บทที่ 11 ได้รับการช่วยเหลือ
เว่ยฉางอันไม่คาดคิดว่าในสถานการณ์เช่นนี้ มารดาผู้นี้ยังห่วงเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าผู้อื่น ทำให้ใบหน้าของเว่ยฉางอันเย็นชาขึ้นในทันที
“ข้าได้สั่งให้บุรุษทั้งหมดถอยห่างไปแล้ว ท่านต้องการช่วยชีวิตบุตรสาวของท่านหรือไม่ ถ้าต้องการก็ปล่อยมือเสีย”
ในเวลาวิกฤตินี้ เว่ยฉางอันก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาและมอบตัวเลือกให้แก่สตรีวัยกลางคนผู้นี้
“นะ...นี่…”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเว่ยฉางอัน สายตาของก็เต็มไปด้วยความสับสน นางพลางหันไปมองรอบตัวก็พบว่าบุรุษทั้งได้หมดหายไปแล้วจริง ๆ และก้มหน้ามองบุตรสาวของตน ที่นางร่างของชักกระตุกดวงตาก็เหลือกขึ้นจนเห็นเพียงลูกกระตาขาว มุมปากมีฟองสีขาวไหลออกมา
“ได้โปรด ช่วยบุตรสาวของข้าด้วย!”
ในที่สุดนางก็ตัดสินใจได้ถูกต้อง
เมื่อเว่ยฉางอันรู้สึกว่ามือที่จับตนได้คลายออก ก็รู้ได้ในทันทีว่านางได้ตัดสินใจภายในแล้ว จึงเริ่มทำการรักษาทันทีที่นางกล่าวคำร้องขอนั้นจบ
“มานี่ ทำตามข้ามา อย่ากังวล เพียงฟังคำข้า มา… หายใจเข้า...ดี ตอนนี้หายใจออก…”
ในจังหวะที่ไม่มีผู้ใดสังเกต เว่ยฉางอันได้ใส่ยาเม็ดหนึ่งลงในปากของคุณหนูผู้นั้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นสีหน้าของนางก็ค่อย ๆ สงบลง จิตใจก็มีสติมากขึ้น สามารถทำตามคำสั่งของเว่ยฉางอันได้
เว่ยฉางอันมองสตรีที่อยู่ในอ้อมแขนของตน คิดในใจว่านางโชคดีที่ตนได้เตรียมยาไว้หลายชนิด เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุร้ายในงานเลี้ยงวันนี้
โชคดีที่มียาชนิดหนึ่งสามารถระงับอาการของนางได้ชั่วคราว มิฉะนั้นแม้นางก็ไม่มั่นใจว่าจะช่วยชีวิตคุณหนูผู้นี้ไว้ได้
“โชคดียิ่งนัก ”
เมื่อเห็นบุตรสาวปลอดภัย สตรีกลางคนก็ได้ผ่อนลมหายใจออกมาทันทีพลางมือปิดปากและร้องไห้ออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“ฮูหยิน ท่านอย่าร้องไห้เลย บุตรสาวท่านมิเป็นอันใดแล้ว”
เมื่อเห็นว่าอาการของคุณหนูที่ล้มลงไปครู่ดีขึ้น เหล่าคุณหนูจากตระกูลขุนนางที่แต่เดิมไม่กล้าเข้าใกล้ก็พากันโล่งใจ ตอนนี้ต่างพากันแสร้งทำเป็นเข้าไปปลอบโยนฮูหยินของจวนเจ้ากรมที่กำลังร้องไห้อย่างหนักด้วยความเศร้าโศก
“รีบพาหมอมาเถิด ที่เหลือข้าจนปัญญาแล้ว”
เว่ยฉางอันเห็นแววเยาะเย้ยในดวงตาของพวกเขาแวบบหนึ่ง แต่ก็ถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียน เมื่อครู่เกิดเหตุที่ไม่คาดคิดมาก่อนมันคือชีวิตของคนผู้หนึ่ง นางจึงรีบได้ยื่นมือเข้าไปช่วยคุณหนูผู้นี้ไว้โดยมิได้คำนึงถึงสิ่งใด
แต่ทันใดนั้นเว่ยฉางอันก็ได้สติ นางลืมคิดไปว่าตอนนี้ตนเองยังไม่ได้พบกับอวี้เจี่ยจื่อ ดังนั้นนางจึงยังไม่รู้วิชาแพทย์เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงรีบจบเรื่องอย่างรวดเร็ว โดยจงใจทิ้งจุดบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่สำคัญของเอาไว้
ทางด้านหรงหลีเซิงที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดย่อมรู้ดี แม้ตัวเขาจะไม่รู้วิชาแพทย์แต่เพราะร่างกายของเขาที่เป็นเช่นนี้ทำให้เขาต้องรักษากับหมอ มามากมาย จึงไม่ยากที่เขาจะประเมินได้จากการกระทำของเว่ยฉางอันว่านางนั้นมีวิชาการแพทย์อยู่จริง
“เกิดอันใดขึ้น?”
เมื่อเสียงนั้นดังก้องผู้คนต่างหลีกทางให้ ปรากฏร่างของบุรุษและสตรีคู่หนึ่งที่กำลังก้าวเท้าเดินเข้ามาด้วยท่าที่ที่องอาจและสง่างาม เบื้องหลังมีข้าราชบริพารมากมายคอยติดตามอยู่ไม่ห่างกาย บุคคลที่เอ่ยถามคือฮ่องเต้ ส่วนสตรีที่เดินข้างกายพระองค์นั้นก็คือฮองเฮา
เดิมทีพวกเขากำลังจะเดินทางกลับพระราชวัง แต่ไม่คาดคิดว่ายังไม่ทันเดินออกจากจวนแม่ทัพ ก็มีขันทีผู้หนึ่งวิ่งเข้ามากราบทูลเรื่องราวที่เกิดขึ้น
จึงต้องรีบกลับมาดูอีกครั้งแล้วก็พบว่าเกิดเรื่องไม่คาดฝันที่ร้ายแรงเช่นนี้ขึ้น
“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมทราบมาว่าคุณหนูจากตระกูลเสนาบดีเกิดอาการกำเริบของโรคประจำตัว แต่โชคดีที่คุณหนูใหญ่ตระกูลเว่ยได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือไว้ทันเวลา บัดนี้อาการปลอดภัยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีน้อยที่ทราบเรื่องราวทั้งหมด เมื่อได้ยินฮ่องเต้เอ่ยถามขึ้นจึงรีบก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าวโค้งคำนับแล้วกราบทูลเรื่องราวทั้งหมดให้แก่ฮ่องเต้ที่ตอนนี้มีใบหน้าเคร่งเครียดยิ่งนัก
หลังจากกราบทูลเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ขันทีน้อยชำเลืองมองดูสีหน้าของฮ่องเต้ หลังจากที่ฮ่องเต้ได้ยินที่ขันทีเอ่ยว่าไม่มีอันตรายแล้ว ใบหน้าที่ตึงเครียดก่อนหน้านี้จึงคลายลงทันที
ทำให้ขันทีน้อยอดคลายความตึงเครียดลงไม่ได้ พลางลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เป็นคุณหนูใหญ่จากตระกูลเว่ยที่รักษานางงั้นรึ?”
“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมทราบว่าเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อฮ่องเต้ตรัสถาม ขันทีน้อยก็พยักหน้ารัวเร็วราวกับลูกไก่จิกข้าวสาร
แต่เว่ยฉางอันที่ได้ยินน้ำเสียงของฮ่องเต้ซึ่งเต็มไปด้วยความสนใจ ก็รู้สึคกใจหาย ตอนนี้นางรู้สึกว่าตนได้ทำเรื่องที่ใหญ่โตเกินไป
มัวแต่กังวลเรื่องช่วยชีวิตผู้คนจนลืมคิดถึงเรื่องนี้ ตอนนี้ตระกูลแม่ทัพของนางมีอำนาจมากเกินไป ฮ่องเต้ต้องทรงระแวงอย่างแน่นอน ซ้ำนางกลับทำเรื่องใหญ่โตเช่นนี้อีก
นางกลัวว่า...
คิดถึงตรงนี้เว่ยฉางอันก็หวนนึกถึงการตายอย่างโหดร้ายของบิดาและพี่ชายในชาติก่อน จึงรีบกล่าวแก้ตัวทันที
“ข้าจำได้ว่าท่านพี่มิเคยเล่าเรียนวิชาแพทย์ ไยจึงจะสามารถรักษาโรคเรื้อรังเช่นนี้ได้เล่า?”
แต่ก่อนที่นางจะเปิดปากพูด เว่ยเจี่ยวอิงก็แกล้งสงสัยพึมพำเบา ๆ แต่กลับพูดให้ทุกคนได้ยินชัดเจน
หัวใจของเว่ยฉางอันก็หนักอึ้งลงทันที เว่ยเจี่ยวอิงตั้งใจพูดให้ฮ่องเต้ทรงได้ยิน เนื่องจากพระองค์ทรงระแวงสงสัยอยู่แล้ว บัดนี้พูดอย่างนี้ก็เท่ากับจวนแม่ทัพของพวกนางกำลังคิดสิ่งใดหรือกระทำบางอย่างในที่ลับ
ตอนที่เว่ยฉางอันจบชีวิตลงในชาติก่อน นางย่อมรู้ดีว่าเว่ยเจี่ยวอิงไม่สนใจว่าจวนแม่ทัพจะเป็นอย่างไร บัดนี้นางก็เพียงต้องการให้นางตายเท่านั้นจึงไม่ได้สนใจสิ่งอื่น
“หืม?”
แม้ฮ่องเต้จะไม่กล่าวอันใดออกมา แต่เสียงที่เปล่งออกมาสั้น ๆ ราวกับสงสัยนั้น ก็บ่งบอกแล้วว่าพระองค์กำลังคิดสิ่งใดอยู่
เว่ยฉางอันจ้องมองผู้ที่ปากอย่างเว่ยเจี่ยวอิงด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว คุกเข่าลงต่อหน้าฮ่องเต้อย่างนอบน้อม บนใบหน้าไร้ความตื่นตระหนก ไม่มีความประหม่าแม้แต่น้อย
“กราบทูลฝ่าบาท ฝ่าทรงยกย่องหม่อมฉันเกินไปแล้วเพคะ ความจริงหม่อมมิได้มีความรู้เรื่องแพทย์อันใด เพียงแต่ชอบอ่านตำราหลากหลายมาตั้งแต่เด็ก บังเอิญหม่อมฉันได้อ่านเจออาการป่วยเช่นนี้ในตำราแพทย์เล่มหนึ่ง จึงโชคดีได้เข้าช่วยเหลือคุณหนูรองตระกูลท่านเสนาบดีไว้ได้ทันเวลา นี่ถือว่าเป็นบุญวาสนาของคุณหนูที่รอดชีวิตมาได้เพคะ”
แม้เว่ยฉางอันจะก้มหน้ากราบทูลเรื่องราวทั้งหมดด้วยสีหน้าที่ถ่อมตน แต่ทว่าทั้งบุคลิกและอากัปกิริยาของนางกลับสง่างาม รัศมีที่น่าเกรงขามของบุตรสาวจวนแม่ทัพมิได้ลดน้อยลงเลยแม้แต่น้อย คำกล่าวทุกคำนั้นก็ช่างหนักแน่และเอ่ยได้อย่างไร้ที่ติ
เว่ยฉางอันผลักความดีความชอบทั้งหมดไปให้กับโชคชะตาของสตรีผู้นั้น ทำให้นางดูไม่มีคุณูปการใด ๆ กับเรื่องนี้เลย
หลักจากที่ฮ่องเต้ได้ยินสิ่งที่เว่ยฉางอันกราบทูล แม้สีหน้าของฮ่องเต้ยังคงเคร่งขรึม แต่หางคิ้วก็คลายลงเล็กน้อยนี่แสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้เชื่อถ้อยคำของเว่ยฉางอันบางส่วน แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง
“เป็นเช่นนั้นหรือ? แต่ว่าเหตุใดข้าจึงมิรู้มาก่อนว่า ท่านพี่ชอบ…”
“น้องรอง ดูเหมือนเราว่ามิจำเป็นต้องให้แม่นมมาสอนเจ้าเรื่องมารยาทอีกแล้วกระมัง”
เว่ยเจี่ยวอิงเห็นนางเอ่ยไม่กี่คำก็สามารถชี้แจ้งเรื่องราวทั้งหมดได้ ในใจของนางย่อมรู้สึกไม่ยอมรับ ซ้ำก่อนหน้านี้ที่หรงฉีต้องการจะปกป้องนางจึงผลักตนเองออกไป เรื่องนี้นางจดจำไว้แน่นอนบัดนี้นางจะปล่อยให้เว่ยฉางอันโต้แย้งได้อย่างง่าย ๆ ได้อย่างไร?
แต่เมื่อครู่นางเพิ่งจะเอ่ยปากพูด ก็ถูกเว่ยฉางอันขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เว่ยเจี่ยวอิงทั้งรู้สึกอับอายและโกรธเว่ยฉางอันยิ่งนัก จึงเงยหน้ามองไปที่เว่ยฉางอัน แต่สิ่งที่นางเห็นกลับเป็นเพียงใบหน้าที่เย็นชาของเว่ยฉางอัน แม้แต่แววตาก็เต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก นี่เป็นเว่ยฉางอันที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน
เว่ยเจี่ยวอิงที่ไม่ทันระวังตัวกลับสบตาเข้ากับเว่ยฉางอัจนนางเผลอสะดุ้งด้วยความตกใจ พลันจิตใจก็สะท้านไปชั่วขณะแต่นึกได้ว่าคนตรงหน้าคือเว่ยฉางอัน ความกลัวก็หายไปทันที
นิสัยใจคอของเว่ยฉางอันเป็นอย่างไร เว่ยเจี่ยวอิงย่อมรู้ดีเพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาเว่ยฉางอันถูกนางกลั่นแกล้งมาโดยตลอด ดังนั้นการการกระทำที่ผิดแปลกไปของเว่ยฉางอันในตอนนี้ คงทำได้แค่คิดว่านางได้เสียสติไปแล้วกระมัง
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว