น NC20+

แรงแค้น-1-



“ไปให้พ้นน้ำหน้าอย่างเธอใครจะยอมคบด้วยหัดไปส่องกระจกดูตัวเองซะบ้าง!ไปซะอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก”


“ทะ..ทีพูดอะไรอ่ะเราเป็นแฟนกันไม่ใช่หรอ”


“น้ำหน้าอย่างเธอใครจะเอาเป็นแฟนแค่ยอมควงด้วยก็บุญหัวเธอแล้วอย่ามาคิดฝันสูงกับคนอย่างฉัน”


“ตะ..แต่เราเป็นของทีแล้วนะ”


“หยุดพูดเถอะที่ฉันเอาเธอมันก็กล้ำกลืนฝืนทนมากพอแล้วไหนๆก็ไหนๆแล้วฉันจะบอกอะไรให้ก็แล้วกันที่ฉันยอมเอากับเธอก็เพราะเพื่อนฉันท้าพนันไว้เท่านั้นแหละถ้าไม่ใช่เพราะเงินฉันคงจะไม่ยอมเอาตัวไปเกลือกกลั้วกับผู้หญิงอัปลักษณ์อย่างเธอหรอก”


“มะ..ไม่จริง!ไม่จริงใช่ไหม?ไม่จริ๊งงกรี๊ดดด!”


เฮือก!


อีกแล้ว!กี่ครั้งกี่หนที่ฝันเวียนวนอยู่แบบนี้ทุกวันทั้งๆที่มันผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ฉันพยายามจะลืมทุกอย่างที่มันทำให้ฉันเจ็บพยายามไม่คิดถึงไม่นึกถึง แต่ว่ามันก็ยังเวียนวนมาในความฝันอยู่แบบนี้ตลอด...


ติ้ด ติ้ด ติ้ด~ เสียงโทรศัพท์ดัง


“ฮะ..ฮัลโหล”


‘อีก้อย!คืนนี้ที่เดิมไปนะอ๊ะ...แล้วนั่นมึงเป็นไรทำไมเสียงสั่นๆเป็นอะไรรึเปล่า?’ เสียงอีฝ้ายเพื่อนสนิทอีกคนแทรกผ่านมือถือเข้ามา


“มะ..ไม่มีอะไรกูแค่ฝันร้ายเฉยๆน่ะ” ฉันบอกปัดเพื่อนไปเพราะไม่อยากให้มันไม่สบายใจไปด้วย


‘เห้อ!นี่อย่าบอกนะว่าถึงไอ้เหี้ยนั่นอีกนี่มันปีไหนเข้าไปแล้วก้อยมึงควรลืมมันได้สักทีเลิกไปคิดถึงคนชั่วๆแบบนั้นได้แล้ว’


อีฝ้ายร่ายยาวมาจนฉันอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ใครไม่รัก..แต่เพื่อนรักนี่ฟังกี่ทีก็ยังรู้สึกดีตลอดสินะ!


“กูก็พยายามอยู่มึงก็รู้แต่มันทำยากเหลือเกิน”


‘แปดปีแล้วนะก้อยมึงว่ามันนานไปไหม?แต่ช่างเถอะๆกูรู้ว่ามึงโตแล้วแยกแยะเองได้รู้ใช่ไหมว่าเพื่อนๆรักมึงมีอะไรก็ขอให้บอกแค่นั้น’


“จ้าแม่จ๋า...รู้เรื่องแล้วจ้าเจอกันที่เดิมนะจ๊ะแม่!”


‘อีก้อยอีตอแหล!’ เสียงอีฝ้ายมันด่าแล้วก็วางสายฉันไปโดยที่ได้แต่ขำที่ด่ามันกลับไม่ทัน


ฉันชื่อก้อยมีเพื่อนสนิทสามคนชื่ออีฝ้ายที่โทรมาเมื่อกี้กับอีว่านแล้วก็อีพีทสองคนแรกเป็นหญิงแท้แต่อีพีทเป็นเก้งที่โคตรจะหล่ออ่ะ


เราสนิทกันตั้งแต่สมัยเรียนจนแม้จะจบออกมาทำงานก็ยังไม่แยกจากกันอีฝ้ายกับอีว่านทำงานที่เดียวกันส่วนฉันกับอีพีทแยกกันไปคนละบริษัทแต่ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์เราจะนัดปาร์ตี้กันอยู่เสมอตามประสาคนโสดๆ


คืนนี้ก็อีกเหมือนกันหลังจากที่เมื่อคืนเพิ่งไปลองผับเปิดใหม่กันมาผู้เชี่ยวชาญการท่องราตรีอย่างอีฝ้ายก็อยากไปที่ร้านประจำอีกซึ่งพวกฉันก็ขัดมันไม่ได้อยู่ดี


ก็นะ!ไปก็ไป!


ถึงเวลานัดฉันก็แต่งตัวไปผับเจ้าประจำของพวกเรา


“อีก้อยๆทางนี้” อีพีทที่มาถึงก่อนแล้วโบกไม้โบกมือเรียกมองไปมองมาก็เห็นอีว่านกับอีฝ้ายเดินเข้ามาพอดี


พวกเราก็เข้าไปเปิดโต๊ะดื่มกันไปเม้าท์กันไปเต้นกันไปตามประสาขาแดนซ์ แต่อยู่ๆเว้ยอีกไม่ถึงนาทีจะเที่ยงคืนกลับมีพนักงานเดินเข้ามาพร้อมกับในมือที่ถือเค้กอยู่ ส่วนบนเวทีนักร้องประจำผับก็กำลังร้องเพลงแฮปปี้เบิรดเดย์ให้แต่ว่าทำไมถึงมาหยุดตรงหน้าฉันอ่ะ?


พวกเขาร้องเพลงจบลงไปแล้วในขณะที่ฉันยังงงมาวันนี้วันเกิดใครกัน อีฝ้ายก็มากระซิบให้ฉันอธิษฐานแล้วเป่าเค้กก่อน ส่วนฉันก็ทำตามมันอย่างงงๆ พอเป่าเค้กเสร็จหลายคนที่มาร่วมร้องเพลงให้ก็แยกย้ายกันไป ส่วนฉันก็ขยับไปใกล้ๆแล้วกระซิบถามเพื่อนเบาๆ


“มึงวันนี้วันเกิดกูหรอ?” ไม่ใช่อะไรก็ฉันเกิดวันที่ยี่สิบหกตุลาไงแต่ว่าวันนี้มันวันที่ยี่สิบสี่


“ก็ใช่ดิยี่สิบสี่ตุลาวันเกิดมึงไง!” อีว่านตอบดูท่ามันน่าจะจำวันเกิดฉันผิดสินะ...


“อีว่าน!กูเกิดวันที่ยี่สบหกตุลาอีกตั้งสองวันนู่น” ฉันบอกมันก่อนจะหลุดขำเสียงดังยกใหญ่


โอ๊ยอีว่าน!อุตส่าห์จะทำเซอร์ไพรส์เพื่อนทั้งทีดันจำวันผิดอีก แต่ก็ไม่เป็นถือว่าจัดเรื่องหน้าไปก็แล้วกัน


ก่อนที่มันจะหันไปฟาดงวงฟาดงากับอีพีทอีฝ้ายที่รู้ว่าไม่ใช่วันนี้แล้วยังไม่ท้วงปล่อยให้มันหน้าแตกอีก


“ยังไงก็ขอบคุณมึงมากนะว่านที่เป็นเพื่อนที่ดีมาตลอดแม้จะจำวันเกิดกูผิดก็ตาม พวกมึงด้วยอีฝ้ายอีพีทขอบคุณที่ยอมคบกับเพื่อนที่เคยอัปลักษณ์อย่างกูไม่รังเกียจและคอยช่วยเหลือกูทุกอย่าง”


“คิดมากเรื่องมันผ่านมานานแล้วมึงลืมมันเถอะมีความสุขกับปัจจุบันดีที่สุดกูรักพวกมึงนะ!” อีพีทบอกพร้อมทั้งกอดคอพวกเราทั้งสี่ไว้ด้วยกัน


“กูด้วยกูก็รักพวกมึงมากๆเหมือนกัน” อยู่ดีๆอีฝ้ายก็ร้องไห้โฮๆเสียงดังซะงั้น!


“กูก็รักพวกมึงทุกคน” ฉันกับอีว่านก็พูดขึ้นพร้อมกันก่อนจะกอดคอกันร้องไห้ซะอย่างนั้น


“แดกเหล้าต่อเถอะพวกมึงจะดราม่าทำไมเนี่ย!” อีพีทดันพวกเราออกจากกันก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นมารอชนแก้ว


“เอ้าชนนน” แล้วพวกลำยองจอมดราม่าทั้งหลายก็ชนแก้วแล้วยกดื่มขึ้นรวดเดียวหมดแก้วไปเลย


ทุกวันนี้ที่ทำให้ฉันมีความสุขได้ก็เพราะเพื่อนๆนี่แหละ ถ้าไม่มีพวกมันวันนี้ก็คงไม่มีฉันมานั่งดื่มอยู่แบบนี้หรอก


แปดปีก่อนฉันที่หน้าตาขี้เหร่กลับมาคนมาจีบ เพราะกลัวเพื่อนจะมองไม่ดีเรื่องนี้ฉันจึงเก็บเป็นความลับไว้อย่างมิดชิดจนกระทั่งวันนึงที่ถูกเขาหลอกทั้งเสียตัวทั้งเสียใจ เจ็บปวดมากมายกลับคำพูดดูถูกของเขา วันนั้นมันทำให้ฉันคิดสั้นขึ้นมาชั่ววูบ


ต้องบอกว่าฉันโชคดีที่อีพวกนี้เข้ามาช่วยฉันไว้ได้ทันไม่งั้นคงได้กลายเป็นผีเฝ้าห้องเรียนไปเสียแล้ว


วันนั้นหลังจากทะเลาะกันรุนแรงกับเขาผู้ชายที่เป็นรักแรกเป็นคนแรกแต่เขากลับบอกว่าไม่เคยคิดอะไรกับฉันที่ยอมมาคบด้วยก็เพราะพนันกับเพื่อนไว้ มันทำให้ฉันเจ็บถ้อยคำดูถูกพวกนั้นมันทำให้ฉันทั้งเจ็บทั้งอายจนไม่อยากมีชีวิตอยู่


วันนั้นหลังเลิกเรียนฉันใช้ผ้าผืนยาวผูกเป็นห่วงมัดเข้ากับขื่อห้องเรียนแล้วสวมเข้าไปในคอจากนั้นก็ถีบเก้าอี้ให้ล้มลง


วินาทีนั้นฉันทั้งเจ็บปวดและทรมานอาการทุรนทุรายเพราะหายใจไม่ออก วินาทีที่ใจกำลังจะขาดลมหายใจฉันเริ่มขาดห้วง เสียงร้องไห้และตกใจของอีว่านอีฝ้ายและอีพีทก็ดังเข้ามาในหัว


“กรี๊ดดด!อีก้อยทำไงดีๆฮื่อๆอีเหี้ยก้อยมึงเป็นเหี้ยอะไรทำไมถึงทำอะไรบ้าๆแบบนี้” เสียงพวกมันสามคนร้องตะโกนทั้งด่าทั้งร้องไห้ต่อว่าฉันที่ทำอะไรโง่ๆแบบนี้ และฉันก็ยอมรับว่าทำอะไรโง่ๆแบบนั้นไปจริงๆเพราะอารมณ์ชั่ววูบตัวเดียวเลย


อีพีทใช้บ่ามันให้ฉันยืนเหยียบในขณะที่อีฝ้ายกับอีว่านช่วยกันปีนเก้าอี้เพื่อตัดเชือกที่คอฉันให้หลุดออก แล้วร่างฉันก็หล่นลงมานอนบนพื้นอย่างแรงเมื่ออีพีทรับน้ำหนักฉันไม่ไหว


สรุปจากเรื่องวันนั้นก็คือฉันแท้งลูกที่มีโดยไม่รู้ตัวกับไอ้ผู้ชายเฮงซวยที่เป็นตราบาปให้ฉันจนถึงทุกวันนี้ โชคดีที่อายุครรภ์ยังไม่มากแค่เดือนกว่าๆจึงทำให้ฉันไม่ต้องตกเลือดจนตายไปด้วย


หลังจากวันนั้นพวกมันก็ตามติดชีวิตฉันแทบจะทุกฝีก้าวผลัดกันไปนอนเฝ้าฉันที่หอเพราะกลัวว่าฉันจะคิดสั้น และฉันก็เล่าให้มันฟังทุกอย่างกับเรื่องที่ผ่านมาจะตามไปเอาเรื่องไอ้คนเฮงซวยนั่นแต่ว่ามันกลับย้ายไปเรียนต่อต่างประเทศเสียก่อนทำให้หลังจากนั้นเราไม่เคยเจอกันอีกเลยจนกระทั่งผ่านมาจนถึงตอนนี้ก็เกือบแปดปีแล้ว


หลังจากเรียนจบฉันก็ปรึกษาพวกมันว่าฉันอยากทำศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดูดีขึ้นเพื่อลบถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามในอดีต จนถึงตอนนี้เวลาไปไหนมาไหนฉันไม่เคยอายใครอีกแล้ว เพราะมีดหมอทำให้ฉันทั้งสวยและดูดีชนิดที่เป็นนางแบบได้สบายมีคนมาทาบทามแต่ว่าฉันไม่อยากทำ ที่ฉันเปลี่ยนตัวเองก็เพื่อที่วันนึงถ้าฉันมีโอกาสได้พบกับเขาอีกครั้ง ฉันจะทำให้เขาต้องเจ็บเหมือนที่ฉันเคยเจ็บบ้างสักครั้ง!


เนิ่นนานเป็นชั่วโมงที่เราดื่มกันอย่างนั้นจนกระทั่งอีว่านที่ดัดจริตทำทีขอไปสูดอากาศข้างนอกก่อนจะหายไปกับผู้ชายยาวเลย ส่วนพวกฉันที่เหลือก็เลยเช็คบิลแล้วเตรียมแยกย้ายกันกลับ


โดยมีอีพีทเป็นคนวนรถไปส่งให้เพราะมันไม่ค่อยเมาเท่าไหร่ อีพีทไปส่งอีฝ้ายที่คอนโดมันก่อนแล้วจึงขับวนมาส่งฉันที่คอนโดจากนั้นเลยไปอีกหน่อยก็เป็นคอนโดของมันแล้ว ที่จริงเราจะซื้อคอนโดอยู่ที่เดียวกันแหละ แต่เพราะอีพีทมันไปถูกใจเด็กเจ้าของคอนโดที่มันไปซื้อนั่นแหละมันก็เลยซื้อทำสัญญาที่นั่นไปเลย


ส่วนฉันก็ซื้อมานานแล้วเหมือนกันนะตั้งแต่ที่แม่เสียไปหลายสิบปีก่อน ‘เขา’ ที่ไม่เคยเชื่อว่าฉันเป็นลูกเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาก็ให้เงินก้อนใหญ่มาซื้อคอนโดที่นี่ให้อยู่คงเพราะหน้าตาฉันอัปลักษณ์เกินไปแม้ว่าจะแอบเอาเลือดฉันไปตรวจดีเอ็นเอแล้วก็ตามดูเหมือนเขาก็จะยังรับไม่ได้ที่ฉันไม่ได้สวยเหมือนลูกสาวคนเล็กของเขากระมัง


หลายปีแล้วที่ฉันออกมาใช้ชีวิตตามลำพังโดยไม่คิดกลับไปเหยียบหรือไปเรียกร้องอะไรกับเขาอีก เงินก้อนใหญ่ที่เขาโยนให้ครั้งนั้นมันก็มากพอจะใช้ชีวิตตัวคนเดียวให้อยู่อย่างสบายโดยไม่จำเป็นต้องทำงานก็ได้


แต่ฉันมันเป็นผู้หญิงมีค่าไง ค่าร้อยไหมฉีดโบท็อกซ์ ค่าฉีดผิวขาว ค่าครอสเสริมความงาม ไหนจะค่าเหล้าอีกก็เลยต้องหาทำงานเพื่อเก็บเงินส่วนนั้นไว้ยามจำเป็นดีกว่า


“รีบขึ้นห้องล่ะมึง!” อีพีทบอกหลังจากจอดส่งฉันตรงหน้าคอนโด


“ค่าา...ขอบคุณมากนะคะที่มาส่งขับรถดีๆล่ะมึงอ่ะ” ฉันบอกมันพร้อมกลับยืนโบกมือบ๊ายบายให้จนมันขับรถออกไปฉันถึงได้เดินเข้าไป


เดินผ่านล็อบบี้จะไปขึ้นลิฟท์ห้องฉันอยู่ชั้นสิบแปดระหว่างยืนรอลิฟท์มาก็มีผู้ชายคนนึงมายืนข้างๆรอลิฟท์เหมือนกัน ตอนแรกฉันก็ไม่ได้สนใจอะไร จนกระทั่งลิฟท์ลงมาถึงฉันก็เดินก้าวเข้าไปในลิฟท์พร้อมกับเขาแล้วกดลิฟท์ขึ้นไปที่ชั้นเดียวกันอีก


ในลิฟท์มีแค่ฉันกับเขาสองคนขึ้นมาด้วยกัน ตอนแรกฉันก็ยังไม่ได้สังเกตหรอกว่าเขาเป็นใครจนกระทั่งได้ยินเสียงเขาเอ่ยทักขึ้นและฉันก็เงยหน้าขึ้นมองเขาเท่านั้นแหละ...


“เอ่อขอโทษครับ...คุณอยู่ชั้นสิบแปดเหมือนกันหรอครับพอดีผมเพิ่งย้ายมาใหม่พอดียินดีที่ได้รู้จักนะครับ”


วินาทีแรกที่ฉันได้เห็นหน้าเขาฉันก็นึกว่าตัวเองตาฝาดนะ ผู้ชายที่กำลังชวนฉันคุยอยู่ตอนนี้กับเขาคนที่เคยขับไสไล่ส่งฉันเมื่อในอดีตเป็นคนคนเดียวกัน แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาคงจะจำฉันไม่ได้แล้ว


แน่ล่ะสิก็ฉันตอนนี้ไม่ได้อัปลักษณ์เหมือนสมัยนั้นแล้วนี่นะ สีหน้าราวกับอยากรู้จักทำให้รับตอบรับไปเรียบๆ


“ค่ะ” จริงๆฉันก็ไม่ได้อยากจะทำหยิ่งหรอกนะ แต่แบบว่าฉันกำลังตั้งตัวไม่ทันไงอยู่ๆเขาก็โผล่มาในเวลาที่มันกระทันหันแล้วแบบนี้


“ผมชื่อทีไทนะครับชื่อเล่นว่าทีอยู่ห้อง104ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” เขาบอกเสียงทุ้มนุ่มพลางส่งยิ้มมาให้จนลักยิ้มบุ๋มขึ้น


‘เดี๋ยวได้ฝากแน่!ไม่ต้องกลัวหรอก!’ ฉันเคยเจ็บมายังไงฉันจะให้นายเจ็บกว่าเป็นสองเท่า!


“ค่ะ..บังเอิญจังเลยนะคะฉันก็อยู่103ห้องตรงข้ามกับคุณเลยฉันชื่อก้อยค่ะ”


ฉันบอกพลางแสร้งส่งยิ้มหวานไปให้บางๆ แอบสังเกตุว่าเขาชะงักไปครู่นึงที่รู้ว่าฉันชื่ออะไร ถ้าไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองเกินไปคาดว่าชื่อนี้คงไปสะกิดใจเขาเข้ากระมัง


“อ้าวหรอครับบังเอิญจังเลยนะครับเนี่ย” เขาส่งยิ้มมาให้อีกครั้ง


“อ๊ะ!เกิดอะไรขึ้นอ่ะ” ฉันอุทานเสียงสูง


จู่ๆลิฟท์ที่ขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงชั้นที่สิบแล้วแต่อยู่ดีๆไฟในลิฟท์เกิดดับทำให้ลิฟท์ค้างขึ้นมาเสียอย่างนั้น ร้อยวันพันปีอยู่ที่นี่มาก็หลายปีไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลยสักครั้ง นี่คงเป็นคราวซวยของฉันจริงๆที่ต้องมาติดอยู่ลิฟท์กับผู้ชายอย่างเขาแบบนี้


“สงสัยไฟจะดับลิฟท์มันก็เลยค้างคุณก้อยใจเย็นๆก่อนนะครับ” เขาพยายามปลอบเสียงอ่อนโยนแต่ฉันคงไม่หลงกลซ้ำสองหรอกย่ะ


“คะ..คือฉะ..ฉันหายใจไม่อะ..ออก” อาการหายใจติดๆขัดๆเมื่ออยู่ในที่แคบๆและไม่มีอากาศเช่นนี้เริ่มมาเยือน ผลจากการคิดสั้นเมื่อคราวนั้นของฉันมันมีผลกระทบถึงการใช้ชีวิตในประจำวันของฉันแบบนี้ด้วยเหมือนกัน แต่โดยส่วนมากฉันไม่ค่อยเจอเหตุการณ์แบบนี้ไง


อาการหายใจไม่ออกมันทำให้ฉันทรมานเหมือนมนตอนนั้นขึ้นมาจน)ันต้องค่อยๆเลื่อนตัวลงนั่งพิงผนังลิฟท์ช้าๆ


“คุณก้อยทำใจดีๆไว้นะครับค่อยๆหายใจลึกๆหายใจเข้า...หายใจออกช้าๆครับ ดีครับอย่างนั้นแหละครับ” เขาบอกส่วนฉันก็พยายามทำตามแต่มันก็ยังรู้สึกแน่นหน้าอกอยู่ดี ส่วนเขาก็พยายามตะโกนร้องขอความช่วยเหลืออยู่


“ฮะ..หายใจไม่ค่อยออกเลยคุณจะมีใครมาช่วยเราไหม?” ฉันยังไม่อยากตายทั้งๆที่คนที่รอให้แก้แค้นเพิ่งมาปรากฎกายตรงหน้านี้นะ!


“เอ่อ...เคยมีคนบอกว่าถ้าติดอยู่ในลิฟท์ให้พยายามปลดเสื้อผ้าระบายความร้อนออกบ้างนะครับคุณก้อย” เขาเอ่ยตะกุกตะกักเบาๆ แววตาเป็นประกายแปลกๆ


“ระ..หรอคะ?แต่ว่านะ..ในนี้มีกล้องไหมคะ”


“ตอนนี้ไฟดับหน้าจะไม่ทำงานแล้วล่ะครับคุณก้อยปลดกระดุมออกเฉยๆก็ได้”


“อะ...โอเคค่ะ” ฉันค่อยๆปลดกระดุมเสื้อของตัวเองออกช้าๆทีละเม็ดๆจนมันสุดรังดุมโชว์เนินอกที่ถูกห่อหุ้มด้วยชั้นในสีชมพูหวานวับๆแวมๆ


“...” เขาเงียบในขณะที่สายตาจับจ้องเนินอกของฉันนิ่ง


“เอ่อมะ..มันยังรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ค่อยออกอยู่เลยค่ะทำไงดี?” ฉันทั้งเขินทั้งอายกับแววตาเป็นประกายของเขาที่จับจ้องมาแต่ว่าก็ไม่รู้จะทำยังไงดีเหมือนกัน


“ลองถอดอีกชิ้นดูไหมเผื่อช่วยให้หายอึดอัดมากขึ้น” เขาบอกพลางมองมาที่เสื้อเชิ้ตของฉัน


“เอ่อ..เอางั้นหรอฉะ..ฉันอายนะคะ” แม้ว่าเราจะเคยเห็นของกันมาแล้ว แต่ว่านั่นมันก็หลายปีแล้วนะ


“ไม่ต้องอายหรอกครับ...ผมแค่อยากให้คุณรู้สึกสบายตัวไม่อยากให้รู้สึกอึดอัด” คำพูดเขาเหมือนหวังดีนะ แต่ทำไมแววตาเขาดูล้ำลึกราวกับเสือหิวยังไงก็ไม่รู้


แต่ในลิฟท์มันก็สลัวๆพอมองเห็นรางๆฉันก็ถอดเสื้อเชิ้ตออกนะจนเหลือแค่บราเซียตัวจิ๋วห่อหุ้มสองเต้าอวบใหญ่ของฉันเอาไว้ แว่วเสียงกลืนน้ำลายลงคอเอื้อกใหญ่ดังขึ้นตามมา


.

.













รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว