น้ำผึ้งอิ่มเกสร
หากมีใครถามว่าทำไมหล่อนถึงเลือกแต่งงานกับภุมรัณย์ผู้ชายที่มารดาของหล่อน ห้ามปรามกีดกันนักหนา “มันมีแต่ตัว ลูกของผู้ใหญ่บ้านกระจ๊อกบ้านนอก แกจะเอามันมาทำผัวทำไมนังผึ้ง” มธุรตาไม่ตอบคำถามของมารดา หากหล่อนเลือกเพราะใจ เพราะเห็นถูก ความรักเกิดขึ้นได้ไม่นานด้วยซ้ำ รู้จัก ภุมรัณย์เพราะกาสิก กับ อัมพรลดา เขาอายุอ่อนกว่าหล่อนถึงสองปีหลายสิ่งหลายอย่างในตัวของเขานี่ล่ะที่มธุรตาเลือก เขาไม่ใช่คนรวยเข้าทำนองที่ว่าหล่อแต่ไม่มีจะกิน แม่ของหล่อนเกลียดชังเขานักหนา ไม่ต้อนรับให้เข้ามาในชายคาด้วยฐานะลูกเขยด้วยซ้ำ แต่ทั้งคู่ก็ทำตามประเพณีที่ถูกต้อง เมื่อปีที่แล้วนี่เอง วิวาห์ที่แสนจะธรรมดาหากแต่หล่อนภาคภูมิใจอย่างมาก ภุมรัณย์ทำงานอยู่ที่ฝ่ายทะเบียนในอำเภอหนองแค ชานเมืองกรุงเทพนี่เอง ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียน ทำบัตรประชาชนให้คำแนะประชาชนประมาณนี้ และเขาต้องกลับบ้านที่อยู่แถวลาดพร้าวทุกวัน ขับรถไปกลับ ถือว่าห่างหูห่างตาของมธุรตา
ครอบครัวของหล่อนหรือมีด้วยกันสี่ใบเถาล้วนไม่มีผู้ชายมาปะปน ผู้หญิงทั้งสามคนลูกของแม่ทองเจือ มีชื่อว่า รำไพ รำภารำพิน มีครอบครัวกันหมดทุกคนแล้ว มีแต่ชื่อหล่อนเท่านั้น ไม่มีชื่อนำคำว่า รำเหมือนพวกพี่ เพราะผิวของหล่อนเป็นสีน้ำผึ้ง แม่ก็เลยตั้งชื่อให้ลูกสาวสุดท้องเสียหยดย้อยเลยว่า มธุรตา ที่แปลกว่า น้ำผึ้ง
ล่าสุดนั้นมธุรตาน้องรักของทั้งสาม คนสุดท้องก็สละโสด หล่อนคิดว่าตัดสินใจทำแบบนี้ดีที่สุด ถึงเวลาด้วย ถึงคราวด้วย หากเรียกว่าความรักสุกงอมเห็นจะถูก หล่อนไม่ได้มองภุมรัณย์มากกว่านั้น หากเขาจะดีงามเขาต้องดีงามด้วยตัวเอง หล่อนปละปละเขา การอยู่ห่างหูห่างตาอย่างนั้น ย่อมมีข่าวคราวที่ไม่ดีเข้าหูหล่อนเสมอ ล่าสุดไม่นานจากวันที่หล่อนแต่งงานกับสามีหรอก ประมาณสามเดือนผ่านไปหลังจากนั้น ผู้ใหญ่ภีม บิดาของสามี พ่อสามีของหล่อนนั้นไปคว้าเอาเด็กสาวคราวลูก ชื่อ ปรุงทิพย์ มาเป็นเมีย ความรักที่มีคือการไว้ใจกันและกัน หล่อนคิดอย่างนั้น หากเช่นนั้นหล่อนไม่หมายตัวเขา และยินยอมให้เขาจูงมือและจดทะเบียนสมรสด้วยหรอกเพียงแต่หล่อนไม่ได้เปลี่ยนนามสกุลไปใช้ของเขาเหมือนในอดีตยุคนี้ให้อิสรเสรีอย่างมากที่หล่อนจะเลือกใช้นามสกุลของตัวเองและสามีได้ตามอำเภอใจ ภุมรัณย์ไม่ได้ว่า เขาไม่ได้เป็นคนคิดมากในเรื่องนี้เหมือนหล่อนเพราะเมื่อเป็นสามีภรรยาอยู่ในบ้านเดียวกัน
สิ่งที่หล่อนรีบหาคู่ให้แก่ตัวเอง ในวัยสามสิบกว่ามธุรตาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของธนาคารชื่อดังแห่งหนึ่งในใจกลางเมือง เพราะการที่มารดาคิดหาทางพยายามหาสามีให้หล่อนตลอดมา ไม่ถูกชะตาไม่ได้เป็นไปด้วยความปรารถนาของหล่อนสักนิด หล่อนจึงหักหน้าคุณทองเจือด้วยการทำเช่นนี้
“จะหาผัวทั้งที นังผึ้ง ทำไมแกไม่หาไอ้ที่ลงหลักปักฐานแน่นหนายังดีกว่าลูกชาวนา” มารดาเห็นเป็นความผิดอย่างมาก
“สู้พ่อนพดลก็ไม่ได้ นั่นเขาเทียวเช้าเทียวเย็นมาหาแม่ที่บ้านเพื่อถามไถ่เรื่องของแก สินสอดแม่จะเรียกเท่าไหร่ไม่อั้น เขายอมทุ่ม แต่แกก็มาทำให้แม่เสียใจอย่างนี้”
คุณทองเจือต้องมาฟูมฟายน้ำตากับเรื่องนี้ ที่หล่อนไม่ทำตามใจท่าน
“หาญศึกก็อีกคน นั่นถึงเขาจะแก่ แต่เขาก็ลูกชายเจ้าสัว ถ้าแกตกร่องปล่องชิ้นกับเขา โอ๊ยสบายไปทุกชาติ นังลูกโง่” และก็ยังจะมีผู้ชายอีกสองคนที่เหลือ ที่มารดาพร่ำพรรณาความดีความรวยมหาศาลของเขาที่หล่อนมองข้ามสิ่งเหล่านั้นเสีย คุณทองเจือจึงได้แต่หัวฟัดหัวเหวี่ยงหนักอย่างนี้
“นังลูกไม่ได้เรื่อง ฉันอุตส่าห์เลี้ยงแก จนเติบโตเป็นสาวอย่างนี้ จะหวังพึ่งพาสักหน่อย วิจักษ์เพื่อนของแกก็ไม่เลว นั่นเขาหลานรัฐมนตรี แกก็ไม่แลเขาเสียอีก จนต้องไปหาไอ้จนกรอบลูกชาวนามาเป็นผัวเป็นลูกเขยที่ฉันแสนจะอับอายพวกเพื่อนฝูง หนอยแน่ะฉันอุตส่าห์คุย กับเพื่อนๆในวงไพ่เป็นอย่างดี ว่าแกจะต้องไม่ทำให้แม่ผิดหวัง แต่นี่ แกทำให้แม่ผิดหวังที่สุด นังผึ้ง” นางกล่าวบ่นเอ็ดตะโรด่าลั่น อย่างไม่พึงพอใจมธุรตา ซึ่งหล่อนไม่ได้เถียงสักแอะ แล้วนางก็ฟุบตัวลงบนที่นอนตรงนั้น ที่มธุรตาแวะมาเยี่ยมมาดูมารดาในห้อง เห็นว่าท่านไม่สบาย รู้ว่ามารดาเป็นอย่างนี้ หล่อนไม่ถือหรอก นั่นคือแม่ จะเป็นยังไงมากแค่ไหนก็แม่ของหล่อน
“หนูไม่เถียงแม่หรอกค่ะ เชิญแม่ด่าหนูตามสบาย”
“เอ๊ะนังลูกไม่รักดีนี่ แกทำให้แม่ผิดหวัง ตรอมใจอย่างนี้”
เป็นคำสั่งห้ามที่ภุมรัณย์จะเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ไม่ได้ หล่อนและเขาจึงเลือกซื้อทาวเฮ้าส์หลังเล็กผ่อนเช่ากับธนาคารเป็นส่วนตัวจนถึงในวันนี้ภุมรัณย์ก็ไม่เคยไปเหยียบที่บ้านของหล่อนวันแต่งงานจดทะเบียนของทั้งคู่ก็เกิดขึ้นที่บ้านหลังเล็กสองชั้นนี้ทิ้งคำพูดดนี้ไว้ทางเบื้องหลังหากแวะมาเยี่ยมบ้านคราวไรหล่อนมักจะได้ยินน้ำคำที่หมั่นไส้กระแทกประชดใส่หล่อนจากผู้เป็นมารดาตามหลังเสมอจนมธุรตาทำใจให้เคยชิน ถ้าไม่บ่นไม่ด่าฟูมฟายคงไม่ใช่มารดาของหล่อน
“หนอย คอยดูเถอะ ฉันจะคอยดูไป ไอ้ลูกเขยจนๆ ผัวของแก สักวันเถอะ มันจะทิ้งแกแน่
“รตา”เขารู้ว่าหล่อนไปที่บ้านมา วันนี้เป็นวันหยุด ภุมรัณย์เพิ่งตื่นขึ้นหลังจากที่พักผ่อน
“รัณย์ ตื่นแล้วหรือ” หล่อนยิ้มทักทายพร้อมเอ่ยเสียงหวานกับสามี
เขาพยักหน้าในลำคอ “ฮื่อ นึกหิวแล้วสิ เดี๋ยวรตาจะไปจัดอาหารให้ เมื่อเช้าแกงจืดเต้าหู้วุ้นเส้นใส่ผักกาดตั้งไว้ในหม้อ มีปลาทอดสองตัว กับน้ำพริกกะปิพร้อมผักแนมแวะไปบ้านแม่แป๊บนึง ตั้งใจจะกลับมาทานข้าวกับรัณย์ค่ะ”
หล่อนตอบสามีเสียงหวานปลาทอดกับน้ำพริกกะปิหล่อนแวะซื้อติดมาจากตลาดแถวบ้านของมารดาเห็นว่าอร่อยเพราะอยู่ไม่ไกลกันนั้นในละแวกเดียวกันแต่บ้านของหล่อนอยู่ติดเลียบทางด่วนรามอินทราประดิษฐ์ธรรมนูญบ้านของมารดาอยู่ลึกเข้าไปในโชคชัยสี่