เช้านี้กุสุมาลย์เป็นฝ่ายตื่นก่อน เธอพยายามงัดตัวออกจากคีมมนุษย์ที่กอดรัดรอบเอวคอดอย่างเบามือเพื่อไม่เป็นการรบกวนอีกฝ่าย เหลือบสายตาไปดูนาฬิกาในห้องก็พบว่าเพิ่งจะหกโมงกว่า คนที่เมาคอพับมาอย่างเขาควรได้นอนต่ออีกสักพักใหญ่ๆ จึงทำทุกอย่างด้วยเสียงอันแผ่วเบาด้วยไม่อยากปลุกคนที่ติดอยู่ในห้วงนิทรา
สาวน้อยลอบพินิจใบหน้าคมคายของแฟนหนุ่มแล้วระบายยิ้มออก ไม่เคยเห็นเขาเมามายเช่นนี้มาก่อน และเธอก็เพิ่งรู้ว่าคนคนนี้นั้น พอเหล้าเข้าปากแล้วขี้อ้อนสะบัด จะปล่อยให้ไปเมาสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้เด็ดขาด เกิดใครเจอชยางกูรเวอร์ชันนี้เข้าไปไม่หลงตายหรือ
แค่คิดว่าจะมีใครได้เห็นมุมนี้และได้ยินเสียงออดอ้อนออเซาะก็รู้สึกหวงจนเลือดขึ้นหน้าแล้ว ผู้ชายคนนี้น่ะ ถูกสงวนให้เป็นสิทธิ์ของเธอเพียงผู้เดียวเท่านั้น
หลังพาตัวเองออกจากพันธนาการได้ กุสุมาลย์ก็ย่องเบาไปเข้าห้องน้ำ ใช้เวลาจัดการธุระส่วนตัวไม่มากนัก เมื่อออกมาก็พบว่าคนตัวใหญ่ยังนอนหลับใหลเช่นเดิม
สองขาค่อยๆ ก้าวออกจากห้องนอนแล้วตรงไปยังชั้นล่าง เสียงกุกกักและบทสนทนาที่ดังมาจากห้องครัวเรียกให้เธอเดินไปหา พบว่าแม่ง่วนอยู่กับการทำอาหาร ส่วนพ่อนั่งดื่มกาแฟอยู่ใกล้ๆ
หญิงวัยกลางคนที่รับรู้ถึงการมาของลูกสะใภ้ก็ทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ตื่นแล้วเหรอลูก”
กุสุมาลย์ยกมือไหว้คนทั้งสองอย่างนอบน้อม “ค่ะ มีอะไรให้หนูช่วยไหมคะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ” หล่อนรีบละจากทัพพีไปโบกมือให้คู่สนทนา “เมื่อคืนแค่ช่วยดูแลตาเฉื่อยก็น่าจะเหนื่อยแล้ว ถ้ายังง่วงอยู่ไปนอนต่อก็ได้นะ แม่ไม่ว่าอะไร”
ใบหน้าหวานส่ายไปมา “นอนเต็มอิ่มแล้วค่ะ”
“อย่างนั้นไปนั่งก่อนเลยลูก เดี๋ยวได้กินข้าว”
“ไม่มีอะไรให้หนูช่วยจริงๆ เหรอคะ”
หล่อนหัวเราะน้อยๆ “ไม่ต้องๆ นั่งเลย เดี๋ยวแม่ทำเอง”
แม้แต่ผู้เป็นพ่อยังยิ้มแล้วชวนกุสุมาลย์มานั่งด้วยกัน เธอจึงละความพยายามที่จะดั้นด้นเป็นลูกมือแม่ครัว เพราะเธอแค่แสร้งถามเพื่อทำคะแนนเท่านั้น ยังคิดไม่ออกเลยว่าหากท่านตกปากรับคำจะทำอย่างไร ในเมื่อทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง รั้นให้พอหอมปากหอมคอเท่านั้น เมื่อมีทางรอด กุสุมาลย์ไม่รอช้าที่จะไปนั่งร่วมโต๊ะกับผู้เป็นพ่อ
“เมื่อคืนไอ้เฉื่อยมันเมาเรอะ”
เธอพยักหน้าก่อนตอบ “ฟ้องว่าถูกเพื่อนมอมเหล้าด้วยค่ะ”
ได้ยินเช่นนั้น บิดาหาได้เห็นใจ เขาแค่ขำแล้วยกกาแฟขึ้นดื่มด้วยท่าทางแสนสบายอารมณ์
“แล้ววันนี้จะไปไหนกันเหรอลูก หรืออยู่บ้าน”
กุสุมาลย์หันไปทางต้นเสียง “เฮียบอกว่าจะพาไปน้ำตกค่ะ”
หญิงวัยกลางคนพยักหน้าด้วยความเข้าใจ เพราะที่นี่อุดมไปด้วยธรรมชาติ สถานที่ที่พอจะท่องเที่ยวให้หายเบื่อก็มีแต่ภูเขา น้ำตก พวกห้างสรรพสินค้าหรือสถานบันเทิงไม่มีผุดขึ้นให้เห็น พอตะวันลับขอบฟ้า ชาวบ้านก็เตรียมตัวเข้านอนกันแล้ว เหล่าผีเสื้อราตรีมิอาจจะอาศัยในที่แห่งนี้ได้
ข้าวเช้ายังไม่ทันตกลงท้องสาวน้อยช่างยนต์สักคำ เสียงเรียกจากชั้นบนก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน “ก้าน”
ทั้งสามหันไปมองทางต้นเสียงเป็นตาเดียว ทว่าก็ไม่พบเจอกับใครที่จะเดินลงมา ทำให้คาดเดาได้ว่าเจ้าของเสียงงัวเงียคงจะเรียกหาเธอทั้งๆ ที่ตัวเองอยู่ในห้องนอนเป็นแน่แท้ กุสุมาลย์ได้แต่ยิ้มแหยให้ผู้ใหญ่ ด้านผู้ใหญ่ก็ส่ายหน้าน้อยๆ ทว่ารอยยิ้มกลับประดับอยู่ด้วยความเอ็นดู
“คบกับไอ้เฉื่อยเหมือนได้ลูกอีกคนล่ะนางหนูเอ๊ย”
คำพูดนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ฟังได้เป็นอย่างดี ก่อนเธอจะขอตัวไปดูอาการคนเมาที่พอเธอไม่ขานรับ เขาก็เรียกซ้ำอีกหน
ประตูห้องถูกเปิดออก ภาพที่เห็นตรงหน้าคือชยางกูรยันตัวลุกขึ้นนั่ง แผ่นหลังพิงไปกับหัวเตียง ใบหน้าก้มงุดลงต่ำ มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมขมับแล้วคลึงเบาๆ หวังคลายความปวดหัว
เสียงยานคางดังขึ้นอีกครั้ง “ก้าน”
“จ๋า”
ทันทีที่เธอขานรับ เขาก็เงยหน้าขึ้นมามอง นัยน์ตาปรือเหมือนคนนอนไม่พอ เธอจึงสาวเท้าไปหยุดอยู่ข้างเตียงแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ คนตัวสูง
ยังไม่ทันที่เธอจะได้ยิงคำถามใส่ก็โดนอีกฝ่ายบริภาษเสียก่อน “ชอบหาย”
“หายอะไร”
“ตื่นมาแล้วชอบหาย”
เธอทอดสายตามองคนตัวใหญ่แต่ขี้แง กับแค่การที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอเธออยู่บนเตียง เขาก็ยกมันมาเป็นประเด็นได้ ทีเธอตื่นทีหลังแล้วต้องตื่นมาคนเดียวไม่ยักจะเคยบ่น เพราะเข้าใจได้ว่าเขาตื่นก่อน แต่ชยางกูรนี่สิ ขี้งอนไม่รู้เรื่อง
ค่อนขอดอยู่ในใจ ทว่าสิ่งที่แสดงออกไปคือการดึงตัวของเขาเข้ามากอดแนบอก พอได้ซบหน้าลงที่หน้าอกหน้าใจ ดูเหมือนอาการจะดีขึ้นทันตาเห็น ไม่ปริปากบ่นเรื่องที่เธอหายไปจากเตียงโดยไม่บอกไม่กล่าวสักคำ
“ก็อยากให้เฮียพักผ่อนให้เต็มที่ ก้านก็เลยไม่ปลุก”
“ไปไหนมา” เขาไม่ตอบโต้ในประเด็นแรก แต่ยิงคำถามใหม่ใส่
“ไปนั่งคุยกับพ่อแม่มา” เธอตอบพอสังเขป “เฮียปวดหัวหรือเปล่า เดี๋ยวก้านเอาน้ำอุ่นมาให้กินนะ”
“ปวด แต่เดี๋ยวค่อยกิน ขอกอดก่อน” ไม่ว่าเปล่า วงแขนแข็งแรงยังกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น พฤติกรรมของชยางกูรตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับเด็กๆ เลย สงสัยที่พ่อว่ามาจะเป็นเรื่องจริง การคบหากับเขาคงทำให้เธอรู้สึกเหมือนมีลูกมากกว่ามีแฟน หากรวมเฉือน้อยไปด้วย ตอนนี้เธอคงกลายเป็นคุณแม่ลูก ที่ลูกคนหนึ่งก็ขี้อ้อนกับทุกคน แต่ลูกคนโตนี่สิ เหมือนจะอ้อนแต่กับเธอคนเดียว “ก้าน ขอโทษนะ”
ประโยคแสนฉงนเป็นเหตุให้กุสุมาลย์ดันตัวเขาออก สองสายตาสบเข้าหากัน เขามองเธออย่างสำนึกผิด ส่วนเธอทำได้เพียงเลิกคิ้วให้ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะเพราะนึกกังวล เขาจะขอโทษเธอด้วยเหตุผลใดกัน ในเมื่อไม่ได้ทำอะไรผิดสักอย่าง หรือตอนที่ไปดื่มเหล้ากับเพื่อนจะเผลอทำอะไรไม่ดีลับหลังเธอไว้
เสียงหวานเริ่มสั่นเครือ “ระ...เรื่องอะไรเหรอเฮีย”
“บอกว่าจะรีบกลับ”
กุสุมาลย์นิ่งงัน กะพริบตาถี่พร้อมใช้สมองขบคิดถึงสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ เมื่อหาเสียงตัวเองเจอจึงขยับปากเปล่งวาจา “อาฮะ แล้วยังไงต่อนะ”
“อยากกลับมาไวๆ”
“...”
“อยากรีบกลับมาหาก้าน แต่กลับดึก”
“เฮียบอกก้านแล้ว” เขามุ่นคิ้วมองพลางถามว่าตนบอกอะไรหญิงสาวไป “ก็...ก็บอกว่าอยากกลับมาหาก้านไง เมื่อคืนบอกไปแล้ว อีกอย่างมันก็ไม่ได้ดึกด้วย”
“เฮียบอกตอนไหน”
กุสุมาลย์เองก็งุนงงไม่ต่าง “เมื่อคืนไง เมื่อคืนเราคุยกันรู้เรื่องแล้ว”
“ไม่ได้คุย” เขาปฏิเสธก่อนย้ำชัด “ยังไม่ได้คุยกับก้านเลย”
เธอไม่ได้ตอบ แค่มองเขานิ่งๆ เท่านั้น สมองก็คิดไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้น และเธอสามารถตอบตัวเองได้เสร็จสรรพว่าช่วงเวลานั้นชยางกูรคงจะเมาจนจำอะไรไม่ได้ นั่นแปลว่าเขาอาจจะจำเรื่อง ‘ควายธนู’ ไม่ได้เช่นกัน เธอจึงปิดปากเงียบ ไม่คิดฟื้นฝอยหาตะเข็บ
ร่างบางเอ่ย “ความจำล่าสุดคืออะไร”
เขาทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ซ้อนท้ายไอ้ครามกลับบ้าน”
“หลังจากนั้น?”
เสียงทุ้มครางในลำคอ “อืม รู้ว่าเจอก้าน แต่มันปวดหัวมาก แล้วก็นึกอะไรไม่ออกอีกเลย” สาวน้อยผ่อนลมหายใจออกเพราะโล่งอก ชยางกูรที่มองดูจับสังเกตได้จึงเลิกคิ้วขึ้นสูง “ทำไม”
“เปล่า”
“มีอะไรแน่ๆ”
เขายังคงหรี่ตาแคบมองมายังเธอ ทำเอาคนมีชนักติดหลังรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ แต่ตั้งใจไว้แล้วว่าอย่างไรก็จะไม่พูด ปล่อยให้เป็นความลับของเธอและคนเมามายไม่ได้สติเท่านั้น
“หรือเฮียทำอะไรเปิ่นๆ ไป”
กุสุมาลย์ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ “ตอนเมาเฮียน่ารักมาก เหมือนเด็ก” เขาเพียงขมวดคิ้วเป็นปม ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร แต่เธอเข้าใจได้ว่าคงสงสัยไม่น้อยว่า ‘น่ารัก’ และ ‘เหมือนเด็ก’ มีที่มาจากพฤติกรรมแบบใด “ก็ขี้อ้อน น้วยๆ หน่อย”
“ให้เมาอีกไหม”
คนตัวเล็กส่ายหน้าพรืด “ไม่ต้องแล้ว รับมือยาก”
คิ้วเข้มเลิกขึ้น “ยากยังไง”
สาวเจ้าอดจะทอดถอนลมหายใจไม่ได้ เพราะในขณะที่ถาม เขาก็ล้มตัวลงนอนโดยการใช้หน้าตักเธอเป็นหมอน ฝ่ามือหนาเอื้อมมาจับที่อวัยวะเดียวกันแล้วออกแรงดึงให้มือของเธอวางทาบที่ศีรษะ
เสียงเข้มแปรเปลี่ยนเป็นเสียงออดอ้อนหวานหยด “ลูบหน่อยครับ”
ก็นี่ล่ะที่รับมือยาก ยังมีหน้ามาถามว่ายากอย่างไร
เธอทำตามความปรารถนาของแฟนหนุ่ม ฝ่ามือบางลูบไล้กลุ่มผมอย่างแผ่วเบา เธออยากหยอกว่าจะให้ร้องเพลงกล่อมด้วยหรือไม่ แต่ก็ยั้งปากทัน เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะบ้าจี้ตาม เธอก็คร้านจะเปิดคอนเสิร์ตตอนนี้เสียด้วย
“สรุปว่ายากยังไง” เขายังไม่วายถามต่อในประเด็นที่คุยค้างไว้
เธอตอบปัดๆ “แบบนี้แหละ”
“แบบไหน”
ลมหายใจถูกพ่นออกหนึ่งที ก่อนจะเสเปลี่ยนเรื่อง “วันนี้ยังพาไปน้ำตกได้ไหม” ใบหน้าคร้ามคมพยักหงึกๆ เพื่อตอบรับสิ่งที่เธอพูดไป “ไหวเหรอ ไม่ไหวไปพรุ่งนี้ก็ได้ ยังมีเวลา”
“ไหว แต่ขอนอนอีกสักตื่น”
หลังรับทราบถึงเจตจำนงของเขา มือบางเคลื่อนมาสอดใต้ศีรษะแล้วพยายามยกขึ้น ทว่าเขาก็ต้านแรงไว้พร้อมชักสีหน้าใส่เธอเล็กน้อย “อะไร อารมณ์เสียใส่เหรอ”
เสียงถูกปรับลง แต่ยังคงกล่าวโทษเธอ “ก็ก้านจะดันหัวเฮียออกทำไมเล่า บอกอยู่ว่าจะนอน”
“ก็เพราะเฮียจะนอนไง เลยจะให้ไปนอนหนุนหมอนดีๆ”
เขายังคงขืนตัวและนอนอยู่ท่าเดิม ยื้อยุดทำสงครามประสาทกันอยู่พักหนึ่ง ไร้วาจาที่เอื้อนเอ่ยต่อกัน มีเพียงการฟาดฟันทางกาย เธอดันหัวเขาขึ้น เขาทิ้งแรงลงที่เดิม เป็นแบบนี้อยู่หลายรอบจนในที่สุดหญิงสาวก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้ความดื้อรั้นของคนตัวโต
“ตักก้านนี่แหละ หมอนที่ดีที่สุด”
เธอไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป มองคนที่หลับตาพริ้มอย่างสบายอารมณ์ ริมฝีปากหนาบิดโค้งเป็นรอยยิ้มที่ดูอย่างไรก็เจ้าเล่ห์เกินคน
เสียงเรียกเอ่ยขึ้นเบาๆ ทว่าเคล้าความออเซาะที่อัดแน่นมาในประโยคสั้นๆ อย่างล้นหลาม “ก้านจ๋า”
“...จ๋า”
“ลูบหัวหน่อยจ้ะ ชอบ”
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว