หอจุ้ยเซิง หอนางโลมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง
ยามเย็นผู้คนเริ่มจุดโคมไฟส่องแสงสว่างพราว ที่หน้าประตูหอจุ้ยเซิง เหล่าหญิงคณิกาที่ผัดหน้าแต่งอาภรณ์กันสวยงามตัวหอมฟุ้งกำลังยืนจดจ้องไปยังเหล่าคุณชายผู้มีอันจะกินที่เดินผ่านไปมาด้วยท่าทางกระมิดกระเมี้ยน พร้อมเข้าไปชวนเชิญให้เข้าไปสำเริงสำราญด้านในหอในค่ำคืนนี้
ด้านในหอจุ้ยเซิง ในห้องด้านบนที่ตกแต่งอย่างประณีตงดงาม เสียงหอบหายใจถี่กระชั้นและเสียงครางหวานหยดย้อยค่อยๆ ดังลอดผ่านม่านโปร่งที่บางราวปีกจักจั่น ด้านนอกประตูมีหญิงสาวนางหนึ่งยืนยิ้มอย่างใสซื่อคอยเฝ้าอยู่
“หึ เริ่มก่อนเลยหรือ กระหายเพียงนี้เชียว...” ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่กำลังมัวเมาอยู่ในความใคร่แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ ทันใดนั้น สายตาราบเรียบพลันมีแววหื่นกระหาย สีหน้าที่เดิมเรียบเฉยก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
“ท่านอ๋อง เป็นเพราะท่านที่ช่วงนี้ไม่คิดถึงข้าน้อยบ้างเลย ข้าจะทานทนความเปลี่ยวเหงาอยู่ในห้องเพียงลำพังได้อย่างไรกันเจ้าคะ”
“ท่านอ๋อง ข้าน้อยรักท่านเพคะ...” หญิงสาวกระซิบเสียงเบาไร้ซึ่งความเอียงอายพลางมองบุรุษที่ทาบทับอยู่เหนือร่างตนด้วยสายตาหลงใหล
“ท่านอ๋องเพคะ” ระหว่างที่โอบกอดเรือนร่างของชายหนุ่มอยู่นั้น ฉู่อวี้ดูคล้ายจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางเอ่ยถามเสียงเบาอย่างเป็นกังวลว่า “หากคู่หมั้นปัญญาอ่อนของท่านกลับไปแล้ว คงไม่พูดอะไรเลอะเทอะกระมัง แล้วพรุ่งนี้ท่านจะแต่งงานกับนางจริงๆ หรือเพคะ”
ชายหนุ่มเหลือบสายตาเกียจคร้านไปทางประตูทีหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างหยอกล้อว่า “ก็แค่เด็กปัญญาอ่อนคนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้ฐานะสูงส่งแล้วอย่างไร ตอนนี้ก็ยังยืนดูต้นทางอยู่หน้าห้องให้แต่โดยดีอยู่เลย หรืออวี้เอ๋อร์กลัวว่านางจะเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาแล้วทำให้เจ้าเขินอายหรือ”
“น่าเกลียด ท่านอ๋องก็ ท่านช่างร้ายนัก... ชอบล้อข้าน้อยเล่นอยู่เรื่อยเลยนะเพคะ”
สองคนในห้องกำลังสนทนากันอย่างสนุกขบขัน ส่วนเสิ่นอวิ๋นโยวที่ทำหน้าที่คอยเฝ้าอยู่หน้าประตู บนใบหน้าน้อยๆ ยังคงรักษารอยยิ้มเบิกบานใจเอาไว้ตลอดเวลา สองมือขยับดึงแขนเสื้อของตนด้วยความตื่นเต้นไม่หยุด นึกถึงเหตุการณ์เมื่อสองสามชั่วยามก่อน ตอนที่ไปหารุ่ยอ๋องแล้วเขาก็พาตนมาที่นี่ด้วย
พรุ่งนี้จะเป็นวันมงคลของนางกับรุ่ยอ๋องแล้ว รุ่ยอ๋องที่ไม่เคยยอมพบหน้านางมาตลอด จู่ๆ วันนี้ก็ยอมให้พบหน้าและพามาที่นี่ด้วย ทั้งยังส่งยิ้มและบอกให้นางเฝ้าอยู่ที่นี่รอเขาออกมา เช่นนั้นก็หมายความว่าท่านอ๋องก็ยินดีที่จะแต่งงานกับตนอยู่เหมือนกันกระมัง!
เสิ่นอวิ๋นโยวทำสีหน้าครุ่นคิด รอยยิ้มใสซื่อที่มุมปากค่อยๆ ฉีกกว้างขึ้น ระหว่างที่ยืนอยู่หน้าประตูอย่างว่าง่ายนั้น เสิ่นอวิ๋นโยวไม่ได้สนใจผู้คนที่เดินผ่านไปมาเป็นครั้งคราวนั้น ว่าพวกเขาจะชี้ไม้ชี้มือมาที่ตนและกระซิบกระซาบคำพูดที่ไม่น่าฟังเกี่ยวกับตนว่าอย่างไรบ้าง หญิงสาวคิดเพียงว่าตนจะต้องเฝ้าประตูห้องเอาไว้ให้ดี อย่าให้ใครเข้าไปขัดจังหวะจนทำให้ท่านอ๋องเสียเรื่องได้เป็นอันขาด...
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว