เจ้าหญิงวริษฐายวดี องค์รัชทายาทแห่งวัสสานะ ที่ถือกำเนิดมาพร้อมกับความ ‘พิเศษ’ อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความงามและน้ำพระเมตตา ถูกวางให้เป็นกษัตริยาตั้งแต่พระชนมายุเพียงห้าพรรษา เมื่อพระชนมายุครบยี่สิบสี่พรรษาจะต้องเข้าพิธีอภิเษกสมรสและสถาปนาเป็น ‘กษัตริยา’ ในคราเดียวกัน ตามขนบแห่งวัสสานะที่สืบทอดกันมา พระคู่หมายก็มิใช่ใครอื่นใด ‘ราชองครักษ์แดเนียล’ ผู้งามสง่า บุตรชายคนเดียวของดานังแม่ทัพใหญ่แห่งวัสสานะผู้ภักดี
เหตุการณ์กลับพลิกผันเมื่อพระองค์ถูกส่งมาเป็น ‘ราชินีแห่งคิมหันต์’ ด้วยเงื่อนเวลา ‘หนึ่งปี’ แลกกับการเปิดทางให้คิมหันต์มาศึกษาทุกสิ่งที่ต้องการในวัสสานะเพื่อนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์แก่คิมหันต์ และสนธิสัญญาเรื่องการสงครามว่าจะไม่รุกล้ำดินแดนซึ่งกันและกัน ครบ ‘หนึ่งปี’ คิมหันต์จะต้องส่งพระองค์คืนสู่วัสสานะ เพื่อเข้าพิธีอภิเษกสมรสและสถาปนาเป็น ‘กษัตริยา’ ตามหมายกำหนดการเดิม
อติรุจิราชราชันหรือองค์เหนือหัวคาลัว กษัตริย์แห่งคิมหันต์ พระสวามี ไม่ทรงแตะต้อง ไม่ทรงสัมผัส ไม่ทรงให้ยุ่งกับกิจส่วนพระองค์ มเหสีทางการเมืองอย่างวริษฐายวดีจึงได้แต่ยอมรับชะตากรรมว่าไม่เป็นที่ต้องการ เฝ้ารอวันคืนสู่วัสสานะ แต่สิ่งที่ทรงเข้าพระทัยจะจริงแท้แน่หรือ ในเมื่อนับวันพระสวามีกลับทำให้รู้สึกในสิ่งที่ตรงกันข้าม
___________________________
“เห็นพุ่มไม้พุ่มนั้นหรือไม่” คาลัวชี้ไปที่พุ่มไม้ใหญ่บนไม้ยืนต้น ที่มีรูเป็นช่องกลมมนใหญ่
“เห็นเพคะ” วริษฐายวดีมองตามแล้วทูลตอบ
“แล้วเห็นพระจันทร์หรือไม่”
“เห็นบ้างเพคะ แต่ไม่ชัด” ตอบไปก็พยายามเพ่งตามองไป
“มันมีความลับอยู่นิดหน่อย ตรงที่เจ้าจะต้องนอนลงตรงนี้ แล้วมองขึ้นไปตรงนั้น ในตำแหน่งนี้พอดิบพอดี ถึงจะเห็นความงามที่ว่า”
“ที่พื้นหญ้านี่เหรอเพคะ” วริษฐายวดีมองตามนิ้วพระหัตถ์เรียวของพระสวามีที่ชี้ไปที่พื้นหญ้าด้านล่าง
“ใช่แล้ว แต่เจ้าไม่ต้องกังวล แค่นอนลงที่ตักของเรา เรารับรองว่าเจ้าจะไม่เป็นอะไร” คาลัวรีบประทับลงที่พื้น เอาพระหัตถ์ตบที่พระเพลาของพระองค์ แล้วยื่นหัตถ์ไปรับองค์มเหสีซึ่งกำลังหันไปมองโดยรอบอย่างกังวล
“อย่ากังวลเลย ที่นี่มีเพียงเรา โยฮาจะคอยดูแลไม่ให้ใครมายุ่งในเวลาส่วนตัวของเรา” คาลัวทรงปลอบองค์มเหสี ด้วยเข้าพระทัยในสิ่งที่ทรงคิด วริษฐายวดีจึงจับพระหัตถ์เรียวไว้ แล้วค่อยๆ ย่อพระวรกายลง พยายามจะทอดพระเนตรไปในช่องพุ่มไม้ โดยไม่นอนลงบนพระเพลาของพระสวามี
“ทำแบบนั้นไม่เห็นหรอก” คาลัวทรงแย้มสรวลแล้วรีบออกแรงดึงองค์มเหสีลงมาที่พระเพลาของพระองค์อย่างรวดเร็วแต่นุ่มนวล
ชั่วพริบตา วริษฐายวดีก็นอนหงายอยู่บนพระเพลาขององค์คาลัว คำที่วริษฐายวดีกำลังจะเอื้อนเอ่ยเพื่อตำหนิพระสวามีกลับแปรเปลี่ยนเมื่อได้เห็นความมหัศจรรย์ดังกล่าว
“งามจริงๆ เพคะ” รับสั่งของวริษฐายวดีราวกับเพ้อ
“ใช่ งามมากจริงๆ”
แต่รับสั่งขององค์คาลัวกลับ ‘เพ้อ’ กว่า ก็พระองค์ไม่ได้ทอดพระเนตรไปยังดวงจันทร์ แต่กลับทอดพระเนตรดวงพักตร์งามขององค์มเหสี
“พระองค์ทรงประทับอยู่ ทอดพระเนตรเห็นด้วยหรือเพคะ” วริษฐายวดีทูลถามอย่างสงสัย
“ก็..เคยเห็นไง” รับสั่งตอบเฉไฉไปเรื่อย
“แต่วันนี้งามมากเลยนะเพคะ รัศมีเรืองรอง ใบไม้ที่รอบๆ นั่นคล้ายเป็นสีทองสวยมาก อย่างไรทรงนอนลงดูด้วยก็ได้ หม่อมฉันไม่เป็นไร” วริษฐายวดีเอื้อนเอ่ยอย่างมีไมตรี
คาลัวรีบถอดผ้ารัดบั้นพระองค์ออกเพื่อเอามารองพระเศียรให้องค์มเหสี ก่อนจะนอนหงายลงข้างๆ จนพระเศียรแทบจะชิดกัน องค์คาลัวพระทัยเต้นแรง พระหัตถ์ของพระองค์ที่อยู่ติดกับหัตถ์น้อยขององค์มเหสีค่อยๆ ขยับมากุมหัตถ์น้อยไว้
“งดงาม งามมาก เรืองรอง ผ่องอำไพ ไป..ทั้งหน้า”
วริษฐายวดีเริ่มรู้สึกนิดๆ กับคำรำพันขององค์คาลัว ‘ทำไมทรงเรียกพระจันทร์เป็นหน้า’ พระองค์จึงค่อยๆ หันพระพักตร์มาทางพระสวามี จึงได้เห็นว่าสิ่งที่พระสวามีทอดพระเนตรอยู่ไม่ใช่ดวงจันทราหากแต่เป็นดวงพักตร์ขององค์เอง
“อุ๊ย..” วริษฐายวดีอุทานออกมาเบาๆ เมื่อนาสิกโด่งแหลมของพระสวามีชนเข้ากับปรางของพระองค์
ใครจะไปรู้ว่าทรงขยับเข้ามาชิดขนาดนี้ แค่หันพระพักตร์ไปก็ทรงได้รับสัมผัสหวามไหวดั่งครั้งจากกัน ณ วสินี แต่ที่นี่เป็นที่สาธารณะ วริษฐายวดีรีบผุดลุกขึ้นนั่ง ทรงรู้สึกว่าหายใจหอบ หทัยก็เต้นรุนแรงจนแทบจะระเบิด พอตั้งสติได้เลยตั้งท่าจะลุกขึ้น แต่โดนพระหัตถ์อันแข็งแรงของคนที่ยังนอนอยู่ดึงไว้