พนาพร่ำรัก

กระท่อมปลายนา

ภาคต้น พุทธศักราช 2553

ขนมปังกะโหลกแผ่นหนาราคาถูก ถูกหั่นเป็นแผ่นหนาขนาดเท่าฝ่ามือ วางเรียงรายอยู่บนตะแกรงปิ้งเหนือเตาถ่าน ภายในรถสามล้อพ่วงข้างริมถนนสายเล็กๆ ติดกับบึงน้ำขนาดกว้างข้างกำแพงโรงเรียน เวลาเช้าตรู่เช่นนี้บรรดาลูกค้าวัยใสยังมีไม่มากเท่าใดนัก ที่มีอยู่ไม่กี่คนนั้นสามารถแบ่งได้เป็นสองพวกใหญ่ๆคือบ้านไกลเลยต้องมาเช้า กับพวกที่ตั้งใจตื่นเช้าเพื่อมาลอกการบ้านเพื่อนโดยเฉพาะ และลูกค้าคิวแรกของร้านนั้นจัดอยู่ในประเภทหลัง ร่างผอมขาวสูงแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตแขนจีบสวมกระโปรงหกกลีบสีกรมเข้ม อย่างเด็กชั้นมัธยมปลายทั่วไป หล่อนยืนกอดอกพิศมองแม่ค้าจับขนมปังทามาการีน ซึ่งปิ้งจนได้ที่แล้วพลิกหงายขึ้น กลิ่นของมันหอมกรุ่นกำจายไปทั่วบริเวณ ก่อนจะตามมาด้วยการราดนมข้นหวานจากกระป๋อง และตบท้ายด้วยการโรยน้ำตาลทรายตามด้วยความเพลิดเพลิน

“นี่จ้ะน้องเฟิร์น” เงินจำนวนพอดีถูกส่งให้คนขายอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ผู้ถูกเรียกว่าเฟิร์นนั้นจะเดินจากไปพร้อมกับจิ้มขนมปังที่ถูกตัดเป็นชิ้นแล้วใส่ปากไปด้วย หล่อนสนิทกับแม่ค้าคนนี้ดี เพราะตอนเย็นๆยายแม่ค้าหน้าสวย มักจะตระเวณไปขายขนมปังปิ้งตามตลาดนัดที่ต่างๆ ที่เดียวกับที่พ่อและแม่ของเธอไปตั้งร้านขาย เมื่อครั้งที่ยังเคยไปช่วยเสกศักดิ์และสุมณี หญิงสาวยังได้พูดคุยกระเซ้าเย้าแหย่แม่ค้ารายนี้อยู่หลายครั้งด้วยกัน

หล่อนเลือกที่จะเดินตัดทางประตูหลังเพราะอยู่ใกล้กว่า เช้านี้อากาศค่อนข้างเย็นกว่าปกติเล็กน้อย ก็ด้วยมีฝนตกลงมาตอนค่อนรุ่งแลได้จากต้นไม้ใบหญ้าที่ยังคงพร่างพราวด้วยหยาดน้ำ ในโรงเรียนค่อนข้างเงียบเชียบกว่าปกติเพราะเด็กยังมากันไม่มาก เธออยากให้เป็นเช่นนี้ตลอดทั้งวันจริงๆเลยจะได้ไม่ต้องมีเรื่องวุ่นวายให้ปวดหัว

“ฮ่าๆๆ ... พวกมึงเคยเห็นม้ากินขนมปังเปล่าวะ” อารมสุนทรีมีอันสะดุดลงเพียงเท่านั้น ร่างผอมหมุนตัวกลับไปทางม้าหินที่กลุ่มคนเหล่านั้นนั่งอยู่

“เคยสิจ๊ะ! ทำไมจะไม่เคยล่ะก็เพิ่งจะเห็นไปหลัดๆ” ลูกสมุนสอดรับได้ราวปี่กับขลุ่ย

“มึงว่าใครวะ” เจ้าของคิวแรกร้านปังปิ้งเดินส่ายอาดๆด้วยมาดนักเลงกรากไปหาพวกปากดี

“เปล๊า! ไม่ได้ว่าใคร แค่พูดกับเพื่อนเฉยๆ” ยายอ้วนคนที่พูดคนแรกตอบกลับด้วยท่าทางกวนประสาท

“ตอแหล! ก็มีกูคนเดียวที่เดินกินขนมปังมา ...พอเห็นกูมึงถึงได้พูดมาลอยๆ อย่างนี้มันหาเรื่องกันนี่หว่าอีเหมย” อีเหมยหรือดอกเหมย ที่มีชื่อและนามสกุลจริงว่า ณัฐริกุล รายมาลีนั้น เริ่มหน้าเสียลงเล็กน้อย เพราะนึกขยาดไม่คิดว่ารุ่นพี่คนนี้จะเอาจริง จากที่ได้เห็นแค่ลักษณะภายนอกซึ่งดูเงียบๆเรียบๆมาตลอด หากแม่คนเก่งแต่ปากก็ยังปากเก่งต่อไปอีกว่า

“เอ๊ะ! ก็บอกอยู่ไงล่ะไม่ได้ว่าใครแค่พูดเล่นกับเพื่อนเท่านั้น ฟังภาษาคนไม่ออกหรือไงกัน” ปากก็พูดไปทว่ามือนั้นกลับเก็บเครื่องสำอางจำพวกหวี แป้งเด็กกระป๋องเล็ก และน้ำยาอุทัย ใส่ลงในกระเป๋าอย่างรวดเร็ว

“มึงจะตบกับกูไหมล่ะ ... กูตัวให้พวกมึงสามตัวเลยเอ้า” คนเป็นมวยยืนข้อเสนอให้เพราะรู้ดีว่าพวกนั้นหงอ ไม่กล้าสู้ใครทั้งสิ้น หากแต่ยังไม่มีใครทันได้ตอบกลับมีเสียงหนึ่งดังขัดจังหวะมาเสียก่อน

“เฟิร์น! แกไปทำอะไรตรงนั้นวะ” ครั้นร่างผอมสูงหันไปปุ๊บกลุ่มของดอกเหมยก็ใช้จังหวะนั้นชิ่งหนีไปปั๊บ

“จะมาสั่งสอนอีพวกปากระยำสักหน่อย ... แน่ะ! แกดูสิถั่วฉันหันหลังแป๊บเดียวก็รีบแจ้นไปไกลแล้ว โธ่! คิดว่าจะแน่ ถุย!!!!” คำสุดท้ายเป็นการจงใจพูดเสียงดังจนเกือบเป็นตะโกน เพื่อให้เด็กกลุ่มนั้นได้ยิน

“เอาน่า! อีเหมยมันก็เหมือนอีอ้อมพี่มันนั่นแหละ ... ตัวใหญ่ใจหมาไม่สู้ใคร” เด็กสาวร่างใหญ่ผิวคล้ำผู้มีใบหน้าดุพูดกลั้วหัวเราะด้วยความชอบใจ ทำเอาผู้ที่เพิ่งจะมีเรื่องเมื่อก่อนหน้าพลอยหัวเราะตามไปด้วย อาการโกรธขึ้งดูจะสงบลง

“แล้วนี่การบ้านคณิตเสร็จแล้วยังเพื่อน”

“ระดับไหนแล้วเนี่ยต้องเสร็จซี ... ไปเถอะไปโต๊ะประจำเราดีกว่า”

“ฉันซื้อปังปิ้งมาเผื่อแกแล้วนะถั่ว” ไม่พูดเปล่าซ้ำยังชูกล่องโฟมตัดครึ่งสำหรับรองขนมให้ดูด้วย

“ตายๆ ฉันก็ซื้อมาเผื่อแกเหมือนกันว่ะเฟิร์น” ผู้ที่ถูกเรียกว่าถั่วชูสิ่งเดียวกันให้สหายดู

“วันนี้มีหวังอิ่มขนมปังจนไม่ต้องกินข้าวเที่ยงแหงๆ” หล่อนหัวเราะเสียงใสขณะที่สองเท้าก็เดินออกไปพร้อมเพื่อนสาวคนสนิทโดยมีจุดหมายสำคัญอยู่ที่ ม้าหินอ่อนใต้ต้นพญาสัตบรรณหน้าอาคารเรียนคหกรรมศาสตร์ หรือที่เรียกกันง่ายๆในหมู่นักเรียนว่า อาคารคอกหมู[1] เป็นอาคารเรียนชั่วคราว เตรียมที่จะรื้อถอนเพื่อสร้างอาคารใหญ่ในอนาคต

สมุดเล่มหนาถูกหยิบออกมาจากกระเป๋าเป้สะพายหลัง ดูเหมือนว่าเครื่องใช้ทุกชิ้นจะมีสัญลักษณ์ของโรงเรียนวิทูลัยปรากฏอยู่ทุกสิ่งแม้กระทั่งปกสมุดเล่มนั้นก็ยังเป็นรูปอาคารเรียน โรงเรียนวิทูลัยแห่งนี้เป็นโรงเรียนเก่าแก่ก่อตั้งเมื่อปีพ.ศ.2485 เป็นต้นมาผู้มีชื่อเสียงระดับประเทศหลายท่านก็ล้วนแต่เป็นศิษย์เก่าที่นี่ ก่อตั้งโดยคุณนายเฉลียว ชีวินวิไล ต่อมาเมื่อคุณนายสิ้นชีวิตลงทายาทไม่สามารถจะดูแลกิจการต่อไปได้ เนื่องจากมีธุรกิจหลายอย่างที่จะต้องดูแล จึงได้ทำการโอนย้ายมาให้รัฐบาลดูแลมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2528เป็นต้นมา เหล่าคณาจารย์ ศิษย์เก่า เครือข่ายผู้ปกครอง รวมถึงศิษย์ปัจจุบันจึงได้พร้อมใจกันหล่อรูปเหมือนของท่านไว้ในศาลาหลังเล็กภายในสวนสมุนไพรของโรงเรียน

“ทำไมมันเยอะจังเลยนี่” คนพูดพลิกหน้าสมุดที่ร่องรอยการขีดเขียนไปมา ด้วยความเกียจคร้าน

“อย่าบ่น! ลอกๆไปเถอะน่าจำไม่ได้เหรอว่าอาจารย์มณียงแกให้ส่งก่อนเจ็ดโมงสี่สิบห้า มัวแต่พูดมากอยู่นั่นแหละเดี๋ยวก็ไม่เสร็จหรอกย่ะ” ผู้ไม่มีภาระใดๆในเช้านี้ต่อว่าเสียงใส พร้อมละเลียดขนมปังกินอย่างสบายใจ

“เฟิร์นหยัน! ทำอะไรอยู่วะ!” เสียงนั้นส่งผลให้เจ้าตัววางปากกาลงอย่างไม่สบอารมณ์ ฉายานั้นดูจะจี้ใจอย่างแรง

“ตามีไม่เห็นหรือไงวะไอ้ฮูก” เด็กหนุ่มใบหน้ารูปไข่ผู้มีดวงตาคมโตเฉกเช่นเดียวกับสมญานามที่ได้รับ หัวเราะน้อยๆอย่างไม่สะทกสะท้านต่อคำพูดของอีกฝ่าย พร้อมกับวิ่งเหยาะๆตรงม้าที่สองสาวนั่งอยู่

“กินปังปิ้งไหมโด้” ศุลีพรเลื่อนถาดโฟมมาให้

“ขอบใจมากถั่วหยิบ ... กำลังหิวอยู่พอดี” อธิปคว้าขนมใส่ปากก่อนเบนหน้าหา เพื่อนร่วมห้องอีกรายที่กำลังนั่งลอกการบ้านด้วยความตั้งใจ ความเป็นคนง่ายๆเด็กหนุ่มชั้นม.6/8 พูดทั้งที่ขนมยังเต็มปากอยู่ว่า

“อะไรวะ! เฟิร์นหยัน ... นี่มึงลอกการบ้านเพื่อนเหรอ”

"นี่! อย่ามาดัดจริตนะ" หล่อนมองค้อนนิดๆ เด็กหนุ่มหัวเราะน้อยๆอย่างรู้เท่าทันกันอยู่ เพราะไม่เพียงแต่ก็เพื่อนสาวเท่านั้น หากแต่หนุ่มหน้ามนนามว่า โด้ ก็ยังเคยให้เธอลอกการบ้านอยู่เป็นประจำด้วยเช่นกัน

“เออ! กูลอกชัดเจนไหม ... ใครจะไปเก่งสู้มึงได้เล่าขนาดเรียนๆโดดๆยังได้สี่เกือบทุกวิชา กูน่ะมันโง่เรียนเก่งสู้คนอื่นไม่ได้หรอก” เธอระบายความน้อยเนื้อต่ำใจจากก้นบึ้งส่วนลึก

“โธ่! ใจเย็นๆเถิดหนาแม่แก้วมณีศรีอาชา แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง” ศุลีพรเผลอหลุดหัวเราะไปกับคำพูดของอธิปด้วย

“แก้วมณีบ้านมึงสิ ... กูชื่อแก้วกลอยโว้ย” นึกถึงชื่อของตนเองแล้วยังเจ็บใจไม่หาย ทั้งชื่อเล่นชื่อจริงดูจะส่อไปในทางที่ทำให้คนอื่นชวนหัวได้เสมอ ชื่อของแก้วกลอยกว่าจะตั้งได้แม่ต้องทะเลาะกับยายอยู่นาน แรกทีเดียวพ่อของหล่อนเธอตั้งให้เสียอย่างไพเราะว่า กนกนารี เพราะตอนนั้นเสกศักดิ์เป็นลูกจ้างอยู่ร้านต้นไม้เถ้าแก่สังข์ ความหลงใหลในพืชพรรณไม้จำพวกเฟิร์นและปาล์มทำให้เขาคิดที่จะนำชื่อสายพันธุ์มัน มาตั้งให้แก่บุตรสาวคนโตของตนเองบ้าง หากเมื่อนางกาญจนาผู้เป็นแม่ยายทราบเข้า ถึงกับโวยวายลั่นบ้านด้วยรังเกียจบุตรเขยคนจนเป็นทุนเดิม

“นังณี! แกจะให้ผัวแกมาตั้งชื่อตัดหน้าแม่ไม่ได้นะ ... ก็บอกอยู่หลายครั้งแล้วไม่ใช่เหรอว่า ชั้นลูกให้พ่อเขาตั้ง ส่วนชั้นหลานแม่จะเป็นคนตั้งเอง”

“หนูไม่เห็นว่าที่พี่เสกเขาตั้งจะเสียหายตรงไหนเลย ชื่อกนกนารีออกจะเพราะแถมยังคล้องกับชื่อแม่ด้วยไม่ใช่เหรอ” สุวรรณีพูดพร้อมเขย่าทารกน้อยในอ้อมแขนเบาๆ เพื่อกล่อมให้หลับก่อนจะเหลือบต่ำลงมองธิดาด้วยความหนักใจกึ่งรำคาญพร้อมๆกัน

“’งั้นแกก็เลือกเอาระหว่างแม่กับผัว”

“แล้วแม่จะต้องว่าอะไรล่ะ”น้ำเสียงของสุมณีแสดงถึงความระอานางกาญจนาอย่างเต็มที่

แก้วกลอย ลูกของแกต้องมีชื่อจริงว่า แก้วกลอย” ท่านยิ้มอย่างผู้ชนะโดยไม่คำถึงความรู้สึกบุตรสาวว่าจะเป็นอย่างไร

แก้วกลอย แม่คิดนานไหม ตั้งเข้าไปได้ยังไง ชื่อก็โบราณแถมความหมายแปลว่าอะไรยังไม่รู้เลย ใช่ซี! ก็ลูกหนูมันไม่ได้น่ารักเหมือนลูกพี่วัฒน์เขานี่นา ถึงจะได้ชื่อดีๆอย่าง กตัญญู กับ กุมภมาศ

“แกหยุดว่าฉันเดี๋ยวนี้นะนังณี ... หลานของฉันแต่ะละชื่อฉันย่อมคิดมาเป็นอย่างดีแล้วทั้งนั้น อย่างลูกแกฉันก็เอามาจากเนื้อเพลง ไม่มีหรอกนะที่จะตั้งลอยๆขึ้นมาน่ะ”

หากท้ายที่สุดแล้วทั้งเสกศักดิ์และสุมณีก็ต้องยอมลงให้แก่นางกาญจนาโดยดี หญิงสาวก็เลยได้ชื่อแก้วกลอยมานับแต่นั้น ส่วนชื่อเล่นผู้เป็นยายมิได้มาเกี่ยวข้องแต่อย่างใดบิดาเป็นคนตั้งให้เอง ตอนยังไม่ประสีประสาแก้วกลอยก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับชื่อตนมากนัก กลับคิดไปว่าเก๋และเท่ห์ด้วยซ้ำไป แต่ครั้นเมื่อได้เข้าเรียนชั้นประถมทั้งเนมและนิกเนมกลับกลายเป็นหอกข้างแคร่โดยไม่รู้ตัว เมื่อมีละครจักรๆวงศ์ๆตอนเช้าวันหยุดเรื่อง แก้วหน้าม้า ออกฉาย ส่งผลให้ละครดังเป็นพลุแตกและหล่อนเองก็พลอยได้อานิสงส์จากละครไปด้วย แก้วกลอยกลายเป็นที่ล้อเลียนของเพื่อนร่วมห้องอย่างสนุกสนานนำทีมโดยอธิป ประเวศมุกรายนี้แหละ ตั้งแต่อนุบาลถึงประถมหก อธิป ประเวศมุก แก้วกลอย มันนาลัย และ ศุลีพร พลุไสว เรียนร่วมห้องเดียวกันมาตลอด สำหรับศุลีพรนั้นไม่มีปัญหาอะไรแต่อธิปนั้นหล่อนคิดเสมอว่า จบชั้นประถมเมื่อใดก็คงจะแยกกันไปตามทาง แต่สิ่งที่คิดกลับสวนทางกับความเป็นจริง เมื่อมาสอบเข้าที่วิทูลัยกลับต้องมาพบกันอีก มิหนำซ้ำตอนสอบเข้ามอปลายก็ดันมาลงเอกเดียวกันคือไทย-สังคมเป็นอีกครั้งที่ต้องเรียนห้องเดียวกัน ช่างบังเอิญดีแท้

“แล้วทำไมถึงได้แหกขี้ตาตื่นมาแต่เช้าวะฮูก” พูดไปก็ลงมือลอกการบ้านไปพลาง

“มีนัดกับพวกไอ้บูม ไอ้เต้ ไอ้ตี๋ ไอ้ยักษ์น่ะ ... มีอะไรใหม่ๆมาลองเล่นกัน” เด็กหนุ่มหน้าตาคมเข้มมองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวัง พร้อมกับล้วงเอาวัตถุทรงสี่เหลี่ยมมาวางบนโต๊ะ

“เฮ้ย! นี่มันบุหรี่นี่หว่า” แม่สาวร่างใหญ่ผมยาวมัดผูกด้วยโบว์สีเงินร้องออกมา

“เออ! บุหรี่กาแรม[2] ญาติไอ้ยักษ์จากทางใต้ เขาเอามาฝากมันตั้งหลายกล่องเชียวนะ”

“นี่มันของหนีภาษีชัดๆ ระวังเถ๊อะอาจารย์วราห์จับได้ล่ะน่าดู” บุตรสาวของเสกศักดิ์และสุมณียกเอาชื่อหัวหน้าระดับมาอ้าง

“ก็นี่แหละที่กูถึงได้มาหาพวกมึงไง”

“มาหากูเพื่อ ...” แก้วกลอยถามในขณะที่การบ้านข้อรองสุดเกือบเสร็จ

“กูฝากบุหรี่กล่องนี้ไว้ที่มึงได้ไหมเฟิร์น”

“เอ้า! ไหงมายัดข้อหาให้กูง่ายๆแบบนี้วะ เกิดอาจารย์ตรวจขึ้นมาแล้วกูไม่ซวยไปด้วยหรือนั่น”

“มึงก็รู้ว่าเด็กผู้หญิงอาจารย์แกไม่ตรวจละเอียดหรอก แค่ดูผม เสื้อ กระโปรง เสื้อซับในกับของภายนอกเท่านั้น แถมมึงก็ยังแต่งตัวเรียบร้อยถูกระเบียบอีกต่างหาก”

“ช่วยมันเถอะเฟิร์น ยังไงก็อยู่กันมาตั้งแต่ประถม” ศุลีพรสนับสนุนอีกแรง

“ก็ได้วะ ... นี่เห็นแก่ที่ช่วยกูมาหลายครั้งเวลาที่ตอบไม่ได้ แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นต้องรับผิดชอบร่วมกันสามคนนะ” สิ่งที่แก้วกลอยกลัวจะไม่มีวันเกิดขึ้นอย่างแน่นอนหากว่าไม่มีใครผู้หนึ่งเดินผ่านมาทางนั้นพอดี เด็กสาวผิวดำรูปร่างอ้วนเตี้ย เปลี่ยนเป้าหมายจากที่ตั้งใจว่าจะตั้งใจไปห้องน้ำ มุ่งตรงเข้ามาหากลุ่มคนที่กำลังนั่งสนทนากันอยู่

“ทำอะไรกันอยู่น่ะ” อธิปรีบยัดบุหรี่กล่องนั้นใส่ลงในช่องกระเป๋าเล็กของแก้วกลอย กระนั้นก็ยังไม่พ้นสายตาว่องไวดุจนางเหยี่ยวของณัฐริกาไปได้ แม้จะไม่แน่ใจว่าคืออะไรก็ตาม

“เปล่า! แค่นั่งคุยกันเฉยๆ .. แล้วนี่อ้อมจะไปไหนน่ะ” อธิปสามารถไหลลื่นไปได้อย่างรวดเร็ว แม่สาวคนนั้นได้ฟังวาจาก็ยิ้มหวาน เพราะจิตใจนั้นก็พึงปรารถนาชายผู้นี้เหมือนกัน

“จะไปห้องน้ำน่ะ” ทำเสียงอ่อนเสียงหวานขณะเดินห่างจากแก้วกลอยไป

“ดูเสียงเข้าซีฉันนี่อยากะอ้วก ... ออกมาเป็นขนมปังปิ้ง” คนพูดเสร็จจากการลอกการบ้านเงยหน้าขึ้นมาหัวเราะกับศุลีพร โดยไม่รู้เลยว่าภัยร้ายกำลังคืบคลานตามมาช้าๆ

"เฮ้ยๆพวกแกฉันมีอะไรจะบอก" ณัฐริกาที่เดินกลับมายังกลุ่มของตน หลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว

"มีอะไรอ้อม" หญิงสาวผู้มีใบหน้ารูปไข่สอดรับกับสันจมูกโด่งเชิดปลายรั้นนิดๆ ค่อยๆถอดหูฟังที่เชื่อมต่อกับไอพอด[3]รุ่นใหม่ล่าสุด ดวงตาคู่สวยสีน้ำตาลเข้มมองสหายรูปร่างอ้วนเตี้ยด้วยความสนใจ เมื่อเห็นฝ่ายนั้นกึ่งเดินกึ่งวิ่งมา

"เมื่อกี้ตอนฉันไปเข้าห้องน้ำเห็นโด้ กำลังนั่งคุยอยู่กับอีเฟิร์นอีถั่วด้วยล่ะ"

"แล้วไงต่อ ... หรือแค่จะอวดว่าเจอไอ้โด้มัน" คนผอมกะหร่องราวไม้เสียบซึ่งกำลังนั่งใช้น้ำยาอุทัยแต้มแต่งลงไปบนริมฝีปากตนถามลอยๆ ส่วนเพื่อนหญิงอีกคนในกลุ่มมิได้เอาใจใส่ต่อณัฐริกามากนัก เพราะกำลังขะมักเขม้นในการลอกการบ้านวิชาภาษาอังกฤษอยู่

"ฉันก็ไม่รู้นะยะว่าเขาคุยอะไรกัน แต่พอเห็นฉันเดินไปโด้มันก็รีบเอาอะไรบางอย่าง ยัดใส่กระเป๋าหน้าของอีเฟิร์นใหญ่เลย" หล่อนเรียกชื่อชายหนุ่มเฉยๆโดยเลี่ยงคำว่าไอ้ อย่างที่คนอื่นใช้กันเพราะไม่อยากให้คนที่แอบชอบมัวหมอง

"เอ๊ะ! ยังไงกันล่ะนี่" รักษ์ชนกรีบปิดสมุดทันทีที่ลอกเสร็จ หันมาเทใจให้เรื่องตรงหน้า

"ของไม่ดีรึเปล่า" ประดิษฐิตาเก็บเครื่องสำอางใส่กระเป๋าใบย่อมพร้อมคะเนไปในทางที่ไม่ดี จะให้คิดไปในด้านดีได้ยังไงก็ในเมื่อแก๊งนางฟ้ากลุ่มนี้ ไม่ใคร่จะกินเส้นกับแก้วกลอยและศุลีพรเป็นทุนเดิม แม้ว่าหญิงสาวที่สวยที่สุดอย่าง กุมภมาศ[4] จะเป็นลูกพี่ลูกน้องกับแก้วกลอยก็ตาม

"อันนั้นฉันไม่รู้จริงๆ ... พอฉันจะเข้าไปโด้มันก็ลุกออกมาพอดี"

"ฉันก็คิดอย่างเอ็มมันนะท่าจะเป็นของไม่ดีแหละ ... ไอ้โด้น่ะนักเลงจะตายไปมีเดือนไหนบ้าง ที่มันไม่ถูกอันเชิญเข้าห้องปกครอง ใครๆเขาก็รู้กันทั้งโรงเรียน" กุมภมาศกล่าวอย่างใช้ความคิด

"แล้วจะทำไงบอกอาจารย์วราห์เลยดีไหม"

"เฮ้ย! อย่านะเค้กอย่าไปตามไอ้ขวัญมันว่าล่ะ ขืนแกไปบอกอาจารย์วราห์มีหวังโด้จะได้โดนลากเข้าห้องปกครองด้วยนะซี พกของผิดกฎหมายมาเรียนโดนชุดใหญ่เชียวนะดีไม่ดีอาจโดนไล่ออก" ณัฐริกาดูจะห่วงใยอธิปจนออกนอกหน้า ส่งผลให้เพื่อนคนอื่นอดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้

"จ้า! แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เลยนะไอ้โด้น่ะ เถอะน่า! ยังไงแล้วฉันก็ไม่ได้คิดจะทำให้ถึงขั้นต้องโดนไล่ออกหรอก แค่จะแกล้งอีเฟิร์นมันสักหน่อยเท่านั้นเอง" รอยยิ้มหยันผุดขึ้นบนใบหน้าแฉล้มของญาติผู้พี่ ที่แก่กว่าแก้วกลอยสองเดือน

"แล้วจะทำไงยะเค้ก ... ขืนเราไปบอกอาจารย์วราห์แกคงจะยอมอยู่หรอกนะ" รักษ์ชนกแย้งด้วยใบหน้าสงสัย

"แกดูโน่นซีเอ็ม" เจ้าหล่อนบุ้ยใบ้ไปยังรถยนต์โตโยต้าคัมรี่สีขาวมุก ซึ่งกำลังแล่นมาจอดใต้ต้นประดู่ใหญ่ ไม่ไกลจากที่กลุ่มนางฟ้าของพวกเธอนั่งอยู่ ผู้ที่ก้วงลงมาเป็นสตรีวัยสี่สิบปลายๆแต่งกายสะอาดเนี้ยบ เธอสวมเสื้อแขนยาวตัดด้วยผ้าชีฟองพื้นสีนวล นุ่งกระโปรงยาวสีชมพูเข้ม ในมือหอบเอกสารปึกใหญ่จัดแยกเป็นหมวดหมู่ติดมาด้วย กุมภมาศรีบวิ่งถลาไปก่อนใคร โดยไม่ลืมที่จะกระพุ่มมือไหว้อย่างอ่อนน้อมสวยงามตามแบบลูกศิษย์ที่ดี

"สวัสดีค่ะ! อาจารย์ปทุมมาลย์ มีอะไรให้หนูช่วยไหมคะ" สามคนที่เหลือรีบตามมาโดยเร็ว

"อุ๊ยตาย! มาแต่เช้าเลยนะเค้ก ... เออมาก็ดีแล้วช่วยครูยกแฟ้มงานท้ายรถไปหน่อย" ดูจากการเรียกชื่อไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอาจารย์และศิษย์คนนี้นั้นสนิทกันปานใด ไม่เฉพาะแต่กุมภมาศกระทั่งเพื่อนอีกสามคนที่มาช่วยยกของ เลยไปกระทั่งนักเรียนชั้นม.6/5 แผนการเรียนคณิต-อังกฤษ ต่างก็สนิทชิดเชื้อกับอาจารย์ปทุมมาลย์เป็นอย่างดี ด้วยเพราะท่านนั้นเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาร่วมกับอาจารย์เจริญพรสอนวิชานาฏศิลป์

"ยกไปไว้บนหมวดอังกฤษเลยนะลูก ... ครูเซ็นชื่อก่อนแล้วจะตามไปทีหลัง" กุมภมาศหันมายิ้มแบบมีเลศนัยให้แก่คนอื่นที่เหลือ ทั้งณัฐริกา ประดิษฐิตา และรักษ์ชนกยิ้มด้วยความเข้าใจด้วยประจักษ์ในแผนการอย่างถ่องแท้

เสียงเพลงมาร์ชประจำจังหวัดที่ดังขึ้นบ่งบอกเป็นสัญญาณให้แก่นักเรียนวิทูลัยทราบว่าบัดนี้ได้เวลาเข้าแถว เคารพธงชาติ ตามที่เคยได้กระทำอยู่เป็นประจำทุกเช้า ทางโรงเรียนได้แบ่งการเข้าแถวออกเป็นเลขคู่-คี่เหมือนกันตลอดทุกสายชั้น แม้กระทั่งอาจารย์ที่ปรึกษาสองคนในแต่ละห้องก็ยังแยกกันเพื่อจะได้สะดวกในการทำงาน แถวเลขคู่อยู่หน้า เว้นระยะห่างกันเล็กน้อยพอให้อาจารย์เดินได้สะดวกถึงจะเป็นฝั่งเลขคี่ เสียงร้องเพลงชาติสอดรับกับเสียงบรรเลงจากวงโยธวาทิตประจำโรงเรียนดังกระหึ่มไปทั่วอาณาบริเวณค่อยๆจบลง ตามาด้วยเสียงนำสวดมนต์จาก สุมาลัย ประธานนักเรียน ซึ่งเรียนอยู่ชั้นเดียวกับแก้วกลอยแต่คนละห้อง หากแต่ความกล้าหาญและความเฉลียวฉลาดระหว่างสองสาวนั้นกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

"แก้วกลอย" ร่างผอมสูงที่ยืนรั้งท้ายแถวกำลังไหว้พระด้วยความตั้งอกตั้งใจ ถึงกับสะดุ้งอ่อนๆเมื่อถูกเรียก

"คะ! อาจารย์" หันมาตอบกลับอาจารย์เฉิดฉวีซึ่งสอนวิชาสังคมศึกษาและยังเป็น อาจารย์ที่ปรึกษาห้องเธอร่วมกับอาจารย์กมลพร ที่สอนวิชาภาษาไทยอีกด้วย

"อธิปไม่มาเข้าแถวอีกแล้วหรือ ... เมื่อเช้าเธอเห็นเขาไหม" หล่อนชะเง้อมองหาตลอดแถวแต่ก็ไร้วี่แวว คนที่ยืนหลังเธอเป็นประจำ

"ไม่เห็นเลยค่ะอาจารย์" แก้วกลอยโกหกคำโตทั้งที่เมื่อเช้ายังรับฝากของไว้อยู่

"ถ้าวันนี้เขามาเรียนช่วยบอกหน่อยแล้วกันว่า ขาดแถวอีกหนครูจะไม่ให้ผ่านกิจกรรมนะ" สตรีรูปร่างท้วมผิวพรรณสะอ้าน แต่งกายด้วยชุดที่ตัดจากผ้าลายน้ำไหลสีเขียวเช่นเดียวกันทั้งเสื้อและกระโปรง ส่ายหน้าด้วยความอิดหนาระอาใจในตัวศิษย์จอมกะล่อนรายนี้ ด้วยมีอาจารย์หลายท่านมาฟ้องให้ทราบบ่อยๆว่าอธิปและเพื่อนในกลุ่ม มักจะโดดเรียนเป็นประจำ มิหนำซ้ำเวลาครูสอนในบางคาบยังชอบหลับ กระนั้นแม้จะทำตัวเกเรแต่ทุกครั้งที่ถึงกำหนดส่งงาน

พวกเขาไม่เคยที่จะละเลยสักครั้ง อธิปและพรรคพวกมีคะแนนครบทุกช่องแถมคะแนนสอบก็ยังพุ่ง

"ค่ะ! ถ้าวันนี้เขามาเรียน ... แล้วหนูจะบอกให้"

ถัดจากไหว้พระสวดมนต์ก็เป็นการแผ่เมตตา ลำดับต่อไปก็เป็นการแจ้งข่าวสารจาก ท่านผู้อำนวยการเสริมเวช อาจารย์เวร ไปตลอดจนอาจารย์ฝ่ายต่างๆ ลำดับสุดท้ายของทุกวันจะเป็นร่วมกันร้องเพลงมาร์ชโรงเรียนร่วมกับวงโยธวาทิตอีกครั้ง แก้วกลอยระบายลมหายใจยาวเมื่อกิจกรรมตอนเช้าจบลง แม้จะใช้เวลาไม่นาน แต่การยืนกลางแดดในระยะยาวก็ทำให้เหงื่อไหลไคลยัอยได้ไม่น้อย

"แก้วกลอย! มานี่ซิ!" ผู้กำลังจะยกเท้าย่างออกจากสนามพร้อมสหายถึงกับชะงัก เมื่อได้ยินเสียงเรียกมาจากใต้ต้นขี้เหล็กใหญ่แผ่ใบร่มครึ้ม

"มีอะไรหรือคะอาจารย์" หล่อนถามด้วยน้ำเสียงตระหนกขณะเดินเข้ามาใกล้

"ฉันขอดูกระเป๋าเธอหน่อยได้ไหม" วาจาของอาจารย์ปทุมมาลย์หรือผู้ที่หล่อนอยากจะเปลี่ยนให้เป็น ปทุมมาร เสียมากกว่า ด้วยในแต่ละคาบที่เรียนภาษาอังกฤษกับท่านนั้น หญิงสาวมักจะถูกเรียกให้ยืนตอบบ้างแม้กระทั่งออกไปเขียนประโยคยาวบนไวท์บอร์ดก็มี ข้อแรกยังพอทนเพราะได้อธิป ศุลีพร และเพื่อนคนอื่นๆในห้องคอยช่วยอยู่ ทว่าข้อสองนั้นหล่อนอยากจะกรีดร้องออกมาเต็มประดา เพราะต้องยืนหันหลังให้เพื่อน เมื่อทำไม่ได้เธอก็จะถูกเหยียดหยันด้วยวาจาจากผู้สอนว่าโง่ แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยออกมาตรงๆก็ตาม หลายครั้งที่แก้วกลอยต้องยืนเรียนจนหมดคาบ อยากจะถามเสียเหลือเกินว่าอาจารย์ปทุมมาลย์ท่านนี้ยังมีจรรยาบรรณความเป็นครูอยู่หรือไม่ เวลาใครที่สอบได้คะแนนเต็มหรือคนไหนเรียนเก่งก็จะถูกเยินยอจากท่านไม่ขาดปาก

"เอ่อ ... คือว่า ..." แม่สาวร่างผอมอึกอักก่อนจะหันหน้าไปหาศุลีพรเพื่อขอคำปรึกษา

"ทำไม! หรือเธอพกสิ่งผิดกฎหมายมาเรียนด้วย"

"เปล่าค่ะ! หนูแค่สงสัยว่าทำไมอยู่ๆอาจารย์ถึงจะมาขอตรวจกระเป๋าแบบนี้"

"ก็ไม่มีอะไร ... พอดีฉันได้รับมอบหมายจากทางโรงเรียนให้มาสุ่มตรวจสิ่งผิดปกติเท่านั้นเอง" อาจารย์ปทุมมาลย์ผู้นี้พยายามที่จะขึ้นเป็นหัวหน้าระดับชั้นม.6ให้ได้ แต่ก็ไม่เคยสำเร็จสักทีต้องแพ้พ่ายให้แก่อาจารย์วราห์เสมอ แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะถอยคอยหาจังหวะและโอกาสเหมาะสม เพื่อสร้างผลงานให้แก่ตนเอง แก้วกลอยจำต้องถอดเป้สะพายหลังยื่นให้ผู้อาวุโส กล่องบุหรี่ต่างประเทศถูกล้วงออกมาจากช่องเล็กด้านหน้า โดยมิได้แตะต้องกระเป๋าใหญ่แต่อย่างใด ราวจะทราบล่วงหน้ามาก่อนแล้ว

"ของใคร! บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะแก้วกลอย" คนพูดโยนกล่องบุหรี่ไปบนขอบปูนบันไดทางขึ้น สองสาวก้มหน้างุดไม่กล้าพูดอะไร

"ศุลีพร" เด็กสาวร่างใหญ่หน้าดุสะดุ้งเฮือก

"ของใครเธอกล้าบอกฉันหรือเปล่า ... ถ้าไม่พูดก็เตรียมตัวเข้าห้องปกครองได้เลย" อาจารย์ปทุมมาลย์ขู่

"บอกค่ะอาจารย์ ... บุหรี่กล่องนั้นเป็นของอธิปมาฝากไว้" ความจริงได้หลุดไปจากของศุลีพรแล้ว ผู้อาวุโสแสยะยิ้มน้อยๆสาวเท้าเข้ามาใกล้เด็กทั้งสองมากขึ้น

"ขอบใจมากนะที่บอก ... ความจริงฉันเองก็พอรู้เรื่องมามั่งแล้วล่ะ ที่เรียกมาก็เพราะอยากได้หลักฐานเท่านั้นแหละ เอาล่ะ! เธอสองคนออกไปวิ่งรอบสนามคนละห้ารอบข้อหาสมรู้ร่วมคิดช่วยกันปิดบัง"

ชัดเลย! ต้องเป็นอีหมีควายอ้อมแน่ๆ ที่ไปฟ้องอาจารย์ หล่อนนึกแช่งด่าอยู่ภายในใจขณะเริ่มออกวิ่ง

ใต้ต้นตะขบอีกฟากแก๊งนางฟ้าอันประกอบด้วยกุมภมาศ ประดิษฐิตา รักษ์ชนก และคนใช้ในกลุ่มอย่างณัฐริกา กำลังกอดอกยืนดูแก้วกลอยกับศุลีพรออกวิ่งในสนาม พวกเธอกำลังหัวเราะอย่างชอบใจสนุกสนานที่สามารถแกล้งแก้วกลอยได้

พอวิ่งไปใกล้ตะขบต้นนั้นแล้วบุตรคนโตของเสกศักดิ์และสุมณีก็ยกนิ้วกลาง ใส่คนเหล่านั้นวิ่งกี่ครั้งก็ทำมันทุกรอบไป

"ไอ้โด้! ไอ้ตัวดี กูจะฆ่ามึง!!!!" หล่อนกรีดร้องอยู่ภายในอก


[1] เป็นอาคารก่อปูนสูงแค่ระดับเอวตัวผนังและประตูทั้งหมดทำจากตาข่ายข้าวหลามตัด ส่วนที่เชื่อมติดกับห้องถัดไปเป็นผนังปูนซึ่งจะทำเป็นกระดานดำติดไว้เลย

[2] หรือบุหรี่กานพลูเป็นบุหรี่ชูรสประเภทหนึ่ง มีต้นกำเนิดจากประเทศอินโดนีเซีย และแพร่หลายในกลุ่มวัยรุ่นภาคใต้ของประเทศไทย มีราคาถูกกว่าบุหรี่ทั่วไป มีการออกแบบบรรจุภัณฑ์สวย หรู ทันสมัย สีสันสดใส ทำกล่องขนาดเล็กสำหรับเยาวชน ผลิตจากใบยาสูบ 60% และมีกานพลู 40% เนื่องจากในบุหรี่กานพลูปล่อยกลิ่นหอม ซึ่งมีสาร eugenol ซึ่งเป็นยาชาเฉพาะที่ ที่ทันตแพทย์ใช้ เมื่อสูบบุหรี่กานพลู จะทำให้หลอดลมของผู้สูบชา ทำให้ไม่สำลัก จึงสามารถสูบควันลึกลงไปส่วนลึกของปอด นอกจากนี้บุหรี่กานพลูยังมีกลิ่นหอม รสเย็นชวนให้เด็กติด ประเทศสหรัฐอเมริกาห้ามนำเข้าอย่างเด็ดขาด จากการทดสอบของประเทศอินโดนีเซีย ยังพบว่า บุหรี่กานพลูจะปล่อยนิโคติน และก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ และทาร์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งมากกว่าบุหรี่ทั่วไป ในประเทศไทยนั้นบุหรี่กานพลู ถือเป็นผลิตภัณฑ์ยาสูบที่ผิดกฎหมาย 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ.2509 ซึ่งดูแลโดยกรมควบคุมโรค ที่ไม่ได้แจ้งรายการส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ยาสูบ หากลักลอบเข้ามาจำหน่ายมีโทษตามมาตรา 46 คือปรับไม่เกิน 500 บาท และผิดมาตรา 50 มีโทษปรับ 15 เท่าของค่าแสตมป์ยาสูบที่ต้องเปิด

[3] เป็นชื่อของเครื่องฟังเพลงพกพาของบริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์ ไอพอดใช้ฮาร์ดดิสก์ในการเก็บข้อมูล

[4] แปลว่าขนมหม้อแกง

รีวิวจากผู้อ่าน 3 รีวิว
  • napatang3698 narak
    เมื่อ 7 ปี 2 เดือนที่แล้ว
    เรื่องแนวนี้มาทีไร ต้องตามค่ะ ใช่เลย
    • อ่านถึง : กระท่อมปลายนา
  • porza
    เมื่อ 7 ปี 3 เดือนที่แล้ว
    ตามมมมม
    • อ่านถึง : กระท่อมปลายนา
  • toey
    เมื่อ 7 ปี 3 เดือนที่แล้ว
    น่าอ่าน
    • อ่านถึง : กระท่อมปลายนา

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว