จากคนที่เห็นของกินอร่อยเป็นอันลืมโลก ตอนนี้กลับได้แต่นั่งก้มหน้าก้มตาคนข้าวต้มในชามวนไปวนมา เป็นไปได้ไหมที่เธอจะขอให้มีนางฟ้าเหมือนอย่างในนิทานมาปรากฏตรงหน้า เธอจะได้ขอพรให้ตัวเองหายไปจากตรงนี้เสีย คิดแล้วก็ได้แต่แค้นใจอีหมียักษ์จอมหื่น จะบอกเธอสักหน่อยไม่ได้รึไงว่าพ่อกับแม่ของเขาจะมา เจอหน้ากันจังๆ ไม่ให้ตั้งตัวแบบนี้ใครจะไปทำตัวถูก
“ไม่หิวหรอจ๊ะหนู” วิภาวรรณถามคนที่เอาแต่นั่งก้มหน้าคนข้าวต้มในชาม
“เอ่อ..ยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ค่ะ” ลินน์ส่งยิ้มแห้งกลับไปให้ผู้สูงวัย
ทำไมเธอถึงได้รู้สึกว่าวันนี้อีหมียักษ์ช่างเจริญอาหารเสียจริง ไม่สิ! อย่าเรียกว่าเจริญอาหารเลยดีกว่า เรียกว่าดื่มด่ำกับข้าวต้มเลิศรสแบบมีความสุขสุดๆ เลยจะถูกกว่า เพราะใบหน้าคมแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา ถ้าเธอจะฆ่าหมียักษ์จะผิดฐานฆ่าสัตว์ป่าสงวนไหมนะ ลินน์ย่นจมูกใส่คนที่เธออยากจะฆ่าที่หันหน้ามาพอดี
“ทำไมวันนี้พ่อกับแม่ถึงมาออกกำลังกายไกลจังเลยครับ” ภัทรถาม
“หัดอ่านไลน์พ่อแม่บ้างสิ ไม่ใช่สนใจแต่อย่างอื่น” พลสวนกลับลูกชาย ภัทรได้แต่หัวเราะเบาๆ แต่คนนอกอย่างเธอได้แต่ก้มหน้างุด
“งานยุ่งขนาดต้องจ้างพี่เลี้ยงเลยรึ” ลินน์ถึงกับสะอึกกับคำพูดของพ่อของเขา
“มีโปรเจคใหม่เข้ามาน่ะครับ” ภัทรบอกเสียงเรียบ
แต่คนที่นั่งฟังกลับไม่ได้จิตใจสงบเรียบตาม ใครก็ได้ช่วยเธอที เธอไม่อยากอยู่ตรงนี้ ลินน์ได้แต่ภาวนาในใจ
“ให้คนที่ไว้ใจดูแลมิรินผมก็จะได้ไม่ต้องห่วง”
“แล้วเขาไม่มีงานต้องทำหรอแกถึงได้ให้เขามาเป็นพี่เลี้ยง” พลยังคงไล่ลูกชายไม่หยุด
“ซ้อมไว้ไม่เสียหาย”
ครืดดด...ครืดดด...
ลินน์แทบจะกระโดดไปอยู่หน้ามือถือด้วยความดีใจ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่โทรมา ไม่ว่าเขาคนนั้นจะให้เธอทำอะไรเธอก็ยอม เธอสัญญา
“ขอตัวสักครู่นะคะ” ลินน์รีบลุกไปอย่างรวดเร็ว
เบอร์ที่ไม่คุ้นทำให้หญิงสาวลังเลที่จะรับสาย แต่ไหนๆ คนที่โทรมาก็เป็นฝ่ายช่วยชีวิตเธอไว้แล้ว เธอก็จะคุยกับเขาเป็นการตอบแทนละกัน
“สวัสดีค่ะ” ลินน์เอ่ยทักทายปลายสาย
“สวัสดีค่ะ ดิฉันศิริรตา รุ่งเรืองรอง จาก...”
จบการแนะนำตัวชื่อบริษัทประกันอันดับต้นๆ ของประเทศก็ตามมาทันที ลินน์ได้แต่ยิ้มให้กับคนปลายสายที่ไม่มีโอกาสได้เห็นหน้า แม้ที่ผ่านมาเธอจะไม่ชอบคุยกับคนที่โทรมาขายประกันทางโทรศัพท์สักเท่าไหร่ พอรู้เป็นอันต้องขอตัวไม่สนทนาต่อ แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป ต่อให้เธอต้องคุยจนหูร้อน แบตหมดเธอก็ยอม
พลมองลูกชายที่แม้ปากจะคุยกับเขาแต่สายตากลับไม่ละไปจากร่างบางของใครบางคน แม้จะมีลูกสาวแล้วหนึ่งคนแต่เขาก็ไม่เคยเห็นว่าลูกชายจะรักใคร่มีใจให้กับใครแม้แต่แม่ของมิรินก็ตาม
“ระวังเถอะพ่อแม่เขาจะแจ้งตำรวจมาจับแกข้อหาล่อลวง”
“เอ๊ะ! คุณนี่ พูดอย่างนี้ได้ไง” วิภาวรรณฟาดฝ่ามืออวบลงไปบนท่อนแขนของสามี
“ลูกแน่ใจแล้วหรอถึงได้พาเธอมาค้างบ้านช่องอย่างนี้” ผู้เป็นแม่อดถามไม่ได้
เธอยอมรับว่าค่อนข้างตกใจที่อยู่ๆ ก็มีผู้หญิงโผล่มาอยู่บ้านลูกชายของเขาทั้งที่ไม่เคยมีมาก่อน
“คนนี้หลานสาวคุณแม่เลือกมาเองกับมือเลยนะครับ” สายตาที่พราวใสในขณะพูดราวกับหนุ่มน้อยริรักจนเธออดหมั่นไส้
“ถ้าหลานแม่เลือกมา แต่ถ้าพ่อไม่เอาด้วยจะมีรึที่เธอจะมายืนอยู่ในบ้านนี้ได้”
“แล้วแม่ว่าไงล่ะครับ”
“อย่าสักแต่มาถามแม่ไปงั้นๆ เลย” วิภาวรรณส่งค้อนให้ลูกชาย
“ที่พ่อกับแม่มาวันนี้น่ะ ก็เพราะว่าแม่ยายลูกโทรมา บอกว่าอยากเจอหลาน” ผู้เป็นแม่เข้าเรื่อง
“เขาพึ่งรู้หรอครับว่ามีหลาน” ภัทรน้ำเสียงเข้มขึ้นมาทันทีที่เอ่ยถึงอีกคน
“นั่นน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ที่แม่ว่าแปลกก็คือ เขาบอกว่าอยากช่วยเราเลี้ยงหลาน เพราะตอนนี้ลูกสาวคนเล็กก็กลับมาอยู่บ้านกับเขาแล้ว”
“เรื่องนี้เราตกลงกันแล้วนะครับ ไม่ควรจะหยิบมาพูดถึงอีก” สายตาที่กร้าวขึ้นของลูกชายทำให้วิภาวรรณรีบห้าม
“ใจเย็นก่อนสิลูก”
“ผมไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับคนบ้านนี้อีก”
“ใช่ว่าแม่จะอยากยุ่งเรื่องนี้หรอกนะ คุณวิไลเธอบอกว่าเธอเจอมิรินอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง”
“เมื่อไหร่ครับ” ชายหนุ่มหันไปถามผู้เป็นแม่อย่างรวดเร็ว
“เมื่อวาน”
ภัทรมองร่างบางที่ยิ้มกว้างขณะที่คุยโทรศัพท์ ใครกันที่ทำให้เธอยิ้มได้ขนาดนี้
“ยังไงลูกก็ตัดสินใจเองละกันนะ” เธอรู้ดีว่าเรื่องการตัดสินใจเกี่ยวกับตัวเองและลูกสาว ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายได้ แม้แต่เธอกับสามีผู้ซึ่งเป็นพ่อแม่ของเขา
“ว่าแต่ลูกไม่คิดจะแนะนำเธอให้พ่อแม่รู้จักอย่างเป็นทางการหน่อยหรอ” วิภาวรรณถามลูกชาย
พอได้เห็นหน้าเธอกับสามีหญิงสาวก็ได้แต่อ้าปากค้าง นอกจากการยกมือไหว้ทักทายผู้สูงวัยกว่าแล้วก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นเพิ่มเติม เพราะลูกชายตัวดีของเขาเอาแต่นั่งมองเธอแล้วก็กินข้าวต้มเคล้ารอยยิ้มไปด้วย
“คุณพ่อกับคุณแม่เห็นว่ายังไงครับ” ภัทรหันไปหาผู้เป็นพ่อที่นั่งต่อจิ๊กซอว์กับหลานสาวตัวน้อยอยู่ใกล้ๆ
“แกเลือกแล้วยังจะมาทำฟอร์มถามอีกทำไม” ชายหนุ่มได้แต่หัวเราะเบาๆ กับคำตอบของผู้เป็นพ่อ
“มิรินคะ ช่วยอะไรพ่อหน่อยได้มั๊ยคะ” มือหนาลูบลงบนศีรษะเล็กของลูกสาวตัวน้อย
“ช่วยอะไรหรอคะคุณพ่อ”
“แดดร้อนแล้ว ชวนคุณน้าลินน์เข้าบ้านดีกว่าค่ะ”
“ค่ะคุณพ่อ” เด็กน้อยเดินออกไปหาคนที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ข้างนอกทันทีตามคำบอกของผู้เป็นพ่อ
“ไม่น่าเชื่อว่าแกจะไร้น้ำยาขนาดให้ลูกสาวช่วย” คนที่ถูกพ่อแซวได้แต่ยิ้ม
“กลับกันเถอะคุณ อย่าอยู่เป็นก้างขวางเขาเลย” พลชวนภรรยา
“เดี๋ยวสิคุณ อยู่คุยกันก่อนสิ” วิภาวรรณต่อรอง
“คุณไม่ต้องไปยุ่งกับเขาหรอก โตๆ กันแล้ว ปล่อยให้เขาคุยกันเอง ถูกผิดยังไงจะได้เป็นคนรับผิดชอบเอง”
พลไม่ยอมตามภรรยาแต่คว้าข้อมือของวิภาวรรณแล้วดึงให้เดินตามทันที เรียกรอยยิ้มจากคนเป็นลูกที่มองการกระทำของพ่อกับแม่อย่างมีความสุข
“คุณปู่จะไปไหนหรอคะ”
มือป้อมของแม่หนูน้อยที่ลากแขนเธอให้เดินตามเข้ามาในบ้าน เจอเข้ากับบุคคลทั้งสองที่เธอกำลังพยายามเลี่ยงการเจอหน้าพอดี
“ปู่กับย่าจะกลับแล้วลูก” คนเป็นปู่ก้มลงลูบแก้มป่องของหลานสาวตัวน้อยด้วยความรัก
“เข้าบ้านไปหาคุณพ่อเถอะลูก”
“ค่ะคุณปู่ บ๊ายบายค่ะคุณปู่” มือน้อยโบกให้กับพล
“แล้วย่าละลูก” วิภาวรรณแกล้งทำหน้างอน
“บ๊ายบายค่ะคุณย่า” มือน้อยหันกลับมาโบกให้กับคนเป็นย่าบ้าง
“สวัสดีค่ะคุณลุงคุณป้า” ลินน์ยกมือไหว้ลาผู้สูงวัยทั้งคู่
“จ๊ะหนู” วิภาวรรณพูดกับเธอส่วนพลนั้นเพียงแค่ยิ้มให้
“ดูสิคุณ ยังไม่ได้คุยกันเลย คิดว่าจะมาหาหลาน แต่ที่ไหนได้กลับเจอลูกเซอร์ไพรส์กลับซะอย่างนั้น”
“คุณไม่ต้องไปกังวลมากหรอก ให้ลูกตัดสินใจเอง”
“ถ้าไม่เป็นว่าคุณวิไลมาขอร้องซะขนาดนั้นน่ะ ฉันก็ไม่มาคุยกับลูกให้หรอก จะว่าไปก็น่าเห็นใจคุณวิไลเหมือนกันนะ แต่พอนึกถึงเรื่องวันนั้นฉันก็ยังโกรธไม่หาย”
“นี่ขนาดโกรธไม่หายยังมาช่วยเขาพูดได้ขนาดนี้ ถ้าไม่โกรธไม่พาหลานไปอยู่กับเขาเลยหรอ” พลอดเหน็บภรรยาไม่ได้
“ฉันคิดถึงหลานต่างหากล่ะ” พอเจอสามีดักคอวิภาวรรณได้แต่ส่งค้อนกลับไปให้ก่อนจะเดินไปที่รถก่อน
พลส่ายหน้าให้กับอาการงอนที่เป็นเรื่องปกติของภรรยา รอยยิ้มบางแต้มบนใบหน้าที่มองตรงไปยังคนที่เข้าไปนั่งรอในรถ แค่งอนนิดๆ หน่อยๆ แบบนี้สบายมากสำหรับเขา ก่อนจะสาวเท้าเดินไปที่รถทันที
แม่หนูน้อยลากเธอมาจนถึงห้องรับแขก ลินน์มองไปยังโต๊ะอาหารที่ตอนนี้โล่งสะอาดเหมือนไม่เคยใช้ ความโล่งใจที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับผู้สูงวัยทั้งคู่ทำให้เธอเป่าออกจากปากเบาๆ
“เครียดขนาดนั้นเลยหรอ”
“คุณ! ทำไมมาเงียบๆ อย่างนี้” ลินน์หันไปว่าเขาที่ทำให้เธอตกใจ
“ผมไม่ได้มาเงียบๆ แต่คุณใจลอยเองต่างหาก” ใบหน้าเนียนเบี่ยงหลบใบหน้าคมที่ก้มต่ำลงมาทันที
“มิรินคะ เราไปเล่นกันตรงโน้นดีกว่านะคะ”
ไม่ทันจะได้ก้าวเดิน แขนเรียวของเธอก็ถูกเกี่ยวเอาไว้ด้วยมือหนาของเขา
“มิรินไปเล่นตรงนั้นก่อนนะคะ” ภัทรหันมาบอกลูกสาวตัวน้อย
“น้าลินน์จะมาเล่นเป็นเพื่อนมิรินมั๊ยคะ” เด็กน้อยหันกลับมาถามเธอ
“เล่นสิคะ เดี๋ยวน้าตามไปนะคะ” เธอเองก็มีเรื่องจะคุยกับเขาเหมือนกัน
“หยุด!” ลินน์ร้องห้ามเมื่อเขาเริ่มเดินเข้ามาหาเธอ
“ห้ามเข้าใกล้ฉันเกินสามเมตร” ชายหนุ่มถึงกับขมวดคิ้วเมื่ออยู่ๆ เธอก็สั่งเอาๆ
“เป็นอะไรของคุณ”
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ ทีนี้คุณก็พูดมาได้” ภัทรหัวเราะกับท่าทางของคนออกคำสั่ง
“สั่งทั้งทีให้มันมั่นคงหน่อยสิคุณ” ลินน์ย่นจมูกใส่
“พ่อแม่ผมเป็นไงบ้าง” รอยยิ้มที่ถูกกั้นเอาไว้ทำให้หญิงสาวอยากจะวาดเล็บใส่สักที
“คุณนั่นแหละ ทำอะไรไม่คิดจะบอกฉันหน่อยรึไง”
“บอกคุณก็หนีสิ” เขาพูดอย่างกับเป็นเธอเลย
“ไม่ได้หนี แต่ฉันไม่ควรจะอยู่ที่นี่ไง”
“มันก็คือหนีนั่นแหละ”
“คุณนี่!” นิ้วเรียวที่เตรียมจะชี้ไปที่เขาถูกงอลงแล้วกำไว้แน่ ทำไมต้องเป็นเธอทุกครั้งที่เถียงเขาไม่เคยชนะ
“เมื่อไหร่งานคุณจะเสร็จ” ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่ออยู่ๆ คนหน้างอก็เปลี่ยนเรื่อง
“คุณถามทำไม”
“คุณก็จะได้มีเวลาดูแลลูกสาวคุณไง”
“ทำไม?” ภัทรสาวเท้าเข้ามาใกล้
“ก็บอกแล้วไงว่าอย่าเข้ามาใกล้ฉันเกินสามเมตร”
“พูดความจริงมาดีกว่า” มือบางที่ดันไว้ที่อกเขาหยุดชายหนุ่มไม่ได้แม้แต่น้อย
“คุณจะทิ้งผมกับมิริน”
“คุณจะบ้ารึไง ฉันจะไปทิ้งคุณกับมิรินได้ไง ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับพวกคุณซะหน่อย” หญิงสาวโวย
“พวกคุณ?”
โอ้ย..เธออยากจะบ้าตาย ทำไมพูดอะไรก็ดูเป็นรองเขาไปซะหมดอย่างนี้นะ
“ไม่ใช่อย่างนั้น” อยู่ดีๆ ก็เป็นเธอซะเองที่ร้อนรน ยิ่งเขาไม่พูดเธอก็ยิ่งคิดหาคำจะมาอธิบายเขาไม่ออก
“ผมคิดว่าคุยกันแล้วซะอีก” ลินน์นิ่วหน้า เธอไปคุยอะไรกับเขาตอนไหน
“คุยหรอ?”
“ใช่! คุณเป็นแฟนผม และที่สำคัญคือ ผมก็เป็นแฟนคุณ เพราะฉะนั้น อย่าแม้แต่จะคิดที่จะทิ้งผมกับมิรินเด็ดขาด”
เหมือนคนสองดับไปกะทันหัน ลินน์ยืนนิ่งจ้องหน้าเขาตาค้าง เหมือนคำพูดที่เขาพูดออกมาทั้งหมดนั้นเธอได้ยิน แต่อยู่ๆ ระบบประมวลผลมันก็เจ๊งไปเสียอย่างนั้น สัมผัสอันนุ่มนวลบนแก้มซ้ายทำให้หญิงสาวได้สติ ลินน์กระพริบตาถี่ๆ เหมือนพยายามปรับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า
“ฉันไม่ได้จะทิ้งมิรินซะหน่อย” หญิงสาวบอกเสียงเบา
เจอเข้ากับสายตาหวานอันอบอุ่นของเขาเธอถึงกับใจอ่อน นี่เขารู้จุดอ่อนเธอแล้วใช่ไหม
“แต่คุณชอบทำอะไรไม่ใช้ฉันตั้งตัวได้เลย” คนใจอ่อนได้แต่บ่น
“ผมขอโทษ เรื่องวันนี้ผมไม่รู้จริงๆ” ชายหนุ่มบอกเสียงนุ่ม
มือหนาโอบรั้งร่างบางเข้ามาหา ใบหน้าคมโน้มต่ำลงมาจนเกือบจะชิดริมฝีปากบาง
“คุณพ่อขา มิรินอยากกอดคุณน้าลินน์บ้างค่ะ”
ลินน์ดันมือหนาออกจากตัวแล้วก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว ส่วนคนเป็นพ่อได้แต่ยืนเท้าสะเอวกัดฟันกรอดข่มอารมณ์
บางทีเขาควรจะให้มิรินเข้านอนก่อนเวลาดีไหม ภัทรได้แต่คิดในใจ เพราะความจริงแล้วนี่มันยังเช้าอยู่เลย
“มิรินคะ” ลินน์ย่อตัวลงนั่งข้างแม่หนูน้อย
“วันนี้น้าต้องกลับก่อนนะคะ”
“คุณน้าลินน์มีธุระอีกแล้วหรอคะ” เสียงหัวเราะที่มาจากร่างสูงทำให้เธอหันไปมอง เมื่อกี้ยังทำหน้าหมีอารมณ์เสียอยู่เลยนี่นา
“เปล่าหรอกค่ะ ดูมิรินสิอาบน้ำตัวหอมเชียว แต่น้า..” หญิงสาวทำเป็นย่นจมูกหน้าเบ้เมื่อดมกลิ่นตัวเอง
“เหม็นมากเลยค่ะ น้าต้องกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
“คุณน้าลินน์อาบที่นี่ก็ได้นี่คะ” เด็กน้อยเอียงคอบอก
“ไม่ได้หรอกค่ะ เอาอย่างนี้ดีมั๊ยคะ เดี๋ยวพอถึงบ้านปุ๊บ น้าจะโทรหามิรินปั๊บเลย” ลินน์ปลอบแม่หนูน้อยที่ตอนนี้ทำหน้าตูมเพราะไม่อยากให้เธอไป
“คุณพ่อขา มิรินกลับบ้านกับคุณน้าลินน์ได้มั๊ยคะ” เด็กน้อยหันมาขอผู้เป็นพ่อ
“ไม่ได้ค่ะ!” แต่คนตอบกลับไม่ใช่พ่อของแม่หนูน้อย
“เอ่อ..คือว่า” คิดสิลินน์ คิดสิ การโกหกทำไมมันยากอย่างนี้นะ
“ช่วยหน่อยสิคุณ” หญิงสาวหันมาพูดกับเขาแบบไร้เสียง เมื่อไปต่อไม่ได้ ลินน์จำใจต้องหันกลับมาขอความช่วยเหลือจากเขา แต่สิ่งที่ได้กลับมาทำให้เธอแทบน้ำตาไหล
“งั้นเราก็ไปบ้านคุณน้าลินน์พร้อมกันเลยดีมั๊ยคะ”
“ดีค่ะคุณพ่อ” เด็กน้อยกระโดดเหยงๆ ด้วยความดีใจ
เธอพึ่งจะเข้าใจวันนี้เองว่าพวกมากลากไป เธอตัวคนเดียวรึจะไปสู้กับสองพ่อลูกได้
“ไม่ได้! ไม่ว่าใครก็ไปไม่ได้ทั้งนั้น” อยู่ๆ คนที่นิ่งเหมือนยอมรับสภาพกลับลุกขึ้นมาค้าน
มิรินมองหน้าเธออย่างกับไม่เคยเห็น ใช่สิ! แน่นอนว่าแม่หนูน้อยไม่เคยเห็นเธอในแบบนี้แน่
“ฉันจะกลับบ้าน ไม่ว่าใครก็ไปด้วยไม่ได้ทั้งนั้น” ลินน์หันมาบอกคนที่ยืนมองเธอแบบไม่อยากเชื่อสายตา
“มิรินคะ วันนี้น้าต้องกลับบ้านก่อน มันไม่เหมาะที่มิรินกับพ่อจะไปบ้านน้า ไว้มิรินโตขึ้นกว่านี้แล้วน้าจะอธิบายให้ฟังนะคะ ไม่เอาสิคะ ไม่ทำหน้าอย่างนี้ น้าสัญญาค่ะว่าถ้าถึงบ้านแล้วน้าจะโทรหามิรินทันทีเลย ดีมั๊ยคะ” เสียงที่เข้มเมื่อพูดกับชายหนุ่มอ่อนลงทันทีที่พูดกับแม่หนูน้อยที่เธอรัก
“ค่ะคุณน้าลินน์” เด็กน้อยรับคำเสียงเบา
“ไม่ร้องนะคะคนเก่ง” ลินน์รั้งร่างป้อมเข้ามากอดปลอบ
น้ำตาใสๆ ที่คลอหน่วยอยู่ในดวงตากลมของแม่หนูน้อยทำให้เธอรู้สึกผิดที่เผลอขึ้นเสียงดัง ลินน์ยกมือบางขึ้นมากอบกุมใบหน้ากลมเอาไว้ ส่งยิ้มตาหยีให้แม่หนูน้อย
“เก่งทีสุดเลย” หญิงสาวเลื่อนมือลงมาจับเอวกลมทั้งสองข้างเอาไว้แล้วเขย่าเบาๆ เรียกเสียงหัวเราะคิกคักออกมาได้
“น้ากลับก่อนนะคะ” มือบางลูบศีรษะของแม่หนูน้อยเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหยิบกระเป๋าก้าวออกจากบ้านไปโดยไร้การเหนี่ยวรั้งของสองพ่อลูกอีก
ภาพหญิงสาวที่กำลังเดินออกมาจากตัวตึกสูงช่วงเที่ยง ทำให้ขาเรียวก้าวเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ในตอนเที่ยงทำให้เธอก้าวตามได้ลำบาก แต่ก็ยังโชคดีที่บุคคลเป้าหมายหยุดตรงร้านผลไม้ก่อน
“ขอโทษนะคะ” ปากที่กำลังจะสั่งผลไม้ปิดลงทันทีที่มีเสียงหนึ่งพูดขึ้น
“มีอะไรรึเปล่าคะ” เมื่อหันไปมองก็ไม่เห็นใครยืนอยู่ใกล้ คงไม่ผิดที่ผู้หญิงคนนี้จะพูดกับเธอ
“คุณลินน์รึเปล่าคะ” ชื่อของเธอที่หลุดออกจากปากสีแดงสดทำให้หญิงสาวขมวดคิ้ว
“คุณรู้จักฉันหรอคะ”
“ฉันเป็นน้าของมิรินค่ะ” ชื่อของแม่หนูน้อยที่เธอเอ่ยถึงทำให้ลินน์หันกลับมาหาเธอทั้งตัว
“ฉันมีเรื่องเกี่ยวกับมิริน อยากจะขอคุยกับคุณสักหน่อยค่ะ ขอเวลาคุณหน่อยได้มั๊ยคะ”
“ฉันเป็นพี่เลี้ยงของมิรินเท่านั้นค่ะ คงจะตอบอะไรคุณไม่ได้ คุณไปคุยกับพ่อของมิรินดีกว่านะคะ” ลินน์บอกหญิงสาวปากแดงแปลกหน้า
“คุณคงจะรู้ว่าพี่สาวฉันตายไปแล้ว แล้วลูกสาวก็อยู่กับคนเป็นพ่อ” คำพูดของคนแปลกหน้าตรงกับที่เธอรู้มา
“งั้นไปคุยกันที่โน้นกันดีกว่าค่ะ”
ลินน์ชี้มือไปยังร้านกาแฟที่เธอเคยนัดเจอกับเขา ก่อนจะกดต่อสายหาเพื่อนว่าเธอติดธุระคงไม่ได้ไปกินข้าวด้วย
ลินน์มองผู้หญิงตรงหน้าเธออย่างพินิจ ไม่ว่าจะเป็นจมูก คาง คิ้ว ดวงตา ทุกอย่างบนใบหน้าของเธอช่างเข้ากันเหมาะเจาะไปหมด ผิวขาวอมชมพูดอย่างที่คนสมัยนี้นิยมยิ่งทำให้เธอดูสวยน่าทะนุถนอมมากยิ่งขึ้น จนเธอเองยังอิจฉา ริมฝีปากบางที่ถูกเคลือบไว้ด้วยลิปสติกเนื้อดีสีแดงสดคลี่ยิ้มส่งให้เธอ
“ฉันชื่อโยธกาค่ะ อย่าที่ฉันบอกคุณไปแล้วว่าฉันเป็นน้าขอมิริน พี่สาวของฉันคลอดมิรินได้ไม่นานก็ตายเพราะอุบัติเหตุ หลังจากนั้นเราก็ไม่เคยได้เจอมิรินอีกเลย” ลินน์นั่งฟังเธอพูด โยธกาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูดต่อ
“ฉันกับพี่ภัทรเราเคยคบกันก่อนที่เขาจะมาเจอพี่สาวฉัน”
คำว่า ‘พี่ภัทร’ หลุดออกมาจากริมฝีปากแดงแทงเข้าไปกลางอกเธออย่างจัง ทำไมกันนะ เพียงแค่เธอเอ่ยชื่อที่ฟ้องถึงความสนิมสนมเธอถึงได้รู้สึกอย่างนี้
“เราเกือบจะได้แต่งงานกันถ้าไม่เกิดเรื่องซะก่อน” โยธกาหัวเราะเบาๆ ราวกับเย้ยหยันชีวิตรัก
“พี่สาวฉันดันชอบผู้ชายคนเดียวกับที่ฉันรัก ความไว้ใจรึจะสู้ความตั้งใจที่จะแย่งได้ แต่มันคงไม่มีประโยชน์ที่จะไปต่อเมื่อผู้ชายที่ฉันรักทำพี่สาวฉันท้อง เล่าให้ใครฟังยังไงก็ไม่เข้าใจเท่ากับเจอกับตัว คนที่ถูกบีบให้ถอยอย่างฉันจะทำอะไรได้นอกจากหนีไปให้ไกล ฉันแบกความเจ็บปวดไปอยู่ต่างประเทศจนกระทั่งวันที่พี่สาวฉันประสบอุบัติเหตุฉันถึงรู้สึกว่าสิ่งที่ฉันควรได้รับมันควรกลับมาหาฉันซะที อย่างน้อยฉันก็โล่งใจว่าสิ่งที่ฉันกังวลมาตลอดมันไม่ได้เกิดขึ้น ตอนนี้แม่ของฉันท่านก็อายุมากแล้ว เราเหลือกันแค่สองคน ฉันรู้ว่าแม่คิดถึงมิรินมาตลอด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อพี่ภัทรไม่ยอมให้แม่พบมิริน คุณลินน์คะ ช่วยเปิดโอกาสให้เราได้พบมิรินสักครั้งได้มั๊ยคะ”
“พบ..มิรินหรอคะ” หญิงสาวถามเสียงเบา
คนที่กำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเองตั้งแต่โยธกาบอกว่าสิ่งที่เธอควรได้รับมันควรจะกลับมาหาเธอสักที เพราะกำลังคิดไม่ตกว่าสิ่งนั้นคือมิริน หรือว่าเป็นเขากันแน่
“ช่วยเราหน่อยนะคะ ถ้าให้เราขอพี่ภัทร เขาต้องไม่ยอมแน่ เพราะพี่ภัทรกลัวว่าเราจะแย่งมิรินไป” โยธกาบอกเสียงเศร้า
“ฉันคงช่วยอะไรไม่ได้หรอกค่ะ ฉันเป็นแค่..พี่เลี้ยง” คำพูดสุดท้ายเบาแทบจะหายไปกับอากาศ
“แต่คุณก็สามารถเข้าออกบ้านพี่ภัทรได้ทุกวันใช่มั๊ยคะ”
“ก็ใช่ค่ะ แต่ฉันก็ไม่มีสิทธิ์จะทำอะไรแบบนี้ลับหลังเขานะคะ มันไม่ถูกต้อง”
“ฉันจ้างคุณก็ได้ คุณต้องการเท่าไหร่คะ”
คำพูดของผู้หญิงตรงหน้าทำให้เธอโกรธขึ้นมาทันที นี่ผู้หญิงคนนี้คิดว่าจะใช้เงินมาซื้อเธอได้อย่างนั้นหรอ
“คุณจะให้ฉันเท่าไหร่ฉันก็รับไม่ได้หรอกค่ะ ฉันเป็นแค่พี่เลี้ยง ไม่มีสิทธิ์จะพาลูกของเจ้านายไปพบเจอใครได้ตามอำเภอใจ ถ้าคุณอยากเจอมิรินจริงๆ ก็ไปคุณกับเขาเองเถอะค่ะ ฉันขอตัว”
ไม่ฟังเสียงที่เรียกเธอตามหลัง ลินน์ก้าวเดินออกไปจากร้านอย่างรวดเร็วพร้อมกับความรู้สึกโกรธผู้หญิงปากแดงคนนั้น
************************************************
งวดเข้ามาเต็มทีละ น่าจะอัพอีกไม่กี่ตอนก็คงจะได้หยุดแล้วเด้อ ไม่เกินวันที่ 10 น่าจะได้เห็น E-book ละ ^ ^
ศิริรตาขอแจ้งไว้ก่อนเบื้องต้นนะคะ เผื่อจะไม่ตรงสเปกใคร คือว่า...เค้าเป็นคนที่พยายามจะเขียนนิยายหลีกหนีดราม่าให้ได้มากที่สุด เพราะอะไรน่ะหรอคะ อย่างที่เคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ก็คือ กว่าจะมาเป็นศิริรตาในวันนี้อดูดก็เป็นนักอ่านนิยายตัวยงมาก่อน ส่วนตัวแล้วอ่านนิยายเพื่อความผ่อนคลายความเครียดจากการทำงานที่สุดแสนจะปวดเศียรเวียนพระเกล้า(ดูเว่อร์วังเนาะ 555) พออ่านเจอนิยายเรื่องไหนที่เครียดๆ หนักๆ (แต่ก็อ่านจนจบเหมือนเดิมนะ 555) ปรากฏว่าพอถึงเวลาทำงานกลับยิ่งเครียดมากกว่าเดิมอีก 5555555 (แยกชีวิตจริงกับจินตนาการไม่ออก) หลังๆ เลยอ่านนิยายน้อยลง เพราะเน้นอ่านแต่เรื่องที่ไม่หนัก เบาๆ สมองหน่อย จิได้มะเครียด เฮ้ออ...พอได้พิมพ์ก็ยาวเว่อร์จริง สรุปคือ ศิริรตาอยากจะแจ้งกับทุกคนว่า ใครที่คาดหวังว่านิยายของเค้าจะมีจุดพีคหนักๆ มีหักมุมให้ต้องขบคิด (หรืออะไรก็ตามที่ต้องใช้สมอง) แบบนี้ไม่มีเด้อค่าาา มีแต่อ่านสบายๆ ฟินนิดๆ ฮาหน่อยๆ หื่นเยอะนิดนุง 555555 อะไรที่ต้องผูกปม แก้ปัญหาสลับซับซ้อน ไม่มีแน่นอนค่าาาา เพราะคนเขียนเข้าขั้นปึก(ภาษาอีสานแปลว่า โง่) 5555555555555
.
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมาเม้นเด้อค่าาา กราบแทบอกงามๆ
ตอบเม้นๆ ค่าาาาาา
+momo12
*งานถนัดเค้าล่ะ 555
+Perakorn Jira
*อยากถูกปลุกแบบนี้ ก่อนอื่นต้องเริ่มจากการเป็นคนนอนขี้เซาก่อนค่า อิอิอิ
+Melissa
*เล่มเต็มนี่หมายรวมถึง E-book มั๊ยคะ พอดีเค้าไม่ได้ทำรูปเล่มขาย ขายคุณบุ๊กอย่างเดียว ^_^
+Kay Bussakorn
*แผนนางคือใช้ลูกเป็นตัวล่อนางเอกตลอดๆ
+Rattana
*จัดให้ตามคำขอค่า (ชื่อเหมือนยายเค้าเลยค่า)
+花桂 +Gtar
*ไม่น่าจะแผนนะคะ เหมือนสไปท์ไม่ใส่โซดามากกว่า (ตอบเองยังงง >”< ) แต่ผู้ใหญ่ก็ใจดีน้า....ส่วนจะหลุดรอดหรือไม่ต้องรอดูกว่าใหญ่จริงป่าว(เค้าหมายถึงเชือกเด้อ) 555
+rtom711
*มัดแล้วทำอย่างอื่นดีกว่า อิอิอิ จัดให้ตามคำขอค่าสำหรับตอนใหม่
+
+Beer Kanokporn
*นั่นสิเน้อะ ขนาดพ่อแม่ยังไม่เจอ เธอยังไม่รอดมือคุณภัทรไปได้เลย 555555
+mam
*ถ้าอ้าปากค้างเหมือนลินน์ แสดงว่าคุณmam ต้องสวยแน่ๆ เพราะนางเอกเค้าสวยเด้อ อิอิอิ