ลมวสันต์โปรยรัก-บทที่16 คนดีในหัวใจ

โดย  ฟู่ซือซือ

ลมวสันต์โปรยรัก

บทที่16 คนดีในหัวใจ

ณ ชั้นที่ 13

เวลานี้มีคนกลุ่มหนึ่งสวมชุดดำจำนวน 7 คน นั่งอยู่บนหลังของสัตว์อสูรเทียมขนาดใหญ่ เป็นสัตว์เลื้อยคลานลักษณะคล้ายจระเข้ ที่จากศีรษะถึงสุดปลายหาง ยาวกว่า 10 จั้ง มากพอที่จะให้คนทั้ง 7 นั่งเป็นพาหนะได้ สมาชิกบางส่วนปิดบังใบหน้า แต่บางส่วนก็กล้าเปิดเผย โดยมีผู้นำที่แผ่รัศมีชนชั้นลมปราณสีเหลืองขั้นสูงสุด ร่างกายกำยำใบหน้าดุร้าย มีกลิ่นอายแห่งความตายตลบอบอวล...

ไม่นานจากทิศทางด้านซ้ายและด้านขวา ก็มีกลุ่มคนอีกสองกลุ่มคืบคลานเข้ามา ซึ่งคนทั้งสองกลุ่มก็อยู่บนหลังของสัตว์อสูรเทียมพาหนะเช่นกัน ด้านซ้ายเป็นแมลงป่องยักษ์ขนาดใหญ่ ผู้นำคือสตรีงดงามที่รอบกายเต็มไปด้วยไอหมอกพิษ สมาชิกด้านหลังเต็มไปด้วยหญิงสาวจำนวน 5 คน ที่สะโอดสะองร่างสูงระหง ชัดเจนในส่วนเว้าส่วนโค้งของเรือนกาย มีกลิ่นอายพิษคละคลุ้มเปี่ยมไปด้วยความอันตราย

ทางด้านขวามีสัตว์อสูรเทียมพาหนะ เป็นเต่าตัวใหญ่มีขายาวไม่เชื่องช้า ผู้นำคือชายแก่คนหนึ่งร่างกายผอมแห้ง มีเสียงไอแห้ง ๆ ดังเป็นระวิงราวกันคนขี้โรคที่ป่วยใกล้ตาย แต่รัศมีลมปราณที่เปล่งออกมานั้น เหนือกว่าอีกสองผู้นำอย่างชัดเจน เหมือนว่าจะมีพลังเพียงพอในการทะลวงระดับชนชั้นลมปราณสีส้มได้นานหลายปีแล้ว แต่ชายชราคนนี้กลับสะกดกลั้นเอาไว้ไม่ยอมฝ่าทะลุด้วยเหตุผลบางอย่าง เบื้องหลังยังมีเด็กหนุ่มอีก 6 คน ที่ใบหน้าขาวซีด เหมือนจะเศร้าสลดอยู่ตลอดเวลา มองเห็นปลอกคอสีดำที่พันธนาการเด็กหนุ่มเหล่านี้เอาไว้

นี่คือสามหัวหน้าหน่วยลับกลุ่มมังกรทอง
ภายใต้สังกัดของ เทพปรมาจารย์ ลู่เหรินฮ่าว...

“ไม่คิดว่าเจ้าจะร่วมภารกิจครั้งนี้ด้วยนะ... ตาแก่วิปลาส เย่ต้าเฟิง” หญิงสาวผู้มีหมอกพิษเอ่ยพลางหรี่ตามองมายังชายแก่ผอมแห้งที่นามว่า เย่ต้าเฟิง

“หึหึ...หวางเย่หลิง ถึงข้าจะวิปลาสแต่ข้าก็วิปลาสเฉพาะกับคนของข้า! มิได้มัวเมาเฉกเช่นหญิงคณิกาอย่างเจ้า ที่อายุจวนจะ 70 ปีอยู่รอมร่อแล้ว ยังดูดปราณหยางจากบุรุษเพศเพื่อคงสภาพความสาวของตนเองไว้...”

หวางเย่หลิง ถลึงตาดุดันขึ้นทันที นางเกลียดที่สุดคือคนที่พูดถึงอายุแท้จริงของนาง... ทั้งสองคล้ายไม่ลงลอยกันนัก ซึ่งน่าจะเกิดจากที่ช่วงวัยไล่เลี่ยกัน แต่รสนิยมในการเสพสมของทั้งสองคนกับเหมือนกัน!!

หวางเย่หลิง เป็นหญิงชราชอบเสพสมกับชายหนุ่มอายุน้อย ๆ เพื่อดูดกลืนปราณหยางแห่งบุรุษมาเป็นความอ่อนเยาว์ให้กับตนเอง... ส่วน เย่ต้าเฟิง นั้นก็แม้จะเป็นชายชรา ทว่าก็มิได้ปักใจต่อสตรีเพศ ชอบเสพสมเด็กหนุ่มเช่นกันทั้งยังมีความรุนแรงบางอย่างเป็นที่ตั้งจนทำให้เด็กหนุ่มหลายต่อหลายคนตายคามือของ เย่ต้าเฟิง มาแล้ว นั่นคือเหตุผลที่ หวางเย่หลิง เรียกว่าชายชราผู้นี้ว่า ตาแก่วิปลาส

ผู้ติดตามของ เย่ต้าเฟิง ทั้ง 6 คน แท้จริงแล้วก็มิใช่ลูกสมุน แต่เป็นเด็กหนุ่มที่ถูกบีบบังคับให้เป็นทาสบำเรอกามเสียมากกว่า เนื่องด้วย เย่ต้าเฟิง ชอบลงมือเพียงลำพังและด้วยอุปนิสัยในการเสพสมเช่นนี้ จึงไม่มีลูกน้องคอยติดตาม...

ชายกำยำใบหน้าดุร้ายอีกคนหนึ่ง เปี่ยมไปด้วยความเงียบขรึมมีนามว่า ฉุยป๋อ ซึ่งเวลานี้ภายในใจของ ฉุยป๋อ ก็ก่นด่า ลู่เหรินฮ่าว อยู่ไม่น้อยที่ให้ตนเองและคนในหน่วย ต้องมามาทำภารกิจร่วมกับ เย่ต้าเฟิง และ หวางเย่หลิง ที่ชื่นชอบการเสพสมกับบุรุษเช่นนี้...

“คนของข้าที่แอบติดตามขบวนศิษย์สำนักสายลมประจิมอยู่ห่าง ยืนยันแล้วว่าพวกมันหยุดพักขบวนกันในชั้นที่ 11 แต่อีกไม่นานก็คงเดินทางกันต่อ สำหรับ ซุน ที่เป็นเป้าหมาย สามารถสังเกตได้ง่ายมาก เพราะเป็นคนเดียวที่ใช้สัตว์อสูรวิหคพาหนะ แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้จับตัวได้ยากขึ้น...” ฉุยป๋อ กล่าวอธิบายเพื่อหยุดความบาดหมางที่เริ่มก่อตัวของ เย่ต้าเฟิง และ หวางเย่หลิง

ทั้งสองเมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงเริ่มดึงความสนใจกลับมาสู่ภารกิจ เพราะนี่มิใช่ภารกิจที่ง่ายดายนัก อีกทั้งหากพลาดท่าขึ้นมา คนอย่างเทพปรมาจารย์ ลู่เหรินฮ่าว ย่อมไม่ปล่อยทั้งสามคนแน่นอน...

“ได้ยินว่าขบวนของพวกมัน มียอดฝีมือคุ้มกันสองคน ความแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าพวกเราทั้งสามคน อีกทั้งยังมีขอบข่ายพลังที่คอยปกป้องพวกมันเอาไว้ การจะเล่นงานคงทำได้ไม่ง่าย” สาวงาม หวางเย่หลิง กล่าวขึ้น

เย่ต้าเฟิง แค่นเสียงออกมาเบา ๆ
“เหอะ... ต่ำกว่าชนชั้นลมปราณสีส้ม ข้าไม่เคยกลัวผู้ใดทั้งสิ้น!! หากเป็นการต่อสู้ตัวต่อตัว ข้าเชื่อมั่นว่าตนเองสามารถสังหารหนึ่งในสองผู้คุ้มกันได้ใน 30 กระบวนท่า ข้าจะจัดการผู้คุ้มกันชายให้เอง... ส่วนผู้คุ้มกันหญิงอีกคนหนึ่ง หวางเย่หลิง เจ้าจัดการก็แล้วกัน หากตึงมือเกินไปก็ยื้อเอาไว้จนกว่าข้าจะสังหารอีกคนเสร็จสิ้น แล้วจะตามไปสมทบด้วย

ฉุยป๋อ เจ้าและคนของเจ้า ก็จัดการ ซุน ที่เป็นเป้าหมายซะ!! อย่างไรในขบวนเดินทางก็เป็นเพียงกลุ่มผู้เยาว์ แม้จะมีกันหลายสิบคน แต่ความแข็งแกร่งโดยรวมก็ยังเป็นเพียงชนชั้นลมปราณสีเขียวที่คละเคล้าระดับขั้นเท่านั้น...”

ฉุยป๋อ และ หวางเย่หลิง ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเห็นพ้อง...

“แล้วเรื่องขอบข่ายพลังที่ปกป้องขบวนเล่า?! จริงอยู่ที่เมื่อไปยังชั้นสูง ๆ มันก็น่าจะหายไปได้เอง แต่ในชั้นสูง ๆ พวกเราก็จะเริ่มเคลื่อนไหวได้ลำบากเช่นกัน เกรงว่าความต่างชั้นจะค่อย ๆ ลดน้อยลง ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจัดการเสียตั้งแต่ในชั้นที่ 13 นี้...” ฉุยป๋อ กล่าวเสริมขึ้นมา

ชายแก่วิปลาส เย่ต้าเฟิง หัวเราะเสียงเย็น ก่อนจะกวาดตามองไปรอบ ๆ ซึ่งแน่นอนว่าสามารถพบเห็นยอดฝีมือพเนจร ที่กำลังเดินทางมาเก็บเกี่ยวโชควาสนาบนหอคอยอีกหลายต่อหลายคน ซึ่งคนเหล่านั้นเมื่อเห็นสัตว์อสูรพาหนะขนาดใหญ่สามตนที่มารวมตัวกัน ก็เผยแววตากริ่งเกรง และพยายามเดินหลบเลี่ยงกลุ่ม เย่ต้าเฟิง ในเวลานี้...

“หากคนไม่พอ ก็แค่หาเพิ่ม!! ข้าจะใช้ยอดฝีมือพเนจรพวกนั้น เป็นแนวหน้าเพื่อทำลายรูปแบบของขบวนเสียให้สิ้น เท่านี้ขอบข่ายพลังก็ไม่อาจครอบคลุมขบวนได้แล้ว จากนั้นพวกเราค่อยทำตามแผนที่วางไว้...” เย่ต้าเฟิง แสยะยิ้มน่าขนลุก ก่อนที่แหวนมิติจะเปล่งประกายขึ้นมา ในมือที่แห้งเหี่ยวเวลานี้ ปรากฏปลอกคอสีดำอีกสิบกว่าอัน ซึ่งเป็นปลอกคอแบบเดียวกับที่ใช้พันธนาการกลุ่มเด็กหนุ่มที่เป็นทาสบำเรอกาม...

...............................................................

ณ จุดพักขบวนศิษย์หลัก ชั้นที่ 11

“สวรรค์!! นี่เจ้ามีตัวเลขวาสนา ถึงชั้นที่ 111 เชียวงั้นหรือ!!” เมื่อเสียงหนึ่งร้องตะโกนขึ้นด้วยความตื่นตะลึง ทุกคนจากที่หลับตาทำสมาธิดูดซับลมปราณถึงกับต้องลืมตา และมองไปยังทิศทางดังกล่าวด้วยความพร้อมเพรียง

แม้แต่ เจี่ยโย่วเทียน ลั่วชิงเหอ หรือกระทั่ง ซวงฉวี่ สามอัจฉริยะรุ่นเยาว์ ก็ยังเผยใบหน้าอัปลักษณ์ชั่วครู่หนึ่ง พอได้ยินว่ามีการปรากฏตัวเลขสามหลักขึ้นมา และเมื่อมองไปพบเจอกับใบหน้าของ ซุน ทั้งสามคนก็ยิ่งมีลมหายใจที่ถี่กระชั้นขึ้น ในใจหวนนึกขึ้นว่า ซุน ยังคงเป็นผู้เหนือความคาดหมายได้เฉกเช่นทุกครา

สุดท้ายทั้งสามก็ยังอดได้ที่จะเงยหน้าขึ้น สังเกตตัวเลขของตนเองอย่างจริงจัง เจี่ยโย่วเทียน ได้ตัวเลข 90 ลั่วชิงเหอ ได้ตัวเลข 93 ส่วน ซวงฉวี่ ได้ตัวเลข 86 แน่นอนว่าตัวเลขของทั้งสามคนจัดเป็นตัวเลขที่สูงมาก เหนือยิ่งกว่าสองผู้คุ้มกันอย่าง จ้าวซือจี๋ และ หยวนอิงเล่อ เสียอีก แต่พอเปรียบวัดกับ ซุน แล้วก็ยังถือว่าห่างชั้น...

สามอัจฉริยะผู้เยาว์ ยังปรากฏใบหน้าเช่นนี้ มิต้องกล่าวถึงคนอื่น ๆ ที่ส่วนมากตัวเลขจะปรากฏแค่เพียงราว ๆ 50-70 เท่านั้นเอง ทุกคนในนี้ล้วนเป็นศิษย์หลักชั้นแนวหน้า มาตรฐานจึงนับว่าเหนือล้ำกว่าศิษย์สามัญอยู่มากโข ทว่าความภาคภูมิใจทั้งหมดแทบจะพังทลายเมื่อเจอตัวเลขวาสนา 111 ของ ซุน

ซุน เชิดหน้าขึ้นน้อย ๆ มีรอยยิ้มประดับ ผายมือไปยังลูกแสงทรงกลม เพื่อให้ทุกคนได้เห็น เอ่ยปากเนิบนาบตามประสาคนมักอวด เมื่อได้รับโอกาส... “ทั้งที่ทำใจไว้แล้วว่าตัวเลขวาสนาคงจะออกมาราว 105-106 แต่ดันเลยเถิด เกินความคาดหมายออกมาเช่นนี้ ข้าเองก็ค่อนข้างตกใจ...

แต่พวกท่านอย่าได้คิดมาก แล้วนำไปเปรียบเทียบกันตนเองกันเสียเล่า... บางสิ่งบางอย่างทำไปแล้วกำลังใจถูกตัดพ้อ ก็ไม่ควรตอกเย้าระกำใจ... ตัวเลขของข้าถึงแม้จะปรากฏมากมาย ทว่าสุดท้ายจะปีนป่ายพิชิตถึงชั้นที่เท่าใด นั่นต่างหากจึงควรให้ความสำคัญ...”

น้ำเสียงของ ซุน เรียบนิ่งสงบ ไม่มีความเย่อหยิ่ง ไม่มีความยโส... แต่ความรู้สึกของผู้ที่ได้ยินได้ฟัง ราวกับถูกสาดโครมด้วยน้ำเย็นเยือกเข้าใส่ใบหน้า!! แต่ละคนล้วนใบหน้าบิดเบี้ยว บางยังคงกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน กำหมัดแนบแน่นด้วยความหมั่นไส้

เตียซวงซวง หัวเราะขบขันน้อย ๆ ด้วยท่าทีทรงเสน่ห์ของนาง ทางด้าน ฉีลู่ชิง ก็ยังต้องถอนลมหายใจออกมา เผยท่าทีละเหี่ยเต็มทน ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ไม่สามารถทำความคุ้นชินกับท่าทีเช่นนี้ของ ซุน ได้เลย...

ซุน เห็นว่าคนอื่น ๆ เริ่มเขม็งมองมา ก็กลืนน้ำลายฝืนเคือง... ก่อนจะหยิบเต้าสุราขึ้นมา เตรียมจะอ้าปากเอ่ยเนิบนาบบรรยายถึงสรรพคุณ แต่สุดท้ายกลับพบรองเท้าหลายข้างที่ขวางตรงมา พร้อมเสียงคำรามไม่พอใจ และไม่อยากฟังการขายสุราของ ซุน อีกแล้ว... ทำเอา ซุน ถึงกับหน้าเหยเก ระเบิดวิชาตัวเบาหลบออกไปด้านข้างขบวนอย่างรวดเร็ว...

เมื่อหลายคนเริ่มสงบสติอารมณ์ ก็เริ่มพูดคุยกันว่า แมวสวรรค์ ผู้นี้ยากที่จะเชื่อถือ อาจใช้วิธีการบางอย่างเปลี่ยนแปลงตัวเลขเพื่อเรียกความสนใจในการขายสุราสูตรใหม่อะไรนั้นก็เป็นได้... เพราะตลอดการบันทึกข้อมูลในอดีตถึงปัจจุบันของหอคอยพยัคฆ์ขาว ไม่เคยปรากฏใครที่มีตัวเลขวาสนาถึงสามหลักมาก่อน…

ซุน มีพรสวรรค์ธาตุในทุกด้าน หนึ่งในนั้นยังเป็นปราณธาตุแสง การจะแก้ไขลูกแสงทรงกลม ก็ใช่ว่าจะทำไมได้ เพราะได้ยินว่ามียอดฝีมือหลายคน พยายามหาแก้ไขตัวเลขของลูกแสงทรงกลมและก็ยังมีบางส่วนที่ทำได้สำเร็จอีกด้วย ผู้คนจึงมักจะเชื่อถือตัวเลขที่ปรากฏบนประตูวาสนาตอนที่เข้ามาเสียมากกว่าตัวเลขจากลูกแสงทรงกลม...

น่าเสียดายที่การเข้ามาครั้งนี้เป็นไปอย่างเร่งร้อน
จึงไม่ได้มีใครเป็นสักขีพยานในตัวเลขแท้จริงของ ซุน

ซุน ที่ใช้อาคมหูทิพย์ รับฟังเสียงที่นินทามาโดยตลอด ยังอดไม่ได้ที่กระฟัดกระเฟียด รู้สึกไม่ยุติธรรมที่ตนเองถูกใส่ความ หาว่าเป็นนักต้มตุ๋มหลอกลวง ทั้งที่ตนเป็นผู้บริสุทธิ์ใจอย่างถึงที่สุด... แต่การแก้ต่างก็คงไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น สุดท้ายก็ทำให้ได้เพียงปล่อยให้ทุกคนเข้าใจไปเช่นนั้น นั่งกัดฟันกรอดยามเข้าฌานดูดซับลมปราณ...

หลังจากที่เวลาผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป... เจี่ยโย่วเทียน ก็ออกคำสั่งเคลื่อนขบวนอีกครั้ง เวลามีจำกัดแค่เพียง 3 วัน ไม่มากไปกว่านั้น การหยุดพักเนิ่นนานจะยิ่งทำให้เสียโอกาสในการไปดูดซับลมปราณในชั้นที่สูงไปกว่านี้...

ขบวนจึงออกเดินทางอีกครั้งฝ่ามรสุมภายในชั้นนี้ 11 และชั้นที่ 12 อย่างรวดเร็ว... จวบจนแตะย่างเข้าสู่ในพื้นที่ชั้น 13 ลักษณะของชั้นนี้ เป็นพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา บนท้องฟ้ายังมองเห็นดวงอาทิตย์จำลองอีก 3 ดวง ที่แผ่ความร้อนมากมายออกมา เป็นหนึ่งในชั้นที่มีต้องระวังอันตรายจากหลุมทรายที่คอยดูดผู้คนลงไป และยังเต็มไปด้วยความร้อนที่ทำให้สูญเสียพลังงานในร่างมากกว่าชั้นอื่น ๆ

“รีบไปกันเถอะ... ยิ่งอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ ร่างกายก็จะยิ่งสั่งสมความอ่อนล้า...” เจี่ยโย่วเทียน หันมากล่าวกับคนอื่น ๆ ก่อนจะพุ่งทะยานในเส้นทางปลอดภัย ตามที่ถูกบันทึกไว้ในแผนที่ โดยไม่ระแคะระคายเลยว่า การใช้เส้นทางปลอดภัยในทุก ๆ ครั้งตามแผนที่เช่นนี้ แม้จะปลอดภัยจากมรสุมในชั้น แต่มันกลับทำให้เป็นเรื่องง่ายต่อการวางกับดักของศัตรู...

........................................................

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว