Kissing U : จูบปรารถนา

บทที่ 3 ขยับหัวใจเข้าใกล้ทีละนิด...(100%)

เดินทางขึ้นนิฬคีรีต้องไต่ผาสูงข้ามเขา ถือว่าเป็นด่านหินของการเดินทางที่ผ่านมา ครานี้สุมากับพวกเป็นผู้นำ การเดินทางเป็นไปอย่างเคร่งเครียด บ่อยครั้งที่หยุดเจรจาเพื่อเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุด และเพราะอย่างนั้นดารกาจึงทำได้เพียงมองแผ่นหลังกว้างของสุมาจากที่ไกลๆ เหมือนถูกกันให้ห่างออกจากเขาในที หลายครั้งที่หยุดพักเขาก็ไม่ได้ทักทายหรือส่งยิ้มกับนางอีก ดารการู้สึกไม่ดีจนบอกไม่ถูก

มีตอนหนึ่งของการเดินทาง ทั้งคณะเจอกับช่องโตรกผาสูง เบื้องล่างเป็นลำน้ำสีมรกต เบื้องหน้ามีแค่ทางเดินแคบๆ ลมแรงจนต้องมัดเชือกกับง่อนหิน ไต่ข้ามไปได้ทีละคู่ รัสสะยังคงมองดารกาสลับจันทรา

“ระวังตัวให้ดี”

ก่อนจากไปชายหนุ่มทิ้งท้ายกับดารกา ก่อนจะดึงจันทรากานต์ที่หน้าบึ้งฝ่าสายลมอื้ออึงนำไปล่วงหน้า

“ข้าเดินไม่ไหว ไปไม่ได้จริงๆ”

อัญญานีทรุดกายลงข้างๆสุมา นางหวาดกลัวความสูงจากขอบผาชันจนหลับตาแน่น เกาะแขนสุมาไว้มั่น เมื่อทำอะไรไม่ได้เขาก็ต้องประคองนางขึ้นมา โดยมีดารกาเดินตามหลัง
ฝ่ายสุมาที่ต้องดูหญิงสาวสองคน เขาให้อัญญานีนำ ตนตั้งมั่นตรงกลาง ระหว่างที่ลมพัด อัญญานีหวีดร้องแกว่งกายตามแรงลมจนเชือกดีดรุนแรง ส่งให้ร่างของดารกาที่อยูาเบื้องหลังกระตุกราวถูกเหวี่ยงชิดริมผา สุมาร้องบอกให้อัญญานีหยัดกาย หากมือหนารีบคว้าเอวบางของคนด้านหลังเขาจะร่วงสู่โตรกผาลิบ มือหนึ่งเขามีอัญญานีอีกมือเขามีดารกา ใบหน้าที่เฉยชามาก่อนหน้าเคร่งเครียดเท่าตัว

พ้นโค้งแคบนั้นมาแล้วพวกเขาก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกจากเบื้องหน้า จึงรู้ว่าไม่กี่ก้าวก็สู่จุดหมาย ลานโล่งทอดลาดลงเบื้องล่างปรากฎแก่นัยตา คนรอรับทอดตามองห่วงใยมากกว่าหนึ่ง เมื่อไปถึงสุมาก็ส่งดารกาสู่มือนาระ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก

เคยถูกใครสักคนมองเมินไหม

ขณะนี้ดารกากำลังรู้สึกเช่นนั้น

เขาไม่พูดกับนาง เขาไม่มองนาง เขาไม่รับสิ่งของที่นางยื่นให้

ตอนนั้นทั้งหมดเลือกจะค้างคืนบนเขา เสี่ยงกับลมหนาวหน่อยแต่ก็ปลอดภัยกว่าป่าเบื้องล่าง ทั้งหมดตัดสินใจปักหลักตั้งบนลานหินกว้างเพราะไม่มีทำเลไหนดีกว่าตรงนี้อีกแล้ว สุมาเดินสำรวจอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนเตรียมที่พัก นางก็แค่เห็นเขาวุ่นวายอยู่จึงอยากช่วย...แต่ว่า

"เกะกะ"

เขาไม่รับของนาง ...ซ้ำบอกปัด

ดารกาค่อยๆลดปลายเชือกในมือลง ความหวังดีที่จะช่วยหยิบเชือกตรึงกระโจมผ้ากั้นลมก็กลายเป็นเก้อ

"วัลลภ มานี่ซิ" เสียงหงุดหงิดร้องดังผ่านหน้านางไปไม่พอ เขายังทำลายน้ำใจนางอีก

ดารกาจึงค่อยๆขยับกายถอยออกไป นางมองอัญญานีที่ยิ้มร่าเข้าไปอยู่ข้างกายสุมาแทน พอสุมาก้มลงพูดกับอัญญานี อารมณ์แจ่มใสที่เคยมีก็ขุ่นมัว

ลมหนาวพัดแรงจนคนดานนอกตองร่นเข้ามาในซอกถ้ำ ทั้งหมดตกลงกันว่าคงต้องเบียดกันหลบลมด้านในเสียทั้งหมด เพราะไม่อาจสู้แรงลมจัด พื้นที่เบียดเสียดจึงเต็มไปด้วยร่างชายสูงใหญ่อย่างน้อยสามคนปักหลักหันหลังชนกัน คุยหงุงหงิงเรื่องสภาพดินฟ้าอากาศของสุริยันตราปุระ
วัลลภเอนกายข้างๆไชยยันต์ ทั้งคู่มาจากชายแดนด้วยกัน จึงพอคุยกันถึงบ้านเก่าอย่างออกรส นาระชันเข่ากอดดาบหลับตาไร้อารมณ์ รัสสะช่วยสุมาขัดปมเชือกสำหรับไต่ลงเขา ทั้งคู่ช่วยทำงานเงียบ จนอัญญานีเมียงๆมองๆก่อนตัดสินยื่นผ้าคลุมผืนหนาให้หนึ่งในสองอย่างขลาด
“ท่านอยู่ด้านนอกคงหนาว” ชายหนุ่มปรายตามอง มือขาวจัดสวยเกินหญิงก็ยังไม่เอื้อมรับจนนางหน้าเก้อ
หมับ
วัลลภนั่นเองที่เอื้อมคว้าทันควัน
“นอกจากใบหน้าเจ้าจะงามหยาดฟ้า น้ำใจยังงามหาใดเปรียบ”
เสียงถอนใจยามเจ้าคนกะล่อนเอ่ย หากนางผู้มีใบหน้าหยาดฟ้าแดงแล้วพลันซีด เพราะคนที่ตั้งใจให้หาใส่ใจรับไมตรีนางไม่ คางมนจึงจรดเหนืออก ซ่อนแววหม่นลึก
“อากาศบนนี้รุนแรงก็จริงแต่พวกเราเป็นชายพอจะทนได้ เจ้าเสียอีกควรห่มไว้เองเถิด วัลลภ” ท้ายเสียงตวัดไปยังเพื่อนหมอหน้าทะเล้น
“หืม นางให้เจ้า ข้ารับแทนมาผิดตรงไหน”
“ตรงที่เจ้ามันหนังหนา ลมแค่นี้คงไม่อาจสะกิดหนังหนาๆของเจ้าได้”
คนหนังหนาอ้าปากค้างกะพริบตาปริบๆมือป้อยส่งคืนผ้าห่ม ปากพึมพำแผ่วยามล่าถอยให้ได้ยิน
"เกิดเป็นคนรับใช้เขา นายให้ตายก็ต้องตาย นายให้ถึกเกินชายอยากไม่อยาก ก็ต้องเป็นไปตามนั้น"
คนกะล่อนถดกายไปออเซาะอีกคนที่หลับตานิ่ง
“ท่านนาระ พ่อคุณของบ่าว”
คนถูกกวนหันข้างพลิกกายหนี หากยังถูกตามสะกิดจนต้องเงื้องขาสูง
“มันน่าเตะนัก”
วัลลภเลยแจกค้อนให้เพื่อนเกลอก่อนหลบฉากไปขดกายข้างไชยยันต์
“ไม่มีใครคู่ควรกับเจ้าเท่าข้าหรอกวัลลภ” หมอหนุ่มปรายตามองคนตบพื้นหินข้างกายอย่างไม่วางใจ


“ทำไมที่นี่ชื่อนิฬคีรีคะ
เ เสียงถามใคร่รู้ของอัญญานีที่ยังนั่งเคียงข้างสุมาไม่ยอมไปไหน จวบจนพวกเขาทำงานเสร็จในเวลาล่วงสู่รัตติกาล ชายหนุ่มยิ้มนุ่มตามเคย ก่อนเอ่ย
“อยากรู้คำตอบเจ้าต้องออกไปเบื้องนอก”
หลายคนตาโต แม้แต่รัสสะ คนที่คลานออกไปคนแรกคือจันทรากานต์ ก่อนจะเปล่งเสียงอุทานออกมาในลำคอ นางเรียกคนอื่นๆออกมาดู
เบื้องหน้าผืนกำมะหยี่สีดำนิฬ ดารานับล้านดวงเปล่งประกายเล่นแสงงดงามจับตา หากไม่มีลมตีกระหน่ำ นางก็อยากอยู่ตรงนั้นจวบแสงทิวาเยือน
“ไม่ควรเลย ไม่ควร”
“ไม่ควรอะไรหรือ”
จันทรากานต์หันมองหน้าคนถาม สลับผืนดาราบนฟ้า
“ก็มิควรที่จะชื่อนิฬคีรีอย่างไรเล่า ควรเรียกดารกาคีรีถึงจะถูก”
คำของจันทรากานต์พ้องใจใครหลายคนในที่นั้น แม้แต่รัสสะ เขาถึงออกปากเห็นด้วยกับนางเป็นครั้งแรกในรอบปี ดารกาเหลือบตามองคนคู่หนึ่งที่นั่งเคียงกันบนโขดหินสูง เหนือพวกนางไป

สุมากับอัญญานี พวกเขานั่งบนโขดหินที่นับเป็นจุดชมดาวที่ดีที่สุดของบริเวณนี้

ดารกากระชับผ้าคลุม เริ่มไม่อยากดูดาวเสียแล้ว

"ไม่นึกว่านิฬคีรีจะงดงามเพียงนี้"

รัสสะนั่งลงข้างๆในตอนที่นางจะขยับลุก

"ดาวที่เผ่าพยัคฆ์งดงามกว่านี้ ถ้าเจ้าไปเยือนบ้านข้านะดารกา ข้าจะพาเจ้าดูดาวทุกวันเลย"

ชิรญาโพล่งออกมา แต่ถึงบอกแบบนั้นตัวนางเองก็ยังมองฟ้าตาเคลิ้ม รัสสะมองน้องสาวยิ้มๆหากไม่วายถามดารกา

"จริงสิ ชื่อเจ้าแปลว่าดวงดารานี่ ใครเป็นคนตั้งให้หรือ"

"พ่อ ท่านพ่อค่ะ"

ดารกานั่งตอบคำถามเชิงซักของรัสสะอยู่ครู่หนึ่ง ความอภิรมย์มันหายไปหมดแล้ว นางจึงหลบไปนอนขดกายในซอกผาหลังกระโจมผ้า พยายามไม่มองไปยังคนสองคนที่นั่งเคียงกันชมดาราห่างออกไป หากพอหลับตาลง จะให้นางข่มตาอย่างไรก็ไม่หลับเสียอย่างนั้น

นางลุกขึ้นเมื่อฟ้าสาง ตั้งใจจะออกไปชมดวงตะวันยามเช้า แต่พอก้าวไปได้สองก้าว เงาหลังที่สะท้อนตะวันงามของคนสองคนเบื้องหน้าก็ทำให้สองเท้าที่ก้าวเดินหยุดชะงัก

แสงมุกดาริมขอบฟ้าแม้งดงามเพียงไร ดวงสุริยาแม้อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ ก็ไม่อาจเอื้อมไปชมเชย

ดารกาหมุนกายกลับมาทันที

นางมาที่ห่อผ้าของตน บนเขาแบบนี้แม้ไม่มีน้ำชำระกาย แต่ขอผ้าเช็ดหน้าให้สะอาดก็พอ แต่เมื่อแกะห่อผ้าออก นางก็นิ่งขึง

งูภูเขาสีดำตัวยาวขดกายอยู่ภายใน

ดารกาตกใจ แต่เมื่อมองดีๆก็พบว่าแท้จริงมันตายแล้ว รอยเลือดหย่อมหนึ่งเปื้อนผ้าของนางจนไม่อาจใช้ได้

ดารกาถอนใจ ก่อนจะช้อนงูโชคร้ายตัวนั้นไว้ในมือ ขณะนั้นทุกคนตื่นแล้ว

พอดารกาอุ้มซากงูตัวนั้นขึ้น นมศรีประไพก็หวีดร้องอย่างตกใจ

สุมากับอัญญานีกำลังเดินกลับมาเก็บของ นางเห็นงูในมือดารกาก็หน้าซีดเผือด ส่วนสุมา เขาปรายตามองแล้วเดินผ่านเลยไปเก็บของส่วนตน

"งูมามาจากไหนเจ้าอสรพิษ"

เป็นวัลลภชะโงกหน้าเข้ามาดู

พอนางตอบว่ามันมาตายในห่อผ้า วัลลภเอื้อมมือมาจับพลิกไปมาสองที

"คอหักคล้ายถูกตี แต่ทำไมถึงไปอยู่ในห่อผ้าเจ้าได้"

คำถามนั้นแม้แต่ดารกาก็ไม่อาจหาคำตอบ

ครานี้การเดินทางสู่สุริยาปุระสำหรับดารกา ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป สุมาไม่ถามนางเรื่องงูพิษ ไม่พูดกับนางแม้แต่ประโยคเดียว เขาไม่ประคองนางยามสะดุดหิน ไม่ผ่อนฝีเท้าเพื่อจะยิ้มให้นางอีก

ดารกาเพิ่งรู้ตัวว่านางใส่ใจกับการกระทำเล็กๆน้อยๆของเขาเพียงไร จนกระทั่งเขาเปลี่ยนไป หรือว่าทั้งหมด เพราะพี่อัญญานี

นางร้อนผะผ่าวในหน่วยตา ขอในลำคอ และปวดแปลบในหัวใจ

ตาหนวดคนนั้น...คงลืมดารกาเสียแล้วจริงๆ

มันช่างเป็นความรู้สึกที่อึดอัดจนทรมานอย่างบอกไม่ถูก

ไต่เชือกลงมาจากเขาสูงของนิฬคีรี ก็ถึงแนวป่าเบื้องล่าง

ครั้งหนึ่งที่ดารกามองสุมาซึ่งยืนคุยกับอัญญานี เดี๋ยวนี้ทั้งคู่พวกเขาอยู่ด้วยกันบ่อยขึ้น บางครั้งนางกับเขาก็เป่าใบไม้เป็นเพลงกังวานเพราะ นั่นคือความสามารถอันน่านึ่งของอัญญานีที่นางเคยชื่นชม สุมาคงจะรู้สึกเช่นนางกระมัง

ดารกานิ่งเงียบและนั่งหงอยเหงาเพียงลำพัง

จนนาระทนไม่ไหวจึงสะกิดถามวัลลภ

"สองคนนั้นเขาเป็นอะไรกัน"

"ภาวะตึงเครียด"วัลลภยังนึกยักอมภูมิ นานๆนาระจะขอคำชี้แนะจากเขา

"ช่วยพูดให้มันเข้าใจง่ายกว่านี้ได้ไหม"

"เจ้านี่ไม่ประสาเรื่องความรักเสียเลยนาระ ดูไม่ออกหรือว่าเขากำลังก่อสงครามอารมณ์กันอยู่ ฮิโธ่ คิดจะชวนสาวกลับบ้าน แต่คนอื่นชิงตัดหน้าชวนเสียก่อน " แต่นาระก็ยังไม่เข้าใจ

"เรื่องแค่นี้ "

"ก็ถ้าดารกาไม่ทำท่าว่าอยากไปเผ่าพยัคฆ์กับเขา เรื่องแค่นี้มันก็คงไม่เป็นเรื่องหรอก "

"ที่เจ้าพูดถึงนี่สุมาหรือ ข้าไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้"

สุมาผู้หนักแน่นดั่งหินผา สุมาผู้ใจแข็งแม้ปลิดชีพศัตรูยังไม่กะพริบตา กลับทุกข์ร้อนเพราะเรื่องผงเข้าตาแค่นี้หรือ

"นี่แหละข้าถึงบอกว่าเจ้ายังไม่ประสาเรื่องความรักอย่างไรเล่า เมื่อลมเพชรหึงเข้าจู่โจม ชี้ผิดเป็นถูก เหตุผลทั้งมวลถูกกวาดทิ้งไปหมด นี่แนะนาระเรามาดูกันไหมว่าเขาจะทนเฉยได้กี่น้ำ"

นาระมองวัลลภอย่างไม่วางใจ ก่อนจะส่ายหน้า วัลลภคิดกลอันใด เขาก็ไม่เอาด้วยเด็ดขาด

**********

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว