บทส่งท้าย
สายลมยามบ่ายพัดผ่านลู่ฟางเหนียงมองบุตรชายที่นอนหลับพริ้มอยู่ในเปลเล็ก มือบางดึงสายเชือกผูกเปลเบาๆ ร้องเพลงกล่อมจนดวงตาน้อยค่อยๆ ปิดลง
“เหนียงเอ๋อร์ อาหลงหลับหรือยัง”
คุณชายสามที่โผล่เพียงศีรษะอยู่หน้าประตูเรือนนอนเอ่ยเรียกนางเสียงเบาลู่ฟางเหนียงยกยิ้มบางส่งให้เขาพร้อมกับพยักหน้ารับคำ ไม่นานร่างบุตรสามคนก็ก้าวเข้ามาในห้องโดยพร้อมกัน
หลิวเฉินเลี่ยงเดินเข้าไปโอบเอวบางวางหน้ากดจมูกลงบนไหล่เล็ก ลู่ฟางเหนียงมองการกระทำของเขาแล้วยิ้มกว้างคุณชายสามหลิวที่ผู้คนภายนอกมองว่าเขาดุดันถนัดใช้คมกระบี่มากกว่าเอ่ยเจรจา แต่ยามอยู่กับนางกลับเป็นเพียงเด็กน้อยขี้อ้อนผู้หนึ่ง
ขณะที่หลิวเฉินผิงเดินมานั่งลงอีกข้างรับเชือกไกวเปลมาจากมือนางแล้วออกแรงดึงแทนโดยที่สายตาไม่แม้แต่จะมองบนเปลเล็ก คุณชายรองหลิวที่ผู้คนมองภายนอกมองว่าวาจาเขาคือยาพิษเคลือบน้ำตาล ทว่ายามอยู่กลับนางกลับอ่อนโยนดุจสายในฤดูใบไม้ผลิ
“คุณชายรองท่านไกวเบาๆ หน่อยเจ้าค่ะ”
หลิวเฉินผิงถอนหายใจยาว เช่นเดียวกับที่หลิวเฉินคังปรายตามองเจ้าก้อนแป้งในเปลเล็กด้วยความขุ่นเคือง หกเดือนแล้วที่บุตรชายคนนี้มาแย่งความรักความสนใจของลู่ฟางเหนียงไปจากพวกเขา
รออาหลงโตอีกหน่อยข้าจะให้อาจารย์ลี่มาสอนเขาฝึกคัดอักษร
กว่าอาหลงจะจับพู่กันคัดอักษรได้คงต้องรออีกหลายปี แต่ฝึกวรยุทธต้องฝึกตั้งแต่เยาว์วัยน้องสามเจ้าหาอาจารย์สักคนมาสอนวรยุทธเขาก็แล้วกัน
ข้าจะไปบอกอาจารย์โม่เอาไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลย
ทั้งหมดนี่ล้วนเป็นแผนการที่พวกเขาวางเอาไว้ แม้ในใจไม่เกลียดชังแต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่าพวกเขาล้วนคิดวางแผนหาทางดึงความสนใจของลู่ฟางเหนียงมาจากเจ้าก้อนแป้งนี่อยู่ทุกวัน
“เหนียงเหนียง น้องสาวเจ้าตอนนี้ปักปิ่นแล้วเจ้าคิดเรื่องคู่ครองของนางหรือยัง”
“เรื่องนี้คุณชายรองไม่ต้องกังวลไปเจ้าค่ะ หรงเอ๋อร์มีคนที่นางเลือกแล้ว”
“ใคร!”
น้ำเสียงราบเรียบทรงอำนาจของหลิวเฉินคังดังขึ้นจนลู่ฟางเหนียงขมวดคิ้วเล็กสงสัยไม่ใช่เพราะขุ่นเคือง นางอยู่กับคุณชายทั้งสามมาร่วมสองปีแล้วนิสัยของคุณชายใหญ๋หลิวผู้นี้แม้ภายนอกดุดันเผด็จการมากแผนการทว่านางรู้ดีว่าเขาคือผู้ที่มีใจห่วงใย และคิดถึงทุกคนก่อนเสมอ
หลิวเฉินเลี่ยงเห็นลู่ฟางเหนียงถูกพี่ชายเอ่ยถามเสียงเข้มก็กลัวว่านางจะเข้าใจพี่ชายของตนผิดก็เร่งออกโรงเอ่ยปากแก้ตัวแทน
“ฟางเหนียงเจ้าอย่าเข้าใจพวกเราผิด พวกเราเพียงห่วงใยน้องสาวของเจ้าเท่านั้น”
“ใช่แล้ว นางเป็นคนสำคัญของเจ้ากับท่านพ่อย่อมนับเป็นคนสำคัญของสกุลหลิว เหนียงเหนียงเจ้าต้องเข้าใจว่าในต้าเจิ้งนี้แม้แต่เชื้อพระวงศ์ก็ล้วนหมายตาเกี่ยวดองกับคนในสกุลหลิวของเรา”
ลู่ฟางเหนียงไหนเลยจะไม่เข้าใจพวกเขา ริมฝีปากบางยกยิ้มกว้างวางมือบนมือหนาของบุรุษทั้งสองข้างกาย พร้อมกับเงยหน้าเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยนไร้ซึ่งความขุ่นเคืองกับบุรุษอีกคน
“เช่นนั้นหากเป็นอาจารย์หวังพวกท่านเห็นว่าเป็นอย่างไรเจ้าคะ”
“อาจารย์หวัง! เจ้าหมายถึงหวังซินหยางน่ะหรือ!”
เสียงของคุณชายสามดังก้องด้วยความตื่นตกใจจนเจ้าก้อนแป้งในเปลตกใจตื่น แผดเสียงร้องจ้า ลู่ฟางเหนียงส่งสายตาดุเขาไปหนึ่งคำรบก่อนจะเดินไปจัดการปลอบเจ้าตัวเล็กจนหลับไปอีกครา
“หากเป็นหวังซินหยาง เจ้าก็บอกให้น้องสาวเตรียมผ้าเช็ดหน้าให้มากหน่อย”
คำบอกของหลิวเฉินคังทำให้ลู่ฟางเหนียงขมวดคิ้วเล็ก ส่งสายตามองดูพวกเขาสามคนด้วยความสงสัย ในใจพลันนึกกังวลห่วงน้องสาวขึ้นมาเช่นกัน
หรือว่าอาจารย์หวังผู้นี้จะมีสตรีที่รักใคร่อยู่แล้ว
“ทำไมหรือเจ้าคะ หรือว่าอาจารย์หวังผู้นี้มีคนรักอยู่แล้ว”
คุณหลิวทั้งสามคนเห็นลู่ฟางเหนียงห่วงใยผู้เป็นน้องจนคิ้วขมวดก็ถอนหายใจยาว ก่อนที่หลิวเฉินเลี่ยงจะทนไม่ไหวเป็นคนเอ่ยปากก่อนเพียงแต่เอ่ยไม่จบประโยคเขาก็ได้แต่กลืนคำพูดที่เหลือลงท้อง
“ฟางเหนียง ไม่ใช่ว่าหวังซินหยางผู้นี้มีคนรักอยู่แล้ว แต่ว่าเขา...”
“เขาทำไมหรือเจ้าคะ”
หลิวเฉินเลี่ยงส่งสายตาไปให้พี่ชายรอง หลิวเฉินผิงสูดลมหายใจเข้าก่อนจะเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงนัก
“เหนียงเหนียงแม้หวังซินหยางจะรูปงาม ฐานะดี เหมาะสมแก่การเลือกเป็นสามี แต่เขามีข่าวลือว่ามิปรารถนามีภรรยา”
“มิปรารถนามีภรรยา หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”
“หวังซินหยางเป็นบุรุษนิยมตัดแขนเสื้อ”
เมื่อเห็นว่าน้องชายทั้งสองต่างเจรจาอ้อมค้อมไปมาจนดูยุ่งยาก หลิวเฉินคังจึงตัดสินใจเอ่ยตรงๆ เพียงแต่ลู่ฟางเหนียงที่ได้ยินคำของคุณชายทั้งสามอารมณ์หวาดหวั่นก่อนหน้าก็พลันจางหาย ก่อนจะยกยิ้มกว้างเอ่ยน้ำเสียงยินดี
“เรื่องนี้พวกท่านไม่ต้องกังวล หรงเอ๋อร์พิสูจน์แล้วอาจารย์หวังผู้นี้นับว่าเป็นบุรุษที่แข็งแรงเหมาะแก่การเป็นสามี”
แข็งแรงเหมาะแก่การเป็นสามี ลู่ฟางเหนียงนางกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือว่าลู่ฟางหรงนาง...
ลู่ฟางเหนียงเห็นสายตาตื่นตระหนกของพวกเขาแล้วชวนให้ขบขัน วางมือบนมือของหลิวเฉินผิงดึงรั้งเชือกไกวเปลของบุตรชายเบาๆ
“นางเป็นน้องข้า ข้าย่อมต้องสอนสั่งเป็นอย่างดี คุณชาย... พวกท่านไม่ต้องกังวล แม้คุณชายหวังจะแข็งแรงมากกว่าพวกท่านแต่นางย่อมรับมือไหว”
แข็งแรงมากกว่าพวกท่าน คำพูดของลู่ฟางเหนียงทำให้ใบหน้าของสามคุณชายหลิวคล้ายถูกเมฆฝนครอบงำ หลิวเฉินคังขบกรามแน่นเอ่ยเสียงลอดไรฟัน
“ลู่ฟางเหนียง เจ้าเอ่ยเช่นนี้วันพรุ่งนี้ไม่อยากลงจากเตียงแล้วใช่หรือไม่”
ลู่ฟางเหนียงที่พึ่งตระหนักได้ว่าตนเอ่ยสิ่งใดไปก็ยกยิ้มแห้งทว่าไม่ทันได้เอ่ยแก้ตัว คุณชายใหญ่หลิวก็เอ่ยเรียกสาวใช้มาอุ้มบุตรชายของนางไปยังเรือนฮูหยินหลิวพร้อมกับสั่งปิดประตูเรือน
ยาวนานถึงสามวันลู่ฟางเหนียงจึงก้าวเท้าออกมาจากเรือน ก่อนเอ่ยสั่งความกับบรรดาคนสนิทของคุณชายทั้งสาม
“ตามท่านหมอซ่งมาดูคุณชายทั้งสามที อ่อ...ให้ท่านหมอซ่งเพิ่มยาบำรุงให้พวกเขาด้วย”
ห้าวอี้ ไห่เหยา และชิงมู่หันมองตากันแล้วลำคอพลันแห้งผาก ใบหน้าซีดเซียว อ่า... ฮูหยินน้อยลู่ช่างเป็นยอดภรรยา สมคำร่ำลือ
------ จบ -----
เย้!! จบแล้วววว
ขอบคุณทุกแรงสนับสนุนจากรีดนะคะ ทั้งคอมเมนต์ ทั้งหัวใจ ทั้งยอดกดเข้าชั้น
แม้ไรต์จะไม่ได้ตอบคอมเมนต์ทุกคน แต่ไรต์อ่านทุกคอมเมนต์เลยนร้า
ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว