ณ บ่ายวันหนึ่งของปลายเดือนพฤษภาคมที่อากาศค่อนข้างเย็นสดชื่นผิดฤดู หอพักต่างๆในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งได้มีเสียงคึกคักครื้นเครงดังมาเป็นระยะๆ หลังจากที่เงียบเหงามาตลอดสามเดือนที่ผ่านมา
น้องใหม่หลายคนที่จะเข้ามาเรียนในปีการศึกษานี้กำลังพากันขนข้าวขนของเพื่อทำการย้ายเข้าหอพักเป็นวันแรก น้องใหม่ที่ว่านั้นรวมไปถึงสามสาวที่เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมศึกษาตอนปลายที่กำลังยืนอยู่ใต้ตึกของหอพักเอกชนแห่งหนึ่ง
หอพักเอกชนแห่งนี้มีที่ตั้งอยู่ตรงหน้าทางเข้ามหาวิทยาลัยพอดิบพอดี ไม่เพียงแค่ตัวอาคารของหอพักเท่านั้นที่ดูโดดเด่นสวยงามตามสไตล์ประเทศตะวันตก หากแต่ป้ายชื่อ“หอพักฉัตรา”ขนาดใหญ่ตรงด้านหน้าริมถนนที่ดูหรูหรากว่าหอพักอื่นๆยังทำให้หอพักแห่งนี้‘ดูแพง’มากอีกด้วย
นอกจากนี้ตั้งแต่หน้าถนนตลอดจนทางเดินเข้าหอพักนั้นยังประดับตกแต่งอย่างมีศิลปะด้วยทั้งไม้ดอกและไม้ประดับนานาพรรณบ่งบอกถึงรสนิยมของเจ้าของหอพักได้เป็นอย่างดี และนั่นยิ่งทำให้มูลค่าของหอพักแห่งนี้ดูเพิ่มมากขึ้นไปอีกเท่าตัวเลยทีเดียว
“ตกลงจะเข้าพักกันสามคนนะครับ น้าจะช่วยยกโต๊ะเขียนหนังสือกับตู้เสื้อผ้าขึ้นไปให้เพิ่มอย่างละตัวแล้วกัน จะได้ไม่ต้องแย่งกัน สำหรับตู้เสื้อผ้าน้าคงต้องรอให้น้ายามอีกคนมาช่วยยกเย็นนี้นะครับ ส่วนโต๊ะเขียนหนังสือน้าจะยกขึ้นไปให้ตอนนี้เลย”
น้าผู้ชายที่เป็นหนึ่งในยามของหอพักฉัตราเอ่ยขึ้นหลังจากที่พวกเธอเซ็นต์สัญญาการเช่าห้องพักกับเจ้าของหอพักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ปกติแล้วหอพักนี้จะพักกันแค่ห้องละสองคน แต่เพราะสามสาวไม่อยากให้เพื่อนคนใดคนหนึ่งแยกไปอยู่เองคนเดียว ทั้งสามคนจึงขอเจ้าของหอพักให้พวกเธอได้อยู่ห้องพักเดียวกัน ห้องพักของพวกเธออยู่ชั้นสองติดกับทางขึ้นลงบันไดพอดี หมายเลขของห้องพักคือ 204
นอกจากความหรูหราโดดเด่นแล้ว หอพักนี้ยังเป็นหอพักที่ขึ้นชื่อว่ามีความปลอดภัยในระดับสูงสุดเมื่อเทียบกับหอพักอื่นๆ เพราะมีกฏเหล็กคือมีเพียงแค่ผู้ที่อาศัยอยู่ที่หอพักนี้เท่านั้นที่จะสามารถขึ้นไปบนตึกได้ด้วยคีย์การ์ดประจำตัวที่ใช้สำหรับเปิดประตู
และแน่นอนว่าค่าเช่ารายเดือนก็แพงที่สุดเช่นกัน คนที่พักส่วนใหญ่จึงเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลายจากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยที่พ่อแม่ค่อนข้างมีฐานะพอที่จะจ่ายค่าเช่าได้แบบสบายๆ
สำหรับสามสาวนั้นพ่อแม่พวกเธอเป็นข้าราชการเท่านั้น แต่เมื่อนำค่าเช่าสำหรับสองคนมาหารสามก็ถือว่าไม่ได้แพงมากนัก อย่างไรก็ตามพวกเธอเชื่อว่าพ่อแม่ยินดีหากจะต้องจ่ายราคาเท่ากับคนอื่นๆเพราะเชื่อว่าหอพักแห่งนี้สามารถให้ความปลอดภัยแก่บุตรสาวของตนเมื่อต้องอยู่ไกลหูไกลตาได้
“ขอบคุณค่ะน้านันท์” สาวสวยหน้านิ่งที่ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเพื่อนเอ่ยตอบน้ายาม
พ่อแม่ของพวกเธอเดินทางกลับกันหมดแล้วหลังจากช่วยพวกเธอขนเสื้อผ้าและข้าวของที่จำเป็นขึ้นไปไว้บนห้อง
“เดี๋ยวหนูช่วยค่ะ”
สาวน้อยที่มีประกายตาสดใสที่สุดเอ่ยก่อนจะวิ่งไปช่วยน้ายามยกโต๊ะเขียนหนังสือขนาดมาตรฐานขึ้นบันได ยังไม่ทันที่อีกสองสาวจะเข้าไปช่วยเพื่อน ร่างสูงร่างหนึ่งก็แว่บผ่านพวกเธอตรงไปยังบันไดขั้นแรกที่น้ายามกับเพื่อนสาวของพวกเธอกำลังช่วยกันยกของ
เงาของร่างสูงและสัมผัสอุ่นที่ปลายนิ้วเล็กที่อยู่ใต้โต๊ะทำให้ ‘แซนด์’ หรือ ‘แสนรัก’ หันหน้ามามองผู้เป็นเจ้าของความมีน้ำใจนี้ ดวงตาคมนิ่งบนใบหน้าหล่อเหลาหมดจดที่หันมาสบตาเธอพร้อมกับรอยยิ้มนิดๆตรงมุมปากทำให้แก้มเนียนร้อนผ่าวขึ้นมาในบัดดล