“เชิญ”
เสียงห้าวดังก้องไปมาอยู่ในหัวมนๆ ของรุจิรัตน์ หล่อนเบี่ยงตัวเข้าไปนั่งที่ด้านหน้ารถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อ สภาพขะมุกขะมอมบึกบึนพอๆ กับคนขับ ปล่อยให้กระเป๋าสัมภาระใบเดียวแออัดอยู่กับข้าวของด้านหลังกระบะคันนั้น ที่ตักหล่อนคือซองเอกสารใหม่เอี่ยมที่เพิ่งได้มาจากอำเภอเมื่อสักครู่นี้
“ทะเบียนสมรสเป็นเอกสารสำคัญนะครับ โปรดเก็บรักษาไว้ให้ดี” นายทะเบียนผู้รับจดทะเบียนสมรสของคนแปลกหน้าต่อกันทั้งคู่บอก หล่อนไม่กล้าเหลือบไปมองหน้าสามีหมาดๆ เขาเองก็ดูมุ่งมั่นกับการขับรถบนถนนระหว่างจังหวัดราบเรียบ ทอดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุดนั้นเหลือเกิน
“กินอะไรมาหรือยัง”
“ค่ะ มื้อเช้า คุณล่ะคะ”
“ดีแล้ว เพราะยังต้องเดินทางอีกไกลกว่าจะถึงที่หมาย” เขาไม่ตอบคำถามหล่อน หรืออาจจะไม่ได้ยินเพราะเสียงเครื่องรถดังเหลือเกิน ดวงตาคมฉายมองมาแวบเดียวก็หันกลับไปจ้องมองท้องถนนอีกครา ใบหน้าเครียดขึ้งราวกับโกรธคนทั้งโลก
รุจิรัตน์เพิ่งรู้ว่าเขาชื่อพนสณฑ์ เสถียรพงศ์ประภากร หนึ่งในทายาทของตระกูลใหญ่ที่หล่อนเคยได้ยินแต่ชื่อ เมื่อพ่อบอกกับหล่อนว่า เขาคือคนที่จะมาครอบครองหล่อนเพื่อไถ่ถอนหนี้สินที่พ่อมีต่อเจ้าสัวประภาส ปู่ของเขา หล่อนก็อดวาดภาพเขาไว้เสียสวยหรูไม่ได้ จนมาพบตัวจริงของเขา หล่อนแทบไม่กล้าขึ้นรถมาด้วย ถ้าพ่อกับแม่เลี้ยงสาวของหล่อนจะไม่ออกมายืนยันมั่นเหมาะ
“ไปสิยะ คนนี้ล่ะผัวเธอ อย่าให้ทายาทเศรษฐีรอนานนักสิ” แม่เลี้ยงของหล่อนกระแนะกระแหน เหยียดตามองหล่อนและชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ตัดผมเกรียน ใส่หมวกแก๊บ กางเกงยีนส์ซีดๆ รองเท้าผ้าใบและขับรถกระบะเก่าๆ คันใหญ่ ขนข้าวของพะรุงพะรัง
“ไปเถอะลูก ไปกับคุณสณฑ์ ผมฝากลูกแก้วด้วยนะครับ ไว้มีโอกาสผมจะไปเยี่ยม” พ่อพูดได้เท่านั้น ก็รุนหลังให้หล่อนขึ้นรถมากับเขา รุจิรัตน์รู้สึกเจ็บจนชา อยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก มันไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อทำกับหล่อนราวกับเป็นสิ่งของ แต่หล่อนก็เอาตัวรอดมาได้ทุกครั้งจนสมบัติที่แม่ทิ้งไว้ให้ร่อยหรอ และหนี้ครั้งนี้ของพ่อมากเกินกว่าที่หล่อนจะหามาใช้ให้ได้ การพนันล้างทุกอย่างแม้กระทั่งเลือดยังจืดจางยังกับน้ำไปได้