บทนำ
แสงแดดอบอุ่นสาดทอดผ่านม่านหมอกหนาที่ลอยตัวนิ่งอยู่บนเนินหญ้าสีเขียวชอุ่ม คลี่คลุมไปรอบบริเวณภูเขาสูงที่ทอดตัวนิ่งสนิทราวกับจิตรกรรมฝาผนังผืนใหญ่ที่กางแผ่อยู่บนม่านฟ้าสีครามใสในยามเช้า เสียงเพรียกจากสกุณานานาชนิดปลุกให้เด็กหนุ่มร่างสูงต้องทอดสายตามองไปยังเชิงเขาอีกด้าน
แววตาเรียบเฉยของเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีกำลังจับจ้องไปยังบรรดานกที่กางปีกเหินลู่ล่มอย่างสนอกสนใจ ไม่บ่อยหนักหรอกที่เขาจะออกมาไกลถึงเพียงนี้ อาณาเขตของไร่เคียงดินนั้นกว้างใหญ่จนไม่สามารถคะเนได้ว่ากว้างเพียงใด ตั้งแต่อยู่ที่นี่มาก็ยังไม่เคยได้ออกไปเที่ยวจนรอบไร่สักที
อันตรายที่พ่อกับแม่มักจะอ้างเป็นข้อห้ามสำคัญที่เขาต้องพึงปฏิบัติและยึดเอาไว้เป็นสำคัญ ถ้าหากว่าแม่อนุญาตนั่นหมายความว่าสามารถไปเที่ยวเล่นได้ ในทางเดียวกันถ้าหากเรื่องไหนที่แม่ขอร้องหรือขอความร่วมมือจากเขาและน้อง ๆ นั่นก็เป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติอย่างเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
ทิวาวัฒน์ทอดสายตามองไปยังเนินสูง ๆ ต่ำ ๆ เป็นเนินหญ้าเตียนโล่งสีเขียว ที่แถวนี้อยู่ไกลจากบริเวณอื่น ๆ เป็นที่ว่างที่พ่อไม่ได้ใช้ทำประโยชน์อะไร และเดาได้ว่าบริเวณรอบนี้คงไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่มากนัก แต่น่าแปลกใจตรงที่มันไม่ได้มีหญ้าขึ้นรกเรื้อหรือมีสุมทุมพุ่มไม้อื่น ๆ ขึ้นมาแทรกเลยแม้แต่น้อย
ผืนพรมหญ้าสีเขียวสดชื่นจนทิวาวัฒน์อดไม่ได้ที่จะต้องย่ำเท้าไปตามแนวหญ้า เด็กหนุ่มเลือกที่จะถอดรองเท้าบูตที่สวมมาก่อนจะใช้เท้าเปล่าสัมผัสพรมหญ้าเพื่อซึมซับรับความยะเยือกยามเช้าอย่างนี้ น้ำค้างที่เกาะพราวตามยอดหญ้าเย็นเยียบจนเขารู้สึกว่าความเย็นแผ่ผ่านจากฝ่าเท้าขึ้นมาจนทำให้เท้าของเขาเย็นไปหมด
ทว่าความรู้สึกนี้กลับพิเศษมากจนริมฝีปากของเด็กหนุ่มคลี่ยิ้มออกมา เขาก้าวไปเรื่อย ๆ ก่อนจะก้าวเร็วขึ้นในบางจังหวะและท้ายที่สุดก็เป็นการวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ว ความเย็นของอากาศบัดนี้ได้กลายเป็นความรุ่มร้อนในร่างกายของเขา พละกำลังของเด็กชายวัยแตกเนื้อหนุ่มกำลังเผาผลาญพลังงานเกิดเป็นความร้อนแผ่กระจายไปทั้งสรรพางค์ร่างกาย
แม้ว่าข้างหน้านั้นจะถูกคลุมไปด้วยหมอกหนาที่มองไปแทบจะไม่เห็นทาง ทว่าทิวาวัฒน์กลับมั่นใจในบางอย่างจนทำให้เขาไม่เกรงกลัวที่จะวิ่งไปด้วยความเร็วอย่างนี้
แสงอาทิตย์ที่หลบซ่อนอยู่ที่ขอบเขาใหญ่ค่อย ๆ เผยกายออกมาช้า ๆ ไม่รีบร้อน จนบางขณะเขาก็ไม่รู้สึกตัวว่าหมอกที่เคยมีรอบ ๆ ตัวนั้นค่อย ๆ หายไปในที่สุด
สายธารที่ไหลรี่เรื่อยเบื้องหน้าคือจุดหมายที่เขาเดินทางมาถึง น้ำใสไหลกระทบหินน้อยใหญ่ทำให้เกิดเสียงก้องซ่าซ่าไปทั่วราวป่าบริเวณท้ายไร่ ทิวาวัฒน์ไม่นึกแปลกใจนัก ลำธารสายนี้คงไหลมาจากบ้านลำธารของเขานั่นเอง
หนุ่มน้อยค่อย ๆ ทรุดตัวนั่งลงก่อนจะใช้มือเช็ดเหงื่อบนใบหน้า วักน้ำล้างหน้าล้างตัวเพื่อดับร้อนพลันสายตาก็จับจ้องไปยังเต่าตัวน้อยที่กำลังว่ายน้ำอยู่ เขามั่นใจว่าเขาเป็นคนรักสัตว์นะ และไม่ค่อยกลัวสัตว์มากเท่าไหร่ ต่างจากน้องชายอย่างไทน์ที่กลัวไปเสียทุกอย่าง
ไม่นานนักเจ้าเต่าตัวนั้นก็เหมือนจะเจอปัญหาใหญ่ตรงหน้าเพราะไม่สามารถว่ายน้ำผ่านหินใหญ่บริเวณนี้ไปได้ ดูท่าว่ามันคงกำลังจะข้ามไปยังบริเวณแอ่งน้ำใหญ่ฝั่งทางด้านนู้น เต่าน้อยตัวนั้นพยายามตะเกียกตะกายแต่ทว่าไม่เป็นผล ทุกครั้งที่มันพยายามขึ้นไป ผลที่ได้คือมันหงายท้องตกลงมา แต่สิ่งที่ทำให้ทิวาวัฒน์ยิ้มได้อีกครั้งนั่นคือเต่าตัวนั้นมันไม่ยอมละความพยายามแม้แต่น้อย
ทุกครั้งที่มันพลาดตกลงมามันก็แค่ตะกายขึ้นมาใหม่ ถ้าหากมันล้มมันก็แค่ลุกและเริ่มใหม่อีกครั้ง แต่จนแล้วจนรอดมันก็ยังไม่สามารถข้ามหินก้อนนั้นไปได้อยู่ดี
เด็กหนุ่มหยัดตัวยืนเต็มความสูงก่อนจะค่อย ๆ ถอดเสื้อยืดสีขาวที่เปียกแนบเนื้อออกไปผึ่งบริเวณกิ่งไม้ ทิวาวัฒน์เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่เหมือนพ่อเลี้ยงพศธร เพียงแตกเนื้อหนุ่มได้ไม่นานเขาก็สูงเกินวัยเสียแล้ว ทว่าร่างกายกลับไม่เก้งก้างเหมือนกับเด็กวัยเดียวกัน อาจจะเพราะเขาชอบที่จะออกไปทำงานในไร่หรือชอบวิ่งออกกำลังจึงทำให้ร่างกายเด็กหนุ่มสมส่วนกับรูปร่างอย่างนี้
สายตาที่มองไปยังเต่าตัวนั้นทอแสงแวววาว เขานึกชื่นชมที่มันยังคงพยายามอยู่อย่างนั้น ทิวาวัฒน์ตัดสินใจเดินลุยลงน้ำก่อนจะค่อย ๆ ใช้สองมือจับเจ้าเต่าตัวน้อยขึ้นมา หนแรกมันคงตกใจจึงพยายามตะกายอากาศและหดคอหดตัวเข้าไปในกระดอง ซ่อนตัวเองจนมิดชิด
ทิวาวัฒน์ก้มลงไปมองก็เห็นมันอ้าปากรออยู่ก่อนแล้ว เด็กหนุ่มลูบกระดองก่อนจะวางมันลงอีกฟากบริเวณแอ่งน้ำใหญ่ เจ้าเต่าเมื่อได้ทีก็ตะกายตัวหนีลงน้ำว่ายวนหายไปในแอ่งใหญ่ในที่สุด
เมื่อเช้าทิวาวัฒน์ตื่นแต่เช้ามืดก่อนจะไปขออนุญาตแม่เลี้ยงธารนลินเพื่อออกมาวิ่งข้างนอก วันนี้แม่เขาใจดีจึงไม่ได้ออกปากห้ามอะไร ทว่าแม่ก็ยังเป็นแม่ที่คอยห่วงลูกอยู่เสมอ ก่อนออกมายังกำชับเหมือนเดิมให้กลับไปทานข้าวเช้าให้ทันเวลา และอย่าออกไปไกลมากนัก แต่หนนี้เป็นหนแรกที่เขาออกมาไกลกว่าปกติ ถ้าเกิดว่าแม่รู้แม่จะต้องซักใหญ่ว่าเขามาทำอะไรไกลถึงขนาดนี้
ต่างจากพ่อ เพราะพ่อชอบให้เขาออกไปข้างนอก อยากให้เขาและน้อง ๆ เก่งในการทำไร่เหมือนกันกับพ่อ ดังนั้นกิจกรรมของเขากับพ่อจึงเป็นกิจกรรมที่ผู้ชายทำกัน อย่างเช่นว่าการขี่ม้าเป็นต้น
ทิวาวัฒน์มีม้าเป็นของตัวเองชื่อว่านิลมังกร มันอาจจะฟังดูตลกไปหน่อย ทว่าเขากลับชอบชื่อนี้ ในครั้งแรกแทนถึงกับออกปากถามว่า เขาจะเป็นสุดสาครในเรื่องพระอภัยมณีหรือถึงได้ตั้งชื่อม้าตัวเองว่านิลมังกร ทิวาวัฒน์ไม่ได้ตอบน้องแต่เขาคิดว่าชื่อนี้เหมาะแล้วที่จะตั้งให้ม้าตัวโปรด
นิลมังกรเป็นม้าตัวสีดำมะเมื่อมโดยเฉพาะดวงตาของมันสวยราวกับลูกแก้วสีดำมันขลับ มันสวยสะกดตาราวกับนิลสีดำมีพลังลึกลับบางอย่าง เพียงแรกเห็นเขาก็ตกหลุมรักมันเสียแล้ว และดูเหมือนว่านิลมังกรก็ชอบเขาเหมือนกัน การฝึกขี่ม้าของทิวาวัฒน์ไม่ใช่เรื่องยาก และหลังจากมีม้าประจำตัวของแต่ละคนแล้วกิจกรรมที่ต้องทำทุกวันก็เป็นการขี่ม้าไปโดยปริยาย
ส่วนมากมักจะเป็นการขี่ช่วงหลังเลิกเรียนเป็นส่วนใหญ่ ทว่าวันนี้เป็นวันเสาร์น้องชายของเขาคงยังไม่ตื่นกัน ทิวาวัฒน์เลยออกมาขี่คนเดียว เขาชอบบรรยากาศตอนเช้าที่มีหมอกหนา มันเป็นภาพที่ทิวาวัฒน์มองไม่เคยเบื่อ เขารักธรรมชาติ ความสงบเงียบ สีเขียว และอากาศเย็น
ครั้งหนึ่งไทน์เคยออกปากแซ็วเขาว่ารักความสงบมากเกินไป เพราะไม่ยอมเอ่ยปากพูดอะไรเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าทุกคนจะเห็นด้วยกับไทน์และอยากให้เขาออกความเห็นบ้าง แต่ทิวาวัฒน์กลับคิดว่าเขาไม่ใช่คนเงียบหรือไม่พูดไม่จาอะไร แต่เขาเป็นผู้ฟังที่ดีต่างหาก และการเป็นผู้ฟังที่ดีของเขาก็ทำให้ทิวาวัฒน์สามารถจับสังเกตคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี
ทิวาวัฒน์เงยหน้ามองพระอาทิตย์อีกครั้งเพื่อคะเนเวลา เมื่อคิดว่ายังไม่ถึงเวลาอาหารเช้าและคำนวณแล้วว่าจะควบเจ้านิลมังกรกลับไปทันมื้อเช้าของแม่ เขาจึงรีบถอดกางเกงที่สวมออกแล้วกระโดดลงน้ำตามเจ้าเต่าน้อยลงไป น้ำเย็นทำร่างกายของเขาสดชื่น ร่างของเด็กหนุ่มว่ายวนไปทั่วทั้งแอ่งน้ำของลำธาร ก่อนจะแหวกว่ายไปโดยรอบด้วยท่วงท่าและลีลาที่งดงามราวกับมัจฉาตัวเขื่อง
มันเป็นความสุขเล็ก ๆ ที่เขาพยายามจะเก็บเกี่ยวให้ได้มากที่สุด...
หนทางที่ทิวาวัฒน์เลือกเดินมันยังอีกยาวไกล เมื่อตัวเขาเองเป็นพี่ใหญ่ การตัดสินใจอะไรต้องแน่วแน่และมั่นคง แม้ว่าพ่อและแม่จะอยากให้เขาคิดอ่านเหมือนเด็กทั่วไป เล่นสนุกอย่างเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเล่น ทว่าเขากลับทำมันไม่ได้อย่างนั้น
ทิวาวัฒน์คิดเสมอว่าวันหนึ่งเขาต้องดูแลทุกคนในฐานะพี่คนโต ดังนั้นทุกการกระทำของเขาจะต้องเป็นผลดีกับทุกคน แม้ว่าบางครั้งเขาจะรู้สึกว่ามันไม่มีความสุขกับการเลือกบางสิ่งบางอย่าง แต่นั่นมันก็เป็นเพราะเขาต้องทำตามหน้าที่
น้ำเสียงของแทนในวันนั้นยังดังก้องหูทิวาวัฒน์จนถึงวันนี้ น้องชายเขาบอกว่าเขาเป็นคนเจ้าระเบียบมากเกินไป ทุกอย่างจะต้องถูกต้องทั้งหมดจนมันดูตึงเครียด และครั้งนั้นเป็นครั้งที่สามพี่น้องต้องแยกห้องกันนอนเพราะแทนเกิดอึดอัดที่จะต้องอยู่ในกฎของผู้เป็นพี่ชาย
ทิวาวัฒน์ไม่เคยรู้สึกโกรธน้อง แทนพูดความจริงในความรู้สึกตัวเอง แต่ทิวาวัฒน์เองก็คิดเสมอว่าทุกอย่างต้องมีกฎเกณฑ์เป็นของมัน และยิ่งการมาอาศัยอยู่ด้วยกันแล้ว มันต้องมีระเบียบแบบแผนเพื่อให้ทุกคนทำบางอย่างไปในทิศทางเดียวกัน เช่นการรักษาความสะอาดในห้อง เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ใส่ต้องเก็บให้เป็นระเบียบ มันเป็นเรื่องพื้นฐานทั้งนั้น
ทิวาวัฒน์เงยหน้าขึ้นจากน้ำก่อนจะดุ่มเดินมาใส่กางเกงและเสื้อให้เรียบร้อย...ไม่นานหลังจากนี้เขาต้องจากบ้านไปไกล ทุกอย่างเป็นทางที่เขาเลือกเอง ในเมื่อแทนและไทน์ปรารถนาที่จะเรียนอยู่ที่เมืองไทย เขาผู้เป็นพี่ชายจึงต้องเดินทางไปเรียนในต่างประเทศ...
มันไม่ใช่เรื่องยากนักหรอก เพียงแค่ทิวาวัฒน์พยายามเหมือนเจ้าเต่าน้อยตัวนั้น สักวันเขาจะต้องประสบความสำเร็จกลับมา...เพราะสิ่งที่แม่เขาพยายามทำให้นลินธรแอนด์เดอะซันกรุปมั่นคงแข็งแรงเหมือนเช่นทุกวันนี้ เขาจึงต้องพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะเป็นผู้มารักษาและพัฒนาต่อไปให้มั่นคงกว่าเดิม...
ความมืดค่อยคลี่คลุมรอบบริเวณให้ตกอยู่ในยามราตรีกาลอันเงียบสงบ ท้องฟ้าสีดำราวกำมะหยี่ที่ปูคลุมไปทั่วม่านฟ้ามีแสงดาวพราวระยิบระยับราวกับกากเพชรนับแสนเม็ดพร่างพรายอยู่ทั่ว จันทร์เสี้ยววันนี้ทอแสงเป็นเรือง ๆ อยู่ขอบฟ้าไกลทว่ากลับใกล้ในความรู้สึกของนิลดา
เสียงหรีดหริ่งเรไรกำลังพากันกรีดปีกร้องก้องไปทั่วบริเวณบ้าน ค่ำลงแล้วแต่เด็กหญิงยังคงปักหลักนั่งอยู่ที่นอกชานบ้านเหมือนเช่นทุกวัน ไม่มีวันไหนที่นิลดาไม่รู้สึกเหงา แม้ทุกวันจะมีเรื่องราวมากมายให้เล่นสนุก ทว่าเมื่อตกค่ำและอยู่ลำพังอย่างนี้ความรู้สึกว้าเหว่ที่ซุกซ่อนอยู่ก็เริ่มเผยกายออกมา
เส้นผมยุ่งเหยิงชี้ฟูดูน่าขันของเด็กหญิงบ่งบอกว่าวันนี้ทั้งวันคงออกไปเที่ยวซนไม่ได้อยู่บ้านอย่างคำสั่งของผู้เป็นบิดา ใบหน้าเล็กงอง้ำ มอมแมมไปด้วยเศษดินเศษหญ้า เสื้อผ้าของเจ้าหล่อนหรือก็เปรอะโคลนเปื้อนดินเต็มไปหมด เด็กหญิงเกาหัวแกรกกรากเพราะเริ่มรู้สึกคันคะเยอไปหมด
“อาบน้ำเถอะค่ะหนูนิล”
“นิลยังไม่อยากอาบตอนนี้” น้ำเสียงหวานกังวานตอบกลับไป ทว่าไม่ได้หันกลับไปมองยังร่างของหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง
หล่อนทอดสายตามองเด็กหญิงตรงหน้าด้วยแววตาเอื้อเอ็นดูระคนสงสาร นิลดาคือลูกของผู้มีพระคุณ ดังนั้นตั้งแต่ป้าอิ่มได้รับมอบหมายให้เลี้ยงดูคุณหนูตัวเล็กหล่อนจึงไม่เคยอิดออด หัวใจของคนเป็นแม่นั้นรู้ดีว่าความรักลูกเป็นอย่างไร ตั้งแต่แม่เลี้ยงจากไป ป้าอิ่มก็เอาใจใส่ดูแลนิลดาเรื่อยมา พยายามให้ความรักความอบอุ่นเท่าที่จะทำได้
กระทั่งเธอเติบใหญ่มาเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ๆ ที่ทุกคนในไร่ต่างรักใคร่
“น้ำค้างลงแล้วค่ะ เข้าบ้านกันเถอะ วันนี้ป้ามีทับทิมกรอบให้หนูนิลด้วยนะ”
“เมื่อไหร่พ่อจะกลับบ้าน” เด็กหญิงหันมาถามตาแป๋ว “นิลไม่อยากกินข้าวคนเดียวแล้วนะ”
คำพูดของนิลดาทำให้ป้าอิ่มถึงกับน้ำตาคลอ หล่อนเข้าไปสวมกอดเด็กหญิงตรงหน้าเต็มรักก่อนจะลูบหลังเบา ๆ เพื่อปลอบประโลม เศษซากความว้าเหว่ของนิลดามันแผ่มากระทบจนไม่อาจทนได้
พ่อเลี้ยงทำงานหนักจนบางครั้งก็ไม่ยอมกลับมานอนที่บ้าน หล่อนรู้ว่าพ่อเลี้ยงทำงานหนักเพื่อที่จะได้ลืมความเจ็บปวดบางอย่างที่กัดกินจิตใจของตัวเอง ก่อนหน้านี้พ่อเลี้ยงติดเหล้า แต่พึ่งเลิกได้ไม่นาน พอเลิกดื่มเหล้าก็หันมาทำงานเป็นบ้าเป็นหลังอย่างนี้แทน
ความรู้สึกระหว่างพ่อลูกมันมีแต่ความเหินห่าง ขณะที่นิลดากำลังวิ่งตามผู้เป็นพ่อ ทรงพลก็พยายามถอยห่างออกจากลูก...แต่ป้าอิ่มรู้ว่าลึก ๆ แล้วพ่อเลี้ยงรักลูกมากเพียงใด สายตาที่ทอดมองยามเด็กหญิงหลับนั้นเต็มไปด้วยความรัก ความห่วงหาอาทร...แต่กำแพงบางอย่างมันก็กางกั้นคนทั้งคู่เอาไว้ให้ห่างกัน...ถ้าหากให้ป้าอิ่มเดามันคงเป็นกำแพงแห่งความกลัวและทิฐิในใจคน!
สามปีต่อมา
“พ่อบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้ขับรถมอเตอร์ไซค์เอง!” ทรงพลยืนมองนิลดาผู้เป็นลูกสาวที่กำลังนั่งแหมะอยู่บนพื้นทำเป็นทองไม่รู้ร้อนยามที่พึ่งขัดคำสั่งเขาไปเมื่อไม่นาน
เสียงบิดรถดังแว่วมาตั้งแต่เช้าตรู่ทำให้ผู้เป็นพ่อรู้ดีว่าไม่มีใครอื่นนอกจากลูกสาวตัวแสบของเขา ก่อนหน้านี้เคยออกปากห้ามหลายครั้งเรื่องการขับขี่รถ ทว่าหล่อนกลับไม่สะทกสะท้าน นิลดายอมรับฟังทุกคำตักเตือนของผู้เป็นพ่อ แต่ว่าจะทำหรือไม่ทำนั่นมันเป็นอีกเรื่อง ซึ่งส่วนมากก็หนักไปทางไม่ทำ!
ถ้าทรงพลบอกให้ลูกไปทางซ้าย แน่นอนว่านิลดาจะไปทางขวา ถ้าทรงพลบอกว่าให้ไปทางขวา นิลดาก็แค่ไปทางซ้าย เรื่องที่เป็นเรื่องทะเลาะกันมากที่สุดก็คงตอนเลือกสายเรียนในชั้นมัธยมปลาย ทรงพลบอกให้ลูกไปเรียนโรงเรียนหญิงล้วนของจังหวัดเพราะอยากจะให้นิลดามีนิสัยไม่กระโดกกระเดก
ทว่ามันแน่นอนว่าคนหัวดื้อไม่มีทางเลือกในสิ่งที่พ่อต้องการ หล่อนจึงไปเรียนโรงเรียนชายล้วนที่พึ่งเปิดรับเด็กนักเรียนหญิงเป็นปีแรกเพื่อปรับเป็นสหศึกษา จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่ทั้งพ่อและลูกต่างก็ร้อนเป็นไฟ ยังดีที่ป้าอิ่มเข้ามาห้ามทัพเอาไว้ได้ ไม่อย่างนั้นบ้านคงแตกสาแหรกคงขาดสะบั้น
เรื่องมันควรจะจบเพียงเท่านั้นเมื่อทรงพลยอมให้ลูกสาวไปเรียนในโรงเรียนที่มีผู้ชายสี่พันคนและมีผู้หญิงเพียงไม่กี่สิบคน ทว่ามันกลับมีปัญหาต่อมาเมื่อเขาต้องการให้ลูกเรียนศิลป์ภาษา หรือศิลป์คำนวณที่สามารถต่อยอดไปทำอย่างอื่นเกี่ยวกับการติดต่อธุรกิจหรือภาษาได้
มันก็เป็นเรื่องแน่อยู่แล้วว่าลูกจะต้องขัดใจพ่อ...หล่อนเลือกเรียนวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ และปีนั้นนิลดาก็เป็นผู้หญิงคนเดียวในสายวิทย์!
ด้วยคลุกคลีตีโมงกับผู้ชายนับสิบในห้องพฤติกรรมของลูกสาวจึงออกไปทางห้าวเป้ง กิจกรรมทุกอย่างของนิลดาจึงไม่ใช่เย็บปักถักร้อยเหมือนเด็กผู้หญิงคนอื่น!
“พ่อขอสั่งห้ามไม่ให้ขับรถอีก แล้วไอ้ซากรถนั่นก็จะเอาไปขายทิ้งให้หมด”
“พ่อไม่กล้าขายหรอก” นิลดาพูดเสียงเรียบนิ่ง “ถ้าพ่อขายนิลจะพังบ้าน...คอยดู” พูดจบก็ลุกออกไปจากบ้านทันที ปล่อยให้ทรงพลมองตามด้วยความละเหี่ยใจ
“ป้าอิ่มดูนะ ทุกวันนี้มันไม่ให้ความเคารพฉันแล้ว มันเห็นฉันเป็นตอไม้”
“เดี๋ยวป้าจะช่วยบอกอีกทางนะคะ”
“แล้วขับรถก็ไม่ใช่ขับธรรมดาเหมือนชาวบ้านชาวเมือง บิดเสียงลั่นไปทั้งไร่ ขับรถอย่างกับเหาะอย่างนี้ไม่ให้ฉันห่วงได้ยังไง พอห้ามก็หาว่าเจ้ากี้เจ้าการอีก”
ทรงพลส่ายหัว ความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกเป็นไปในทิศทางที่ไม่ดีนัก เขารู้ว่ามันเป็นเพราะตัวเขาเองที่ให้บางอย่างกับลูกไม่ได้ นิลดาจึงเกิดอาการต่อต้านเขาอย่างนี้ แต่มันก็ดีที่สุดแล้วที่พ่อคนหนึ่งจะทำให้ลูกได้
เสียงรถที่แล่นออกไปทำให้ทรงพลต้องก้าวไปดูที่หน้าต่าง ลูกสาวที่กำลังขับรถออกไปด้วยความเร็วทำให้ผู้เป็นพ่อนึกห่วง อย่างน้อย ๆ ก็ขับรถให้มันเหมือนชาวบ้านชาวช่องหน่อยปะไร นี่เล่นขับเร็วอย่างนี้เขาก็อดห่วงไม่ได้ นิลดาคนไม่ค่อยกลัวอะไร ยิ่งสามปีที่เรียนโรงเรียนผู้ชายแบบนั้น นิสัยการกระทำจึงเป็นเหมือนผู้ชายไปหมด หนักเขาก็มีแต่เพื่อนผู้ชาย
ยอมรับว่าทีแรกผู้เป็นพ่อก็ห่วง แต่ทว่าสามปีที่คอยดูลูกอยู่ห่าง ๆ ทรงพลเองก็สามารถบอกตัวเองเต็มปากเต็มคำได้เลยว่า...
เด็กผู้ชายพวกนั้นต่างหากที่น่าเป็นห่วง!
นิลดาลดระดับความเร็วลงเมื่อขับรถมาถึงบริเวณคอกม้า หญิงสาวกระโดดลงจากรถก่อนจะวิ่งไปยังบริเวณโรงม้า แดดสาดแสงกระทบผิวกายเนียนละเอียดของหญิงสาวทำให้เกิดแสงสว่างราวกับงาช้างต้องแสงแดด นิลดาเป็นคนผิวขาวเนียนละเอียด แม้ว่าหล่อนจะไม่ชอบผิวตัวเองก็ตาม
หญิงสาวปรารถนาที่จะได้ผิวสีเข้ม ทุกครั้งที่ออกมาตากแดดนอกไร่จึงไม่เคยสวมเสื้อผ้าที่ป้องกันแดดแม้แต่น้อย แม้ว่าป้าอิ่มจะคอยกำชับนักหนาว่าต้องใส่หมวกใส่เสื้อแขนยาว หญิงสาวก็ยอมใส่เฉพาะต่อหน้าป้าอิ่มเท่านั้น พอนอกสายตาหล่อนก็ถอดทิ้งไม่เป็นที่เป็นทาง
ใบหน้ายิ้มแย้มรีบชะโงกหน้าไปดูเจ้าสายหมอก ม้าสีขาวตัวโปรดของตัวเอง หล่อนลูบเจ้าสายหมอกก่อนจะหันไปถามน้าเข้มคนดูแลม้าของไร่
“น้าเข้มวันนี้สายหมอกเป็นยังไง”
“วันนี้สายหมอกอารมณ์ดีครับ รอหนูนิลตั้งแต่เช้าแล้ว”
“วันนี้นิลจะพาสายหมอกไปไกลหน่อย อยากไปดูท้ายไร่ว่าพอจะมีที่ว่างบ้างหรือเปล่า อยากจะเอาต้นไม้ไปลงเพิ่ม”
“หนูนิลลองไปแถบเชิงเขาฝั่งทางด้านนู้นสิครับ บรรยากาศดีนะ ใกล้ลำธาร แต่ไกลหน่อย ถ้าไปต้องรีบกลับเดี๋ยวจะค่ำเอา” เข้มกำชับ เพราะว่าทางที่บอกนั้นไกลจากที่นี่หลายกิโล
“เดี๋ยวนิลจะลองไปดู ถ้าพ่อมาตามไม่ต้องบอกว่านิลไปไหนนะ” นิลดากำชับอีก เพราะรู้ดีว่าพ่อเลี้ยงทรงพลคงมาตามถ้าหากเย็นแล้วไม่ยอมกลับบ้าน
“หนูนิลไม่ขออนุญาตพ่อเลี้ยงก่อนหรือครับ” น้าเข้มทำหน้าลำบากใจ “เดี๋ยวก็โดนพ่อเลี้ยงดุอีกหรอกครับ”
“นิลไม่สนหรอก ดุก็เรื่องของพ่อ มันไม่ใช่เรื่องของนิล!”
นิลดาพูดจบก็ควบเจ้าสายหมอกออกจากโรงม้าไปทันที หญิงสาวชำนาญการขี่ม้ามาตั้งแต่เด็ก เพราะความเหงาทำให้หล่อนรักที่จะออกมาเล่นนอกบ้าน และเมื่อได้มาพบกับความสนุกนอกบ้านอย่างนี้แล้วมีหรือที่คนอย่างนิลดาจะปล่อยให้หลุดมือ แม้ว่าพ่อจะห้ามนักห้ามหนาว่าอย่ามาขลุกอยู่แต่ในไร่ แต่หล่อนก็ไม่เคยเชื่อฟังและไม่คิดจะฟัง
ร่างระหงที่กำลังควบม้าสายหมอกไปลัดเลาะไปตามเส้นทางที่ไม่ชำนาญ ทว่าหล่อนกลับไม่เกรงกลัวสิ่งใด ท่วงท่าที่งดงามมั่นคงของหล่อนยิ่งทำให้หญิงสาวดูเป็นคนที่สง่าและแข็งแรง แม้ว่าร่างกายจะบอบบางก็ตาม สายตาของหล่อนทอดมองไปข้างหน้าอย่างมีจุดหมาย
ภาพของภูเขาลูกใหญ่ที่วางตัวนิ่งอยู่อีกฟากคือจุดหมายของนิลดา แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านม่านเมฆที่คลี่คลุมบนยอดเขาสูงตลอดทั้งวัน อากาศวันนี้เย็นและชื้นมากเป็นพิเศษแม้ว่าแดดจะออก บรรดานกตัวน้อยกำลังบินไปรอบ ๆ บรรยากาศที่ทำให้หญิงสาวต้องคลี่ยิ้มออกมา และรู้สึกว่าบริเวณนี้เป็นที่ที่หล่อนยังไม่เคยมาถึง
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ที่นิลดาควบเจ้าสายหมอกออกมาจากโรงม้า เพราะมัวแต่เพลิดเพลินและดื่มด่ำกับบรรยากาศ สายลม แสงแดด รอบกายจึงไม่ได้พะวงกับเวลาที่ควบม้ามา หญิงสาวปล่อยเจ้าสายหมอกให้กินหญ้าอยู่บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ก่อนที่หล่อนจะเดินออกไปยังบริเวณที่ได้ยินเสียงน้ำไหล
ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าทำให้หญิงสาวต้องตาค้าง...ธารน้ำสีใสกำลังไหลเป็นสาย ดูเหมือนว่าธารน้ำนี้จะเป็นเขตแบ่งแยกระหว่างไร่ของพ่อหล่อนและของใครสักคนที่อยู่อีกฝั่ง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่นิลดาปรารถนาที่จะรู้ เพราะตอนนี้หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นกับธารน้ำเบื้องหน้าจนต้องสลัดรองเท้าทิ้งและกระโดดลงไปในน้ำด้วยความตื่นเต้น
ขณะที่กำลังมีความสุขกับความเย็นเยือกของธารน้ำหญิงสาวก็เหลือบไปเห็น ‘เต่าตัวโต’ ที่กำลังต้วมเตี้ยมอยู่บนโขดหินใหญ่ ดูเหมือนว่ามันกำลังขึ้นไปตากแดด คงอยากอาบแดดเหมือนกันกับหล่อนสิท่า หญิงสาวละความสนใจจากเจ้าเต่าตัวนั้นก่อนจะหันมาตื่นเต้นกับน้ำใสไหลเย็นของหล่อนต่อ
ไม่เคยคิดฝันว่าจะมีสถานที่วิเศษอย่างนี้อยู่ท้ายไร่ บรรยากาศรอบข้างเหมาะกับมาหนีมาพักผ่อนของหล่อนยิ่งกว่าอะไร ต่อไปถ้าหากนิลดาเบื่อที่จะฟังพ่อบ่นหล่อนก็จะหนีมาอยู่ที่นี่ บางทีหล่อนอาจจะต้องเตรียมของจำพวกของกินหรืออะไรที่ปูนอนได้มาด้วย
ธารน้ำไหลที่ทอดตัวยาวสุดสายตาอย่างนี้ไม่รู้ว่าต้นน้ำอยู่ที่ไหน บางทีถ้าหากมีเวลาสักหน่อยนิลดาก็คิดว่าอยากจะไปตามหาต้นน้ำ บางทีหล่อนอาจจะเจอน้ำตกที่อยู่แถวนี้ก็เป็นไปได้
“อ้ะ!” นิลดาสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกว่ามีอะไรมาคุ้ยที่เท้าของหล่อน พอมองไปก็เห็นเจ้าเต่าตัวเมื่อครู่กำลังว่ายวนอยู่
หญิงสาวจับเจ้าเต่าขึ้นมาก่อนจะมองหน้ามัน แปลกที่เต่าตัวนี้ไม่ยักจะหดหัวหดหาง แถมไม่ยอมดิ้นอีกต่างหาก มันดูเชื่องจนนิลดาแปลกใจ...
“จับเอาไปทำต้มยำดีมั้ย” นิลดาแกล้งแหย่ พอสิ้นคำเจ้าเต่าก็หดหัวทันทีราวกับกลัวหล่อนเอามันไปต้มยำจริง ๆ หญิงสาวปล่อยเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะวางมันลงในลำน้ำดังเดิม “อย่าเชื่องกับคนแปลกหน้าให้มากนักนะ คราวหน้าถ้าเจอคนใจร้ายระวังจะเป็นเต่าต้มยำน้ำแซบจริง ๆ ไม่รู้ด้วย”
หล่อนขู่เจ้าเต่าก่อนจะเดินขึ้นฝั่งไปหาเจ้าสายหมอกที่กำลังเล็มหญ้าอยู่ที่เดิม...
นิลดามองภาพตรงหน้าอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้กลับมาที่นี่อีก เสียงน้ำไหลทำให้หัวใจนิลดาชุ่มชื่น...เมื่อเลือกแล้วหล่อนก็ต้องไป ไม่นานหลังจากนี้นิลดาจะต้องเดินทางไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ