ลมวสันต์โปรยรัก-บทที่10พี่ชายที่เเสนดี

โดย  ฟู่ซือซือ

ลมวสันต์โปรยรัก

บทที่10พี่ชายที่เเสนดี

“อ้าว เสี่ยวเฉ่า! หนาวขนาดนี้ยังขึ้นเขาไปวางกับดักอยู่อีกเหรอ?” ขณะที่เธอกำลังลังเล เสียงของคุณชายสามก็ดังขึ้น


หยูเสี่ยวเฉ่าหันไปมองและเห็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มก้าวลงมาจากรถม้าคันหรู นี่มันคุณชายสามตระกูลโจวไม่ใช่เหรอ?


“คุณชายสาม บังเอิญจัง ข้ากำลังจะไปส่งสัตว์ที่ท่านสั่งไว้อยู่พอดีเลย! วันนี้เราจับมาได้เยอะเลยล่ะ ข้าแบกมาเองไม่ไหวก็เลยขอให้ท่านพ่อมาช่วย!” หยูเสี่ยวเฉ่าดันตัวพ่อให้เข้าไปใกล้โจวซือชู่


หยูไห่ยิ้มเป็นเชิงขอโทษ “ท่านผู้จัดการหลิว ข้าขอโทษด้วยจริงๆ! ร้านเจินซิวสั่งจองสัตว์พวกนี้กับลูกสาวของข้าเอาไว้แล้ว คราวหน้าถ้ามีโอกาสข้าจะมาขายให้กับผู้จัดการหลิวนะครับ”


สีหน้าของผู้จัดการหลิวบึ้งตึงขึ้นทันที เขาถ่มน้ำลายตามหลังหยูไห่ “เป็นแค่พรานจนๆสกปรกแท้ๆ สมควรจะมาคุย ‘ธุรกิจ’ กับข้ารึไงกัน? พนักงานทุกคนจงฟัง! วันหน้าเราจะไม่รับสัตว์ที่ตระกูลหยูส่งมาเด็ดขาด! ให้พวกมันเกาะติดร้านเจินซิวไปนั่นแหละ! ฮึ่ม!”


ถึงผู้จัดการหลิวจะพูดอย่างหยิ่งยโสแบบนั้น แต่ในใจเขารู้สึกทุกข์ใจมาก ปีนี้หิมะตกหนักมากจริงๆ ช่วงพายุหิมะแบบนี้มีพรานไม่กี่คนหรอกที่กล้าขึ้นภูเขาไปล่าสัตว์ ดังนั้นร้านอาหารในเมืองทุกร้านจึงขาดแคลนเนื้อสัตว์ ไม่งั้นเขาคงไม่ลดตัวลงไปทำท่าสนิทสนมกับคนที่เป็นแค่พรานหรอก


ผู้จัดการหลิวได้แต่มองสัตว์พวกนั้นอย่างอิจฉา ส่วนคุณชายสามก็รู้สึกแปลกใจและพอใจมาก โจวซือชู่ยิ้มอย่างดีใจขณะที่มองกวางบนบ่าของหยูไห่


“ท่านอาหยูนี่เป็นผู้ช่วยชีวิตข้าจริงๆ! ตอนสิ้นปีท่านผู้พิพากษากับพวกขุนนางชนชั้นสูงในเมืองจองโต๊ะที่ร้านเจินซิวไว้หมดแล้ว เรากำลังกังวลอยู่เลยว่าจะไม่มีอาหารจานเด็ดให้พวกเขา! มีกวางตัวนี้ ชื่อเสียงของร้านเจินซิวของเราจะขึ้นไปอีกระดับอย่างแน่นอน!”


“ชู่เอ้อร์ นี่คือผู้ช่วยชีวิตร้านเจินซิวที่ลูกพูดถึงอย่างงั้นเหรอ?” เสียงอันอ่อนโยนและนุ่มนวลดังออกมาจากรถม้า


คุณชายสามโจวยิ้มให้เสี่ยวเฉ่า แล้วตอบคนที่อยู่ในรถม้าว่า “ท่านแม่ เด็กผู้หญิงคนนี้เป็นคนให้สูตรซอสหอยนางรมกับพวกเรามาครับ นางชื่อหยูเสี่ยวเฉ่า เราชนะร้านที่เก่าแก่กว่าและมีชื่อเสียงมากกว่าได้ก็เพราะซอสหอยนางรมนี่แหละ เพราะงั้นมันไม่ใช่การพูดเกินจริงเลยที่ว่านางคือผู้ช่วยชีวิตของร้านเจินซิว”

นางโจวไม่สะดวกออกมาจากรถม้าเพราะมีชายแปลกหน้าอยู่ด้วย เธอจึงแสดงความขอบคุณอยู่ในรถม้า “ขอบคุณมากคุณหนูหยูที่มีน้ำใจสอนสูตรลับของคุณหนูให้เรา ชู่เอ้อร์ อย่าลืมเชิญคุณหนูคนนี้ไปที่บ้านเราบ้างนะ แม่อยากขอบคุณนางด้วยตัวเอง”


หยูเสี่ยวเฉ่ารีบพูดขึ้นว่า “นายท่านเกรงใจเกินไปแล้ว ถ้าข้าเก็บสูตรซอสหอยนางรมเอาไว้กับตัว ก็มีแค่ครอบครัวของข้าที่ได้กิน แต่ถ้าข้าเอาสูตรให้ร้านเจินซิวล่ะก็ จะมีคนอีกมากที่ได้กินอาหารอร่อยๆ สูตรอาหารจะสะท้อนคุณค่าของมันออกมาได้เมื่ออยู่ในมือของคนที่เห็นคุณค่าและใช้มันเป็น ไม่คิดอย่างนั้นเหรอคะ?”


เมื่อนางโจวได้ยินคำตอบของเธอก็อดมองเด็กหญิงชาวบ้านคนนี้ด้วยสายตาที่แตกต่างไปไม่ได้ วิธีการพูดและการคิดของเธอดีกว่าสตรีสูงศักดิ์บางคนในเมืองซะอีก


“ท่านแม่กลับไปก่อนเถอะนะครับ ข้าต้องไปจัดการงานที่ร้านอาหาร” ตอนนี้โจวซือชู่สนใจแต่สัตว์ที่จับมา เขาไม่ห่วงเรื่องเงินเพราะเรื่องนี้มีผลกระทบกับชื่อเสียงของร้านด้วย

หากร้านเจินซิวนำกวางทั้งตัวขึ้นโต๊ะงานเลี้ยงได้ในขณะที่ร้านอาหารอื่นๆไม่สามารถหาเนื้อสัตว์มาขายได้ ชื่อเสียงของร้านเจินซิวจะสูงขึ้นไปอีกระดับอย่างแน่นอน


“เสี่ยวเฉ่า เจ้านี่เป็นดาวนำโชคของข้าแท้ๆ! เนื้อสัตว์ที่เราเก็บไว้ก่อนหิมะตกขายหมดไปนานแล้ว ตอนนี้ลูกค้าประจำที่มีชื่อเสียงบางคนร้องขออาหารจานเนื้อที่สดๆใหม่ๆ ตอนนี้ข้าเครียดจนผมหงอกหมดแล้วเนี่ย ตอนสิ้นปีถ้าอาหารในเมนูยังธรรมดาเกินไปล่ะก็ มันไม่เข้าท่าแน่ๆ!” โจวซือชู่รับสัตว์จากมือของเสี่ยวเฉ่าแล้วเดินอยู่ข้างๆเธอ

หยูไห่ที่เดินอยู่ข้างหลังรู้สึกตกตะลึงอยู่ในใจ ‘ลูกสาวของเราไปสนิทสนมกับนายน้อยร้านเจินซิวตั้งแต่ตอนไหน?”


เมื่อพวกเขาไปถึงร้านเจินซิว คุณชายสามก็สั่งให้พนักงานเอาสัตว์พวกนั้นเข้าไปในครัว หลังจากนั้นเขาก็เชิญพ่อและลูกสาวเข้าไปในห้องส่วนตัวของเขาและอุ่นเตาอั้งโล่ เขามองใบหน้าที่แดงขึ้นของเสี่ยวเฉ่าแล้วอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้


“เจ้าต้องหนาวมากแน่เลยใช่ไหม? มาอยู่ข้างๆเตาเร็วเข้า ตัวจะได้อุ่นๆ บนภูเขามีหิมะตั้งเยอะแยะ ไปจับสัตว์ตอนนี้ต้องลำบากมากแน่ๆ ท่านอาหยู ฝีมือการล่าของท่านอานี่ยอดเยี่ยมจริงๆเลย!”


หยูไห่เอามือกุมถ้วยชาร้อนๆไว้เพื่อให้อุ่น เขามองการตกแต่งที่หรูหราอลังการในห้องส่วนตัวแล้วแอบถอนหายใจ ‘ข้ามาขายสัตว์ที่ร้านเจินซิวไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ไม่เคยได้รับการปฏิบัติแบบนี้เลย ต้องขอบคุณเสี่ยวเฉ่าแล้วจริงๆ!”


เห็นนางโจวบอกว่าพวกเขาเรียนสูตรทำซอสหอยนางรมจากลูกสาวของเขา เขาไม่เคยรู้เลยว่าลูกสาวของเขามีความสามารถเช่นนี้ด้วย ในใจของหยูไห่รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก


เมื่อหยูไห่ได้ยินนายน้อยของร้านเจินซิวพูดกับเขาอย่างสุภาพ เขาก็รีบยืดตัวทำหลังตรงแล้วตอบว่า “คุณชายสามโจวชมเชยเกินไปแล้ว วันนี้ข้าก็แค่โชคดี ไม่คิดด้วยซ้ำว่าแค่วางกับดักเราจะจับสัตว์มาได้ถึงขนาดนี้”

“ท่านอาหยูเรียกข้าว่าซือชู่เถอะครับ ข้ารู้ว่าเสี่ยวเฉ่าเก่งเรื่องวางกับดัก แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นความสามารถที่สืบทอดกันในตระกูลหยู!” น้ำขิงที่โจวซือชู่สั่งให้ต้มมาถึงแล้ว เขาส่งมันให้หยูไห่กับเสี่ยวเฉ่าด้วยตัวเอง


เมื่อเห็นว่าลูกสาวรับน้ำขิงไปด้วยท่าทางสบายๆ หยูไห่ก็ทิ้งพิธีการและท่าทางแบบเป็นทางการลง เขาดื่มน้ำขิงตอนที่มันยังอุ่นๆ เมื่อร่างกายของเขาอุ่นขึ้นแล้วเขาก็ยิ้มและพูดว่า “เราไม่ใช่ครอบครัวที่ทุ่มเทให้กับการล่าสัตว์หรอกครับ ข้าเรียนวิธีการล่าสัตว์มาจากท่านพี่จ้าวที่เป็นพรานเหมือนกัน ท่านพี่จ้าวปู้ฝานคือผู้เชี่ยวชาญการล่าสัตว์ตัวจริงเลย!”


“ร้านเจินซิวของเราต้องขอบคุณท่านอาหยูกับท่านอาจ้าวที่ช่วยเหลือเรามาตลอด เพื่อแสดงความขอบคุณ ข้าขอเลี้ยงอาหารพวกท่านตอนบ่ายนี้นะครับ หวังว่าท่านอาหยูจะรับความจริงใจนี้ของผม......” ไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ทางธุรกิจของพวกเขา โจวซือชู่ก็รู้สึกว่าความใจกว้างมีน้ำใจและความช่วยเหลือที่ลูกสาวของหยูไห่ให้กับเขามาก็มากพอที่จะทำให้เขาปฏิบัติกับสองพ่อลูกอย่างอบอุ่นและจริงใจ


หยูไห่รีบปฏิเสธ “คุณชายสามอย่าสิ้นเปลืองเงินทองเลย เรายังต้องรีบไปที่ร้านยาถงเหรินและขอให้หมอซุนตรวจอาการของเฉ่าเอ้อร์อีก”


“เสี่ยวเฉ่าไม่สบายอย่างงั้นเหรอ? หมอซุนแห่งร้านยาถงเหรินเก่งมากเลยนะ ข้าให้คนไปเชิญหมอซุนมาที่นี่ดีไหม?” โจวซือชู่มองสำรวจหยูเสี่ยวเฉ่าอย่างละเอียดและรู้สึกโล่งอกที่เห็นว่าเธอไม่ได้ป่วย

หยูเสี่ยวเฉ่าดื่มน้ำขิงขมๆด้วยใบหน้าเหยเก แล้วโบกมือปฏิเสธเขา “ข้าสบายดี ก็แค่ตกใจนิดหน่อยตอนเช้า แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว ท่านพ่อน่ะขี้กังวลเกินไปแล้ว”


หยูไห่คิดในใจ ‘เมื่อเช้าลูกถึงขั้นเป็นลมเลยนะ จะบอกว่าพ่อขี้กังวลเกินไปได้ยังไงกัน?’

หยูเสี่ยวเฉ่าพูดต่อว่า “แต่ช่วงนี้อากาศหนาวขึ้นทุกที ไม่รู้ว่าท่านพี่ใหญ่มีเสื้อผ้าอุ่นๆใส่รึเปล่า คุณชายสามโจวคะ แถวนี้มีร้านขายเสื้อผ้ารึเปล่า? ข้าอยากซื้อเสื้อกันหนาวให้ท่านพี่ใหญ่ใส่”


โจวซือชู่พูดด้วยสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย “บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกข้าว่า ‘คุณชายสามโจว’ มันฟังดูเหมือนคนแปลกหน้า ข้าแก่กว่าเจ้า 5 ปี จะเรียก ‘พี่โจว’ ก็ไม่ผิดอะไรนี่ ใช่ไหมล่ะ? เจ้าไม่ต้องไปซื้อเสื้อกันหนาวหรอก ข้ามีเสื้อกันหนาวที่บ้านเยอะแยะ มันเล็กเกินไปข้ายังไม่ได้ใส่เลย ถ้าไม่รังเกียจก็เอาไปให้พี่ชายของเจ้าใส่ก็ได้นะ”



“ไม่ อย่านะ! พี่ของข้าเป็นเด็กฝึกงานที่ร้าน ไม่เหมาะแน่ถ้าให้เขาสวมชุดหรูๆของท่าน! ซื้อเสื้อกันหนาวที่ทำจากผ้าฝ้ายหยาบๆดีกว่าค่ะ ไม่สะดุดตาดี!” หยูเสี่ยวเฉ่ามองชุดคลุมผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มบนตัวเขา มันไม่เหมาะกับชาวบ้านยากจนอย่างพวกเขาแน่ๆ


คนรับใช้ของโจวซือชู่ที่ทำตัวเหมือนเงาไม่มีตัวตนก็พูดขึ้น “คุณชายครับ ท่านแม่ของข้าทำเสื้อกันหนาวให้ข้าตอนต้นปี เมื่อหลายวันก่อนข้าเอามาลองแล้วมันสั้นเกินไป เสื้อทำจากผ้าฝ้าย ข้ายังไม่เคยใส่เลยสักครั้ง ถ้าคุณหนูหยูไม่รังเกียจล่ะก็......”


“เอามาให้ข้าดูซิ! แล้วก็แวะเอาผ้านวมที่บ้านมา 2 ผืนด้วย อากาศหนาวมาก เราไม่อยากให้น้องหยูฮังหนาวจนแข็งใช่ไหมล่ะ?” หลังจากโจวซือชู่ออกคำสั่งเสร็จ เขาก็รู้ว่าหยูเสี่ยวเฉ่าจะไม่อยู่กินข้าว จึงสั่งพนักงานให้เอาสัตว์พวกนั้นไปชั่ง


สักพักพนักงานก็กลับมาจากในครัวและรายงานว่า “กวางตัวผู้ 260 ชั่ง ส่วนพวกตัวเล็กๆรวมกันได้ 35 ชั่งครับ”


โจวซือชู่ย่อมไม่กดราคาพวกเขาอยู่แล้ว หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พูดว่า “เมื่อก่อนกวางราคา 60 อีแปะต่อชั่ง แต่ราคาตลาดของหน้าหนาวนี้มันขึ้นถึง 100 อีแปะต่อชั่ง กวางที่พวกท่านจับมายังมีชีวิตอยู่ เลือดกวางกับจู๋กวางเป็นของดีทั้งคู่......เอางี้ก็แล้วกัน กวางตัวนี้ข้าให้ 120 อีแปะต่อชั่ง ส่วนพวกตัวเล็กๆก็ให้ราคาเป็นสองเท่าเหมือนกัน คิดว่าไง?”


“เนื้อกวางขายได้ 100 อีแปะ แต่กวางของเราหนักขนาดนั้นก็เพราะขน จะให้เราเรียกราคา 120 อีแปะต่อชั่งได้ยังไงกัน แค่ 100 อีแปะต่อชั่งก็เอาเปรียบท่านมากพอแล้ว” หยูไห่ไม่ใช่คนที่ชอบเอาเปรียบคนอื่น

โจวซือชู่หัวเราะลั่น “ถ้าพูดเรื่องเอาเปรียบ เราต่างหากที่เป็นฝ่ายได้กำไรมากที่สุด เราสามารถขายกวางตัวนี้ได้ในราคาที่สูงขึ้นอย่างน้อย 10 เท่าจากที่ซื้อมา ถ้าท่านอาหยูไม่ส่งกวางตัวนี้มาที่ร้านเจินซิวเพราะเห็นแก่มิตรภาพของเรา เราจะใช้มันทำเงินได้ยังไง? ข้าไม่ได้ว่านะครับท่านอาหยู แต่ท่านอาไม่ได้ตรงไปตรงมาเหมือนลูกสาวของท่านอาเลย”


หยูไห่ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเมื่อเห็นท่าทางผ่อนคลายและสบายใจของลูกสาว ‘ดูท่าทางแล้วนี่ไม่ใช่การตกลงซื้อขายครั้งแรกของพวกเขาแล้วแน่ๆ ลูกสาวเขาเริ่มทำธุรกิจกับร้านเจินซิวตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?’

กวางที่หนัก 200 กว่าชั่งนั้นขายได้ 31 ตำลึง 200 อีแปะ พวกสัตว์ตัวเล็กขายได้ 1,750 อีแปะ สุดท้ายคุณชายสามโจวก็ปัดให้เป็น 33 ตำลึงถ้วน


“หนังกวางมีค่ามาก พวกท่านอยากได้รึเปล่า?” ราคาของหนังกวางจะคำนวนแยกต่างหาก หนังกวางที่ครบสมบูรณ์ไม่เสียหายจะมีราคาอย่างน้อย 10 ตำลึง


หยูไห่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดกับลูกสาวว่า “เก็บหนังกวางไว้เถอะ พอฟอกแล้วมันจะนุ่มและแข็งแรงมาก แถมกันน้ำด้วย พ่อทำรองเท้าหนังกวางให้พวกเจ้าได้ 2 คู่ คราวหน้าเวลาไปหาของทะเลที่ชายหาดเท้าของเจ้าจะได้ไม่เปียก”

ถ้าเขาไม่ใช่พ่อของเธอ หยูเสี่ยวเฉ่าคงตอบเขาไปว่า ‘โง่รึเปล่าเนี่ย?!’ 10 ตำลึงซื้อรองเท้าได้ตั้งหลายคู่ ยิ่งกว่านั้นเขาจะให้เราใส่รองเท้าหนังกวางไปเก็บของทะเลที่ชายหาดด้วย เราต้องเก็บของทะเลเท่าไหร่ถึงจะเท่าราคารองเท้าหนังกวางหนึ่งคู่?


“เราไม่อยากได้หนังกวางหรอก ให้เป็นเงินมาเลยค่ะ!” หยูเสี่ยวเฉ่าตัดสินใจเอง ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าพ่อของเธอรักลูกมากจริงๆ แต่บางครั้งเขาก็ไม่เด็ดขาด


โจวซือชู่ไม่พูดอะไรและเอาธนบัตรที่มีค่า 50 ตำลึงออกมาหนึ่งใบ หยูเสี่ยวเฉ่ายื่นมือไปรับธนบัตรใบนั้นมาโดยไม่ให้หยูไห่มีโอกาสปฏิเสธ “ว้าว! นี่คือธนบัตรที่คนเค้าพูดถึงนี่! มีข้อจำกัดอะไรไหม? จะไม่หมดอายุใช่รึเปล่า?”


โจวซือชู่กรอกตากับท่าทางที่ไม่เรียบร้อยเอาซะเลยของเธอ เขายิ้มพร้อมกับหยิกแก้มเธอแล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วง! ธนบัตรใบนี้มาจากธนาคารที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่ดำเนินงานโดยตระกูลซาง พวกเขาเป็นตระกูลที่รวยที่สุดในราชวงศ์หมิง ธนาคารนี้ไม่ล้มละลายหรอก! หรือต่อให้เจ๊งขึ้นมาจริงๆ เจ้าก็เอามันมาแลกเงินกับข้าก็ได้”


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว