Chapter 5
ทาสหัวใจซาตาน
"เงินก้อนนี้คือน้ำพักน้ำแรงของพ่อแม่ แล้วก็ของพี่ที่เก็บสะสมไว้ตอนทำงานพาร์ทไทม์ ใช้จ่ายอย่างประหยัดนะมาร์ก"
เงินจำนวนห้าหมื่นที่เพิ่งกดออกมาจากตู้เอทีเอ็มถูกยื่นมาตรงหน้าภาสกร น้องชายของม่านไหมที่กำลังศึกษาอยู่ปีหนึ่ง เป็นเงินค่าเทอมและค่ากินค่าอยู่ ซึ่งม่านไหมจะเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการส่งน้องชายเรียนไปจนกว่าจะจบมหาวิทยาลัย เงินที่ทางบ้านส่งมาให้ หล่อนต้องบริหารควบคุมไม่ให้น้องชายใช้จ่ายมือเติบ ซึ่งภาสกรก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขารู้ว่าทุกคนลำบาก ชายหนุ่มจึงเจียมตัวใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น
"ถ้ามาร์กเรียนจบเมื่อไหร่ มาร์กจะเลี้ยงพี่ไหมแล้วก็พ่อแม่ให้สุขสบาย ไม่ต้องกลัวนะพี่ไหม มาร์กจะใช้เงินก้อนนี้อย่างประหยัดที่สุด...ถ้าได้งานพิเศษทำเมื่อไหร่ ก็คงจะพอช่วยแบ่งเบาภาระไปได้อีกทาง"
"ไม่ต้องกลัวพี่จะอดหรอก เลี้ยงตัวเองให้รอดก็พอ"
ภายใต้รอยยิ้มจางๆ ภาสกรจับได้ถึงความเศร้าในแววตาของพี่สาว...เขานึกไปถึงเรื่องที่พี่สาวอุ้มบุญให้คุณอา ไปอาศัยกินอยู่บ้านคนอื่นนั้นสุขสบายหรือลำบากใจ เขาอยากรู้ความเป็นไปในส่วนนี้ เพราะต่อให้สนิทกันมากแค่ไหน เตชินทร์ก็ได้ชื่อว่าคือคนอื่นอยู่ดี
"ว่าแต่...ไปอยู่บ้านอาเต สบายดีใช่มั้ย"
คำถามแทงใจดำ ทำให้ม่านไหมรีบหลบตา กระอึกกระอักออกมาเพราะนึกไปถึงความจริงที่แสนจะปวดใจ
"อะ เอ่อ...สะ สบายดี ก็เลี้ยงน้องอยู่บ้าน อาเตก็ไปทำงาน พี่ก็...ก็กะว่าถ้าน้องโตพอช่วยเหลือตัวเองได้ ก็คงจะต้องไปหางานทำ"
"จริงๆ ทำไมไม่ลองพูดกับอาเต ให้เขาหาพี่เลี้ยงมาช่วย พี่ไหมจะได้ไปทำงานเสียที"
คนฟังแค่นยิ้มปร่าแปร่ง เรื่องทุกข์ใจหล่อนไม่อยากให้ใครรู้ จึงรีบตัดบทก่อนที่น้ำตาจะรื้นออกมา
"เอาเถอะ เรื่องนี้เอาไว้พี่จัดการเอง หน้าที่ของมาร์กคือเรียนให้จบก็พอ"
ภาสกรนิ่งเงียบไม่ออกความเห็น ชายหนุ่มรู้ดีว่าพี่สาวนั้นรักลูกที่เกิดจากการอุ้มบุญจนไม่ยอมก้าวออกมาจากตรงนั้น ที่พูดก็เพราะไม่อยากให้เอาชีวิตไปทิ้งโดยเสียเวลาไปอย่างไม่ได้อะไร อนาคตของเธอควรจะไปได้ไกลกว่านี้ เรียนมาเพื่อก้าวไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าเดิม ไม่ใช่เรียนมาเพื่ออยู่บ้านคอยเป็นคนเลี้ยงลูกให้ใคร
หลังแยกกันกับน้องชาย...ภายในรถแท็กซี่ที่กำลังมุ่งหน้าพาม่านไหมไปส่งจุดหมาย สมุดฝากครรภ์ถูกหยิบขึ้นมาเปิดดูอีกครั้ง หลักฐานยืนยันว่าหล่อนตั้งครรภ์ได้สี่สัปดาห์ เขากำลังสร้างชีวิตและเลือดเนื้ออยู่ในกาย นั่นคือสิ่งที่ทำให้หล่อนตัดสินใจเก็บเอาไว้ ทว่า...เมื่อใจประหวัดไปถึงคนใจร้ายที่พยายามผลักไสให้หล่อนไปไกลตา ซ้ำยังจะพรากดวงใจไปจากอก เพียงเท่านี้ก็รู้สึกสั่นสะท้านอยู่ในหัวอกจนอยากร้องไห้ ไม่ได้อยากอยู่เพื่อให้เขารับผิดชอบลูกในท้องเลยสักนิด แต่ต้องทำหน้าด้านหน้าทนอยู่เพราะไม่อาจตัดใจจากลูกสาวคนโตได้ หล่อนเชื่อฝังใจ...ตรีประดับคือลูกสาวของตนที่เกิดกับเขา แม้จะไม่ใช่เป็นการได้มาเพราะความสัมพันธ์ทางกายก็ตาม
++++++++
ภายในห้องนอนของม่านไหม เตชินทร์เดินเข้ามาหาเสื้อผ้าสำหรับเด็ก วันนี้วันหยุดเขาทำหน้าที่เลี้ยงลูกด้วยตัวเอง ส่วนม่านไหมบอกเขาว่ามีธุระกับน้องชายขอออกไปข้างนอกแล้วจะรีบกลับมา...ภายในตู้เสื้อผ้าที่ฝังกลมกลืนอยู่กับผนัง ชายหนุ่มมองหาเสื้อผ้าแบบที่ใส่สบาย หล่อนพับและเรียงกันไว้อย่างเป็นระเบียบส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ในจังหวะที่กำลังจะเลื่อนประตูให้ปิดเมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว...ชั้นสำหรับวางของที่อยู่เหนือศีรษะเขาไปไม่มาก อะไรบางอย่างที่วางอยู่บนนั้น มันปะปนอยู่กับข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของเธอ คล้ายมีเรื่องแวบมาสะกิดใจ ชายหนุ่มเอื้อมมือขึ้นไปเพื่อหยิบมาเปิดดู
'นี่เธอ...ยังเก็บเอาไว้อยู่เหรอ’
นั่นคือความคิดที่แวบเข้ามายามจับจ้องมองไปยังแหวนทองคำขาวฝังเพชรเม็ดกำลังเหมาะที่ถูกเก็บอยู่ในกล่อง...หล่อนยังคงเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี เขาลืมไปเสียสนิทเพราะไม่เคยเห็นหล่อนสวมใส่มันเลยตั้งแต่เป็นเจ้าของครอบครองแหวนวงนี้...ของขวัญชิ้นใหญ่ราคาแพง ในตอนนั้น...ไม่รู้มีอะไรดลใจให้เขาเดินเข้าร้านเครื่องประดับ ซื้อมันมาให้คนที่แฟนก็ไม่ใช่ ในตอนนั้นเขายังไม่รู้ใจตัวเองด้วยซ้ำไป ตกลงคิดอย่างไรกับคนที่มีอายุห่างกันครบรอบพอดี...เพียงเท่านั้น เรื่องราวในอดีตก็หวนคืน.....
+++++++
"ไหม นอนหรือยัง ทำอะไรอยู่ ออกมาที่หน้าระเบียงสิครับ"
การที่เตชินทร์โทร.มาตอนเกือบเที่ยงคืน ในวันเกิดของตนที่แสนเงียบเหงากำลังจะผ่านพ้นไป หล่อนไม่ได้ฉลองกับใครเนื่องจากคุณอาไปสัมมนาที่ต่างจังหวัดกับบริษัท...ในความงุนงงว่าเขากำลังหลอกอำกันหรือไม่ ม่านไหมยอมเชื่อเดินออกไปข้างนอก เมื่อมองลงไปก็เห็นคนที่โทร.มายืนโบกมืออยู่ข้างล่างท่ามกลางแสงไฟสลัว ในมือของเขาถืออะไรบางอย่างเอาไว้ นั่นทำให้หล่อนถึงกับยืนนิ่งอย่างไม่เชื่อสายตา
"แฮปปี้เบิร์ดเดย์ไหม"
"อาเต...มุทะลุเป็นบ้า"
การที่เขาตะโกนขึ้นมาแบบนั้น หล่อนถึงกับหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเอ่อมาคลอขังรอบขอบตาตั้งแต่ตอนไหน การที่หล่อนเอาแต่ยืนงงทำอะไรไม่ถูก เขาก็ตะโกนเรียกอีกครั้ง
"ลงมาเร็วๆ สิครับ จะเที่ยงคืนแล้ว เดี๋ยวไม่ทันเวลานะ"
เพียงเท่านั้น หล่อนก็วิ่งลงไปข้างล่างโดยไม่ใช้ลิฟท์...ตรงโต๊ะม้านั่งใต้หอพัก เทียนวันเกิดถูกปักลงไปบนนั้นสิบแปดเล่ม ในขณะที่ม่านไหมมีอายุครบสิบเจ็ดปีเต็ม ตามความเชื่อต่อๆ กันมาว่าให้ปักเทียนเกินอายุจริงเพื่อความเป็นมงคล
"ไม่เป็นไรนะไหม ถึงมุกจะไม่อยู่ ปาล์มก็ไปเที่ยวกับเพื่อน เรามาฉลองวันเกิดของเธอกันสองคนก็ได้"
ชายหนุ่มปลอบใจคนที่นั่งทำหน้าเศร้า เขาจุดเทียนไปพร้อมกัน ยามเปลวไฟสว่างไสวบนก้อนเค้ก แววตาสองคู่สบประสานคล้ายต้องการอ่านความรู้สึกนึกคิดใต้ก้นบึ้ง ก่อนที่จะชวนกันร้องเพลงวันเกิดสนุกสนานกันอยู่สองคน เมื่อเพลงจบลง เตชินทร์ก็หยิบเค้กขึ้นมา
เขายื่นมาตรงหน้าเจ้าของวันเกิดเพื่อให้หล่อนเป่าเทียน
"จากเด็กกะโปโลในวันนั้น ไม่น่าเชื่อว่าเราจะรู้จักกันจนผ่านมาถึงแปดปีแล้ว เห็นการเปลี่ยนแปลงของเธอที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ปีนี้ก็โตขึ้นมาอีกปีแล้วนะไหม กับ...ในอีกหนึ่งช่วงวัยของชีวิตในรั้วมหาลัยฯที่กำลังจะมาถึง...อาก็หวังว่าเธอจะเป็นเด็กดีไม่เกเรให้พ่อแม่ต้องเสียใจ แล้วก็...ขอให้ชีวิตของเธอมีแต่สิ่งดีๆ เข้ามา"
"ไหมดีใจนะคะที่ได้รู้จักกับอาเต...คนที่...คอยช่วยเหลือไหมกับอามุก ในยามที่เดือดร้อนต้องการใครสักคน...แล้ววันนี้ ก็ยังอุตส่าห์ขับรถมาฉลองวันเกิดให้ไหมทั้งที่ดึกมากแล้ว ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจริงๆ ไหมจะไม่ลืมในสิ่งที่อาเตทำให้ในวันนี้เลย"
การที่หล่อนทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ ชายหนุ่มจึงรีบแทรกขึ้นมา "ไม่ร้องสิครับ รีบเป่าเทียนสิ คนถือร้อนจนมือจะสุกอยู่แล้ว"
เสียงหัวเราะดังประสาน ม่านไหมยื่นหน้าเข้าไปเป่าเทียนจนมันดับหมดทุกเล่ม เตชินทร์วางเค้กลงบนโต๊ะ เขาจัดแจงตัดเค้กด้วยตนเอง มีจานกระดาษแล้วช้อนพลาสติกเตรียมมาพร้อมสรรพ เขาจงใจตักชิ้นที่เลือกตัดให้ม่านไหมโดยเฉพาะ เป็นไวท์ช็อกรูปดอกไม้สวยงาม และบังคับให้หล่อนกินมันจนหมดเพราะนั่นคือส่วนที่อร่อยที่สุด โดยเขาเลือกอีกชิ้นมาเป็นส่วนของตัวเองท่ามกลางความเงียบงันยามดึกสงัดไร้ซึ่งคนเดินเพ่นพ่าน สองคนนั่งทานเค้กด้วยกันภายใต้บรรยากาศแสบอบอุ่น ม่านไหมค่อยๆ ละเลียดทานทีละน้อยไม่รีบเร่ง ชิ้นเค้กที่ถูกตักทานมาถึงตรงกลาง อะไรบางอย่างที่สัมผัสเข้ากับช้อนพลาสติก ทำให้แววตาสงสัยยกจานเค้กขึ้นมาดู
หล่อนเห็นอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในเนื้อเค้ก เมื่อลองหยิบมัน
ออกมาดู...แววตาสื่อถึงความแปลกใจก็เหลือบมองสบตาคนที่นั่งยิ้มรออยู่แล้ว
"อาเต...คืออะไรคะ...ไหมงงไปหมดแล้ว"
"ของขวัญวันเกิดไงครับ"
"แหวนวงนี้...อาเต...ซื้อให้ไหมเหรอคะ"
"อืม...ก็...นึกไม่ออกว่าผู้หญิงชอบอะไร พอดีเดินผ่านร้านเครื่องประดับ ก็เลยลองแวะเข้าไปเดินเล่นเสียเลย"
"แล้วก็ทำแบบไม่เหมือนชาวบ้านอีกแล้ว ถ้าไหมไม่เห็นแล้วกินเข้าไป จะทำยังไงล่ะที่นี้"
"ก็กลัวเธอจะกินเข้าไปแทบแย่ แต่ถ้าขนาดเคี้ยวแล้วไม่เจอ ก็ไม่รู้จะว่าไงล่ะ"
ชายหนุ่มหัวเราะตบท้าย สักพักแววตาของม่านไหมก็สื่อถึงความไม่สบายใจ
"ที่จริงอาเตไม่น่า..."
เสียงต้องสะดุดเมื่อปลายนิ้วแกร่งยื่นมาแตะบนกลีบปากนุ่มเนียน หล่อนหลุบตาหนีแววตาแปลกๆ ที่จับจ้อง ตกลงเขาคิดเช่นไร...นั่นคือคำถามในใจของคนที่แอบรักผู้ชายตรงหน้ามาเนิ่นนาน...รัก...ที่เปลี่ยนจากรักแบบบริสุทธิ์ใจในวัยเด็ก เมื่อโตขึ้น รักนั้นจึงเปลี่ยนเป็นรักในแบบชายหนุ่มหญิงสาว แต่หล่อนจำต้องเก็บงำซ่อนรักนี้เอาไว้ เพียงเพื่อความสุขของคนที่ได้ชื่อว่ามีพระคุณกับตนอย่างเช่นคุณอา
"ลองใส่ดูสิไหมว่าพอดีหรือเปล่า แต่อาคิดว่านิ้วของเธอคงเท่าๆ กับพนักงานขาย"
หลังจากทำความสะอาดเนื้อเค้กออกไป ชายหนุ่มก็คว้ามือนุ่มไปกุมเอาไว้ แหวนทองคำขาวประดับเพชรถูกสวมเข้ามาที่นิ้วนางข้างซ้าย ม่านไหมหลุบตาหลบพร้อมใบหน้าที่ร้อนผ่าว รีบชักมือหนีออกมาจากการถูกกอบกุม
"เอ่อ...ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว อาเตรีบกลับไปนอนเถอะนะคะ กว่าจะขับรถกลับไปถึงบ้านอีก"
ม่านไหมรีบตัดบทเพราะไม่อยากอยู่กับเขานานให้ต้องหวั่นไหวไปมากกว่านี้ ต้องเตือนตัวเองเอาไว้ อย่าคิดอะไรกับเขามากกว่าคนรู้จัก เขาไม่ใช่คนที่สมควรจะรัก เพราะอะไรนั้นหล่อนรู้ดี
"งานเลี้ยงเปิดตัวบริษัทของอา ไหมต้องไปให้ได้นะ ห้ามอ้างว่าติดธุระไม่สะดวก เพราะอาจะจองห้องพักที่โรงแรมไว้ให้ มันคือวันสำคัญ คือความสำเร็จที่อาอยากให้คนพิเศษเท่านั้นไปร่วมแสดงความยินดีด้วยกัน"
"ค่ะ แล้วไหมจะลากอามุกไปให้ได้นะคะ"
ชายหนุ่มยิ้มแต่ไม่พูดอะไร...ม่านไหมเดินตามไปส่งอีกฝ่ายที่รถ รอยยิ้มยังคงไม่จางหายไปจากใบหน้า เขาคือคนที่ทำให้หล่อนยิ้มได้ในยามที่กำลังตกอยู่ในความเศร้า คือคนที่เห็นหน้าเขาเสมอในยามไม่มีใคร คือผู้ชายคนแรกที่ทำให้ได้รู้จักกับความรักว่าเป็นเช่นไร แม้จะเป็นได้แค่รักที่ซ่อนเอาไว้จนลึกสุดใจก็ตาม…
+++++
เตชินทร์ดึงตัวเองขึ้นมาจากห้วงความทรงจำที่ตามหลอกหลอน...แหวนถูกเก็บไว้ที่เดิมเพื่อไม่ให้หล่อนรู้ว่ามีคนแอบหยิบมาดู พร้อมกันนั้น ความเชื่อบางอย่างก็ประเดประดังเข้ามาสุมใจที่กำลังอ่อนแอ
'ไหม จริงๆ เธอไม่น่า...’
ชายหนุ่มสลัดมันทิ้งไป กับภาพติดตาในอดีต ม่านไหมกับภูริชอยู่ในที่ลับตาแล้วบังเอิญเขาไปเห็น...วัยรุ่นวัยอยากรู้อยากลองที่ฮอร์โมนกำลังแรงอยู่ด้วยกันสองต่อสองแล้วมันจะไปเหลืออะไร ตอกย้ำถ้อยคำที่หล่อนเคยโพล่งใส่หน้าเขา นอกจากจะมีความลับเรื่องหล่อนกับภูริชแล้ว หล่อนเคยลองเรียนรู้เซ็กส์แบบภาคปฏิบัติกับเพื่อนชายเพราะความอยากรู้อยากลอง เขาได้รับรู้แล้วถึงกับโกรธผู้หญิงใจแตกจนความรู้สึกดีๆ ที่มีให้นั้นถูกลบเลือนไปจากใจที่เจ็บปวด เจ็บเพราะความเสียดายดอกไม้แรกแย้มที่เขาเองยังไม่คิดจะรีบเด็ดมาดอมดม
++++++
"เดี๋ยวเธอช่วยไปทำความสะอาดห้องนอนให้ด้วย วันนี้ฉันมีแขกจะมานอนค้างที่นี่"
สิ้นคำพูด ลดาภาถึงกับชะงักมือที่กำลังเตรียมจะหั่นผักสำหรับมื้อเย็น...การที่เขาบอกว่ามีคนจะมานอนค้าง หล่อนอยากรู้ยิ่งนัก แขกของเขาเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แล้วเป็นอะไรกันจนต้องถึงขั้นนอนค้างอ้างแรม
ลออที่ยืนอยู่แถวนั้นถึงกับหูผึ่ง...ในความร้อนใจเรื่องผู้หญิงคนใหม่ของเจ้านาย หล่อนรีบทักท้วงเพื่อเตือนสติให้เขาคิดให้ดี
"ยังไม่ทันไร ก็จะพาผู้หญิงเข้าบ้านแล้วเหรอคะคุณเต ลูกก็ยังเล็กอยู่เลยนะคะ"
เขาไม่ชอบคนรู้ดีชอบคิดแทน มันคือความต้องการที่เขาจะใช้บีบม่านไหมให้ไปจากตรงนี้ ให้หล่อนเกลียดเขาจนสุดหัวใจ นับจากนี้ไป หล่อนจะได้เห็นเขาแต่ในมุมเลวๆ จนลืมความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีกับเขาไปอย่างแน่นอน
"ให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะป้าแมว ทำอาหารเผื่อแขกของผมด้วยนะ"
ชายหนุ่มหันหลังเดินกลับ ปล่อยให้สองแม่ลูกได้แต่มองหน้ากันชนิดพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่...ต้องแข่งขันกับม่านไหมก็แทบจะทำอะไรฝ่ายนั้นไม่ได้ ยังต้องมาแข่งกับผู้หญิงคนใหม่ที่เขาจะพาเข้าบ้าน นั่นคือความคิดของลดาภา หล่อนรู้แล้วว่าการจะก้าวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในหัวใจของผู้ชายอย่างเตชินทร์ มันไม่ง่ายเหมือนที่คิดเอาไว้เสียแล้ว
++++++
ที่หน้ารั้วบ้านหลังใหญ่ ม่านไหมจ่ายค่าแท็กซี่แล้วรีบลงจากรถ หล่อนกลับมาถึงก็เป็นเวลาพลบค่ำพอดี...ป่านนี้คนที่เลี้ยงลูกคนเดียวมาทั้งวันคงจะหงุดหงิดที่หล่อนกลับช้า คิดพลางรีบไขประตูรั้วเล็ก เดินเข้าไปในบ้านอย่างรีบเร่งด้วยความคิดถึง ป่านนี้ลูกคงกำลังรอให้หล่อนกลับมาอุ้มอย่างแน่นอน
เพียงเดินเข้ามาในตัวบ้านแล้วต้องชะงัก เมื่อหูคล้ายได้ยินเสียงหัวร่อต่อกระซิกดังแว่วมาจากมุมรับรองแขก...เสียงผู้หญิงที่ทำให้ต้องเอียงหน้าฟังอย่างสงสัย เธอคนนั้นกำลังหยอกล้อคุยเล่นอยู่กับเจ้าของเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างอารมณ์ดี และเมื่อสาวเท้าเข้าไปใกล้...เขานั่งอยู่ตรงนั้น กับผู้หญิงที่เขากำลังคบหาดูใจ หล่อนจำได้ดีเพราะมีคนส่งมาให้ดูอยู่บ่อยๆ แววตาเจือความเจ็บปวดจับจ้องมองภาพความสุขตรงนั้น ยืนนิ่งอยู่นานเพราะกำลังช็อกไม่คิดว่าเขา
จะเปิดตัวกันเร็วเหลือเกิน
มีสิทธิ์อะไรมาอุ้มลูกของเธอที่เกิดกับเขา...ความหึงหวงทำให้สัญชาตญาณของม่านไหมร้องสั่ง เขาจะนอนกับใครสักกี่คนก็ทำไป แต่ใครก็ห้ามมาแตะต้องลูกสาวที่ตนเป็นคนอุ้มท้องมาตลอดเก้าเดือนเต็ม เลี้ยงเขามาตั้งแต่วันแรกที่ได้ลืมตาดูโลก จะไม่ยอมให้ใครต้องเป็นแม่ใหม่ของแก้วตาดวงใจอย่างแน่นอน...หล่อนฝืนกลืนก้อนที่จุกอกกลับลงไป เมื่อถูกเขาเหยียบย่ำใจจนปวดแปลบด้วยการพาผู้หญิงคนอื่นมาเย้ยหยันกันถึงบ้าน โดยไม่คิดแคร์ความรู้สึกกันเลยสักนิดเดียว
"เป็นยังไงบ้างคะวันนี้ ถึงเวลาที่อาเตจะได้พักแล้ว ฉะนั้น ส่งน้องมาให้ไหมดูแลต่อเถอะค่ะ"
เสียงที่ดังแทรกช่วงเวลาของคนสองคน เรียกสายตาสองคู่ให้หันมาจับจ้องมอง...ม่านไหมสาวเท้าเข้าไปใกล้พลางขบกรามแน่น หล่อนแค่อยากให้เขาส่งลูกคืนกลับสู่อ้อมอก นั่นคือสิ่งที่พยายามสื่อให้เขารู้จากแววตาสั่นระริกที่จับจ้องมองกลับไปอย่างขอความเห็นใจ แต่ไม่รู้เลยว่าคนใจร้ายจะเล่นแง่อะไร หล่อนกลัวใจเขาเหลือเกิน
รอยยิ้มบนใบหน้าคมคร้ามค่อยๆ จางลงไปเมื่อยามสบตา ม่านไหมยืนนิ่งเพราะเขายังคงเงียบไม่พูดอะไรคล้ายครุ่นคิด...แล้วเขาก็ทำให้หล่อนหน้าชา ไม่คิดเลยว่าเขาจะกล้าทำแบบนั้นจริงๆ
"ไม่เป็นไรหรอกไหม วันนี้เธอนอนพักผ่อนให้สบายเถอะนะ ไม่ต้องห่วงน้อง เพราะ...อามี...คุณปรางคอยช่วยดูแลอยู่แล้วทั้งคน"
"แต่...เขาต้องกินนม เลี้ยงเด็กไม่ใช่ง่ายๆ นะคะ อาเต..."
"ไม่เป็นไรจ้ะ พี่เคยเลี้ยงเด็กเล็กๆ มาก่อน แล้วพี่ก็รักเด็ก ยังไงแล้ว ขอน้องไปนอนด้วยสักคืนนะจ๊ะ"
นั่นคือสิ่งที่กวินตราแทรกขึ้นโดยที่ม่านไหมยังไม่ทันพูดจบ เจ้าตัวโปรยยิ้มหวานมาให้ รอยยิ้มที่สื่อถึงความเป็นมิตร ไม่อาจรู้ได้ว่าซ่อนอะไรเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มนั้น
"อารู้ว่าไหมคงคิดถึงแก แต่...แค่คืนเดียวคงไม่เป็นอะไรหรอกใช่มั้ย"
คืนนี้เขาคงนอนด้วยกัน ความหมายบอกหล่อนให้รู้จากคำพูดเหล่านั้น...ม่านไหมคิดด้วยใจที่สั่นแรง สูดลมหายใจให้ลึกเพื่อทำเข้มแข็งเข้าไว้ ไม่แสดงถึงท่าทีใดๆ ให้เขาจับได้ การแสดงออกถึงความเป็นเจ้าของจนออกนอกหน้า จะยิ่งทำให้เขารู้ว่าความจริงแล้วรักเขาซึ่งเป็นพ่อของลูก รัก...ที่ทำให้ไม่อาจตัดใจไปจากตรงนี้ได้เลย
"ถ้าอาเตยืนยันว่าจะให้น้องนอนกับคนอื่น...ไหมก็คงจะทำอะไรไม่ได้ จะทำอะไร...ก็...ตามสบายเลยค่ะ"
พูดจบแล้วก็เดินหนีเพื่อซ่อนความรู้สึกแท้จริงเอาไว้ว่ากำลังเจ็บแค่ไหน...ภายใต้ท่าทีหมางเมินเย็นชา เตชินทร์มองตามหลังม่านไหมแล้วรีบเมินหน้าหนี เขาเกือบใจอ่อนเดินตามไป ทว่า...ถ้าเขาทำแบบนั้น เรื่องราวก็จะคาราคาซังอยู่แบบนี้ไม่จบสิ้น ยอมเจ็บเพื่อปล่อยหล่อนไปสู่ชีวิตใหม่ที่ดีกว่า นั่นคือความหวังดีที่อยู่ในส่วนลึกหาใช่แกล้งทำ
++++++
ภายในห้องนอนที่ไฟยังคงส่องสว่าง เสื้อผ้าเด็กและผ้าอ้อมที่ถูกซักแล้วถูกพับเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ ม่านไหมบรรจงเรียงใส่ตะกร้าเอาไว้เพื่อพร้อมหยิบใช้ได้อย่างสะดวก ทั้งข้าวของเครื่องใช้สำหรับเด็กที่ถูกเตรียมไว้พร้อมสรรพ มันคือความสุขเล็กๆ ของการได้ทำหน้าที่แม่อย่างสมบูรณ์...ทว่า รอยยิ้มต้องจางหายเมื่อเหลือบมองไปบนเตียงนอน ความว่างเปล่าไร้ซึ่งเสียงคุยอ้อแอ้ ไร้ซึ่งเสียงร้องหิวนม ในสถานการณ์เช่นนี้ มันช่างบีบคั้นความรู้สึกอันแสนอ่อนไหวเหลือเกิน
‘ไหมผิดมากเหรอคะอามุก ถึงต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้’
มือที่กำลังพับผ้าอ้อมหยุดชะงัก ความเจ็บปวดมาเกาะกินใจเมื่อถูกคนใจร้ายพยายามพรากหล่อนกับลูกให้ห่างกัน...เขาคงต้องการให้ลูกเลิกติดมือคนที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก เพื่อที่จะให้ลูกได้ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง เพราะในอนาคตเขาคงมีคนใหม่มาเยียวยาจิตใจที่กำลังหม่นเศร้า นั่นคือความคิดของม่านไหมที่สวนทางกับความจริงในใจเตชินทร์
"กริ๊ก"
".....!"
เสียงคนไขลูกบิดประตูเรียกสติม่านไหมให้คืนกลับ แววตาเจือความเศร้าเหลือบมอง หล่อนก้มลงมองตัวเองตามส่วนลึกร้องสั่งเมื่อคนที่เข้ามาไม่ใช่ใครอื่น มีคนเดียวที่เข้าออกได้ทุกห้องในบ้านนี้ตามอำเภอใจโดยไม่ต้องเกรงใจใคร...เตชินทร์
ในขณะที่กำลังดันบานประตูให้ปิด ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มันคือโรคประจำตัวแก้ไม่หาย กับสายตาที่ชอบไล่มองไปทั่วเรือนร่างของคนที่ใจผลักไส เขาไม่ได้อยากมองเลยสักนิด ทว่าเขาห้ามสายตาตัวเองไม่ได้จริงๆ
"ทำไมไม่เคาะเรียกคะ ถ้าไหม...แก้ผ้าอยู่ อาเตจะทำยังไง"
"แต่ตอนนี้เธอก็อยู่ในสภาพไม่ต่างจากแก้ผ้าสักเท่าไหร่เลยนะ แต่งตัวแบบนี้นอนคนเดียว ไม่กลัวว่าใครจะย่องเข้ามาปล้ำบ้างหรือไง"
เขาจับจ้องไปยังความเต่งตึงที่ไร้ซึ่งบราขวางกั้น เนินเนื้ออวบอิ่มทิ่มสายตาดึงดันเนื้อผ้าชุดนอนบางๆ ที่ไม่ได้สวมเสื้อคลุมทับ ไม่หยุดอยู่แค่นั้น สายตาชวนให้ร้อนวูบวาบไล่ต่ำลงมาที่กลางกาย จินตนาการในหัววิ่งพล่าน กับสัมพันธ์รักร้อนเร่าแสนถึงใจ และเขารู้ตัวดีว่าสิ่งที่หล่อนตอบสนองเรื่องบนเตียงนั้นทำให้เขาหลงจนแค่ครั้งเดียวไม่พอ...เขาเกลียด...เกลียดที่หล่อนไม่สวมเสื้อคลุมทับให้มันเรียบร้อยแม้จะอยู่ในห้องหับมิดชิด เพราะมันคอยแต่จะทำให้เขาใจสั่นทุกครั้ง อยากจะกระโจนใส่เพราะอดใจไม่ไหว นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาไม่อยากอยู่ร่วมบ้านเดียวกับเธออีกต่อไป
"แล้วยังจะยืนเฉย ทำไมไม่รีบไปหาเสื้อคลุมมาสวมฮึไหม เธอต้องการอะไร คิดจะใช้เรือนร่างเพื่อแลกกับการได้อยู่ที่นี่ในฐานะเมียใหม่รึไง"
"แล้วใครใช้ให้อาเตเข้ามาคะ นี่มันห้องส่วนตัวของไหม นึกจะเข้ามาก็เข้า ต่อให้ไหมล็อกห้อง อาเตก็มีกุญแจไขอยู่ดี แล้ว...ไหมก็แต่งตัวแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร มันสะดวกเวลาให้นมน้อง เป็นแม่ลูกอ่อนก็แบบนี้แหละค่ะ อาเตนั่นแหละที่คิดไม่ซื่อ เป็นคนลากไหมขึ้นเตียง แล้วก็หาว่าคนอื่นยั่วให้ตบะแตก"
"ไหม!"
ชายหนุ่มหัวร้อนเมื่อถูกยอกย้อนกลับ เถียงไม่ขึ้นเพราะจะว่าไปแล้วเขาเองที่เป็นฝ่ายทนไม่ไหวจนได้หล่อนมาเป็นเมียอีกคน...เมียลับๆ ที่เปิดเผยต่อสังคมไม่ได้ จุดเริ่มต้นของความทรมานจากการทำผิด และเขาคิดว่าทำถูกต้องแล้ว ให้หล่อนไปอยู่ไกลสายตาเพื่อยุติสัมพันธ์รักลึกซึ้ง การใกล้กันจะทำให้เขาหยุดรักหล่อนไม่ได้ ชายหนุ่มคิดในมุมตัวเอง
และหล่อนกำลังยั่วประสาทให้เขาทลายกำแพงนั้นเสียเอง ไอ้แววตายาวรีออกแนวเว้าวอนรวมทั้งใบหน้าหวานๆ ที่ชวนให้ใจป่วนปั่นเขาเกลียดยิ่งนัก...มันยากเหลือเกินกับการกดความปรารถนาลงไปจนลึกสุดใจ ชายหนุ่มบดกรามจนเป็นสันนูนเพื่อข่มกลั้นสติสตังที่กำลังเตลิดเปิดเปิง หล่อนทำให้เขาตบะแตกอีกครั้งจนได้ ทั้งที่ไม่ได้เมาแต่ทำไมรู้สึกอยากจับหล่อนหันหน้าเข้าหาผนังห้อง บดเบียดความแข็งขึงเข้ากับร่างยั่วใจจากทางด้านหลัง สองมือเกี่ยวรั้งบั้นท้ายงอนๆ แล้วรุกล้ำสอดลึกขยับแรงๆ ให้หล่อนต้องร้องลั่นห้องจากการรุกรานอย่างถึงใจในทุกท่วงท่าทุกลีลา...นั่นคือความคิดของคนที่ความหื่นกำลังบังตา แรงปรารถนาทำให้ลมหายใจร้อนผ่าวยามผ่อนออกมา
'บ้าชะมัด ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้...ตาย...คืนนี้มึงตายแน่ไอ้เต’
ชายหนุ่มกัดฟันกรอดขณะเดินเข้าไปใกล้คนที่ยังไม่ยอมไปหาเสื้อคลุมมาสวมใส่ สายตาไล่มองคนตรงหน้าไปทั้งตัวอย่างโลมเลีย รอยยิ้มยั่วส่งไปให้คนที่ยืนนิ่งไม่ได้มีทีท่ากลัวคนที่บุกรุกเข้ามาแม้สักนิดเดียว
"ไม่รู้เป็นอะไร...เห็นเธอแก้ผ้าทีไรแล้ว...มีอารมณ์ทุกที"
"มาหาไหมถึงที่ ใจคอจะปล่อยให้เธอคนนั้นนอนรอเหรอคะ"
"เปล่า อย่าเข้าใจผิดว่าจะมีคนหลงเธอแบบหัวปักหัวปำจนต้องแอบย่องมาหา ก็แค่...เข้ามาเอาของใช้ของม่านมุกไปที่ห้องนั้น แล้วคืนนี้ก็ไม่ต้องนอนอ้าขารอนะ เพราะอะไรเธอคงรู้ดี"
"ค่ะ...ไหมรู้สถานะตัวเองดี ถ้าจะมาเอาของใช้ของน้อง เชิญค่ะ ไหมเตรียมไว้ให้ในตะกร้าเรียบร้อยแล้ว...จะไปทำอะไรกัน มีความสุขด้วยการเหยียบย่ำใจคนอื่นก็ตามสบาย ไหมไม่โทษใคร มันคงเป็นเวรกรรมที่ทำกับคนอื่นเอาไว้ วันนี้เลยต้องชดใช้คืน!"
หล่อนปรายมองไปยังตะกร้าเสื้อผ้าและของใช้ที่เตรียมไว้แล้ว...ท่าทีหมางเมินเย็นชาจนดูเหมือนไม่รู้สึกอะไร ทำให้เตชินทร์ กลายเป็นฝ่ายร้อนรุ่มเสียเองเมื่อถูกกระทำกลับคืน
"ปากดี! เดี๋ยวก็ตบด้วยปากเสียเลย"
"ก็ลองดูสิคะ จะกัดให้ขาดกระจุย"
หล่อนหยิบตะกร้าของใช้มายื่นส่งให้คนที่ยืนร้อนรุ่มอยู่ตรงหน้า...เตชินทร์ขบริมฝีปาก จับจ้องแววตาที่มองเขาอย่างตัดพ้อ อยากล้วงลึกลงไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ ทว่า...หล่อนกลับไม่ตีโพยตีพายเรื่องเขาพาผู้หญิงเข้าบ้าน ไม่มีแม้น้ำตาให้เห็นเลยสักหยดเดียว
ในช่วงวินาทีแห่งความอึดอัด ม่านไหมละสายตาเพื่อเหลือบมองไปตรงนั้น...เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้หล่อนเลิกให้ความสนใจผู้ชายตรงหน้า เดินไปรับโทรศัพท์ที่ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง รายชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอ ทำให้แววตาคู่สวยเหลือบมองคนที่ยังคงยืนเฝ้าไม่ยอมออกไป
"สวัสดีค่ะคุณย่า"
‘คุณย่า...’
เตชินทร์เอียงคอมองอย่างสนใจ สรรพนามที่อีกฝ่ายใช้กับคนปลายทาง เขานึกถึงใครไปไม่ได้...มารดาของเขาที่โทร.สายตรงมาจากสุราษฎร์ธานีแน่นอน
"น้องเป็นยังไงบ้าง เลี้ยงยากหรือเปล่าไหม"
คำถามของตวงรัตน์ ผู้เป็นย่าของตรีประดับทำให้คนฟังถึงกับพูดไม่ออก หล่อนนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ไม่มีใครรู้ว่าหล่อนต้องเผชิญกับอะไรบ้าง ทุกคนให้ความเห็นใจหล่อนในฐานะคนเลี้ยงลูกให้เตชินทร์ สงสารที่ต้องตกกระไดพลอยโจนและยังคงไปไหนไม่ได้ หนึ่งคือเพราะความรักความพันผูก และ...คำขอร้องของตวงรัตน์ที่มาจากความสงสารหลาน อีกฝ่ายย้ำเสมอว่าขอให้หล่อนช่วยเลี้ยงลูกอุ้มบุญไปสักระยะ ถ้าทารกน้อยเริ่มหย่านมเมื่อไหร่ ถึงวันนั้นค่อยว่ากันอีกทีว่าจะทำเช่นไร
"สัญญาณไม่ดีเหรอไหม ย่าไม่ได้ยินอะไรเลย"
การที่คนปลายทางย้ำมาอีกครั้ง ม่านไหมจึงรีบปรับโหมดอารมณ์ หล่อนไม่ควรนำปัญหาส่วนตัวไปทำให้ใครต้องกังวลใจ
"เลี้ยงง่ายมากค่ะคุณย่า ไม่อ้อน ไม่โกง แต่กินเก่งมากเลย ทุกคืนต้องตื่นมากินนม พออิ่มแล้วก็หลับยาว"
"ย่าโทร.หาตาเตแล้วไม่รับสาย บอกเขาให้หน่อยว่าให้เลิกบ้างานแล้วก็พาหลานมาเที่ยวสุราษฎร์บ้าง ใจคอจะให้คนแก่นั่งเครื่องไปหารึไง"
"ค่ะ...แล้ว...ไหม...จะบอกเขาให้นะคะ"
"แล้วทุกวันนี้ไหมได้เงินใช้หรือเปล่า เลี้ยงลูกให้เขา ก็ต้องมีค่าเหนื่อยนะ ไม่ใช่เลี้ยงให้ฟรีๆ ถ้าไม่มีไหมสักคน ไปจ้างคนอื่นสมัยนี้
ห้าพันยังไม่มีใครอยากจะเอา"
"ดะ ได้ค่ะ อาเตให้ไหมเดือนละหมื่นห้า ชดเชยที่ทำให้ไม่ได้ไปทำงานเหมือนคนอื่นๆ ส่วนค่าใช้จ่ายในบ้านและของน้อง ไหมไม่ต้องรับผิดชอบอะไรค่ะ"
น้ำเสียงที่ดูแปลกไปของม่านไหม ทำให้คนปลายทางสัมผัสได้ถึงความไม่ปกติ...ตวงรัตน์ผ่อนลมหายใจจนดังแทรกเข้ามาในลำโพง ในความคิดของคนเป็นย่าที่มีหลานยังเล็กมากนัก คิดไปเองว่าม่านไหมคงจะเบื่อชีวิตแบบนี้เต็มทน
"ไหม...ย่ารู้ว่าเลี้ยงเด็กนั้นเหนื่อย แต่...ช่วยอยู่เลี้ยงน้องไปสักระยะก่อนได้ไหม รอให้น้องโตพอช่วยเหลือตัวเองได้ จะให้คนอื่นเลี้ยงบอกตามตรงย่าไม่ไว้ใจ จะมีใครมารักเขาเหมือนคนที่อุ้มท้องเขามา จะว่าไปแล้ว...เขาก็ไม่ต่างไปจาก..."
"ไหมเข้าใจค่ะ...เข้าใจหน้าที่ของตัวเองดี...ไหมคงไม่ใจร้าย...ทิ้งเขาไป..."
นั่นคือสิ่งที่ม่านไหมรีบแทรกตัดบท รู้ดีว่าคนปลายทางหมายถึงอะไร ไม่อยากฟังคำตอกย้ำให้ปวดแปลบ ในเมื่อคนที่ยืนฟังอยู่ตรงนั้นไม่ยอมรับ...เขายังคงหลอกตัวเองว่าตรีประดับไม่ใช่ลูกของเธอที่เกิดกับเขา และพยายามทำตรงกันข้ามในสิ่งที่ผู้ใหญ่ขอร้อง ยามนี้หล่อนเหมือนคนอับจนหนทาง ถอยก็ไม่ได้ ก้าวต่อไปก็ไม่กล้า การยืนอยู่ตรงกลางของความขัดแย้ง มันทำให้หล่อนวางตัวลำบากเหลือเกิน
ตวงรัตน์วางสายไปแล้ว ม่านไหมหย่อนกายลงนั่งบนที่นอนด้วยความสับสนหนัก...ส่วนเตชินทร์ เขาไม่พูดอะไรกับหล่อนอีกเลย เสียงปิดประตูดังอยู่ข้างหลัง บอกให้รู้ว่าเขาออกไปแล้ว คล้ายกับรู้ดีว่ามารดาของเขานั้นโทร.มาคุยเรื่องอะไรกับเธอ
'ม่านมุก...ถ้าพ่อของหนูไม่ต้องการกันแล้ว...แล้วจะให้แม่ทนอยู่ให้เขาย่ำยีกันไปแบบนี้น่ะเหรอ’
หล่อนหันไปมองบานประตูที่ปิดสนิท กับความเป็นจริงด้านนอกอันแสนเจ็บปวด หล่อนเอนกายลงนอนแล้วปิดเปลือกตาลงเพื่อหลีกหนีเรื่องราวทั้งหมด อยากนอนหลับฝันไม่ต้องรับรู้อะไรในค่ำคืนนี้...เดี๋ยวมันก็ผ่านไป หล่อนพยายามปลอบใจตัวเอง…
ติดตามต่อ ไปตามลิ้งค์อีบุ๊คเลยค่ะ
https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiNzk4NDc4IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiNzAxODUiO30