เพิ่งจะพ้นผ่านศูนย์นาฬิกาเพื่อเข้าสู่เช้าของวันใหม่ ไฟตามท้องถนนเริ่มหรี่แสง
ฝนระลอกหนึ่งตั้งท่าจะตกอยู่รอมร่อ อากาศยามดึกคืนนี้ร้อนอบอ้าว
ด้านนอกหอฌาปนกิจ... รถตำรวจคันหนึ่งจอดอยู่ เป็นรถเก๋งโฟล์กสวาเกนพาสสาท ท้ายรถด้านซ้ายพ่นเลขทะเบียน H3987 เอาไว้ หน้าต่างรถเปิดไว้ครึ่ง
ที่ด้านนอก หนึ่งหญิงหนึ่งชายกำลังพิงหน้าต่างรถสูบบุหรี่กันอยู่ ส่วน ‘จงอิง’ นั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับ แกะกระป๋องปลาหลิงยวี๋ราดถั่วโต้วฉือ* กระป๋องหนึ่งเปิดออก ห่วงดึงเปิดกระป๋องขาดไปแล้วเธอจึงจำต้องใช้มีดเปิด
ปลายมีดถูกจิ้มลงไปอย่างมั่นคง กรีดวนไปครึ่งรอบก็เปิดออกได้อย่างราบรื่น เธอคว่ำแล้วเคาะตัวกระป๋อง มีถั่วโต้วฉือมันเยิ้มเพียงเม็ดเดียวกลิ้งลงมาและหล่นแหมะอย่างเดียวดายบนข้าวสวยที่เย็นชืดไปแล้ว
ตำรวจหนุ่มที่ยืนอยู่นอกรถขยี้ดับปลายบุหรี่ มองเข้าไปในรถแวบหนึ่ง “อาจารย์จง... คุณยังกินลงอีกหรือครับเนี่ย? ผมเห็นยังแทบอ้วก”
“การมาเยือนที่เกิดเหตุนับเป็นบททดสอบอย่างหนึ่ง พอทำหลายครั้งเข้าก็จะชินไปเอง ไป... ไปเอาชุดปฏิบัติการขนกลับไปเก็บที่สถานีตำรวจได้แล้ว” ตำรวจหญิงที่สูบบุหรี่สั่งรุ่นน้องเสร็จ ก็หมุนตัวกลับมากล่าวกับจงอิงว่า “เธออย่ากินเลย ข้าวกล่องพวกนี้เป็นของเหลือจากเมื่อตอนกลางวัน อากาศร้อนขนาดนี้น่าจะบูดไปตั้งนานแล้ว”
นิ้วมือที่คีบบุหรี่ของหล่อนเกาะบนกระจกหน้าต่างรถ ควันบุหรี่ลอยเข้ามาในตัวรถ
จงอิงเงยหน้าขึ้น ผลักกล่องข้าววางไว้ด้านข้าง ใช้มือเปล่าแงะฝากระป๋องครึ่งที่เหลือที่ยังไม่ได้เปิด
คนหิวมักไม่เลือกวิธีการ จงอิงไม่มีอะไรเข้าท้องมาสิบสองชั่วโมงแล้ว เธอวิ่งขาขวิดไปยังสถานที่เกิดเหตุทั้งสามแห่ง ทั้งยังต้องขับรถวนไปเวียนมาล่อไปเสียเกือบครึ่งเมือง ทั้งตัวมีแต่กลิ่นเหงื่อ
การตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุและการชันสูตรพลิกศพล้วนเป็นงานที่ต้องใช้แรง ร่างกายของเธอที่ได้รับการปลดแอกออกมาจากชุดปฏิบัติการ ทั้งอ่อนระโหยโรยแรง ทั้งยังหิวจนไส้กิ่ว
หยาดเหงื่อพราวบนหน้าผากของจงอิง ซ้ำยังผุดออกมาอย่างต่อเนื่อง ด้านหลังยูนิฟอร์มที่สวมมีรอยเหงื่อวงกว้างเท่าฝ่ามือ ดาวประดับสี่แฉกบนอินทรธนูแถบเทาถูกแสงเรืองสีเหลืองอ่อนในรถส่องกระทบจนสว่างวาบ
เธอออกแรงมากเกินไปในการเปิดฝากระป๋อง มีจังหวะหนึ่ง... มือถือมีเสียงเรียกเข้าพอดี จงอิงจึงถูกแผ่นโลหะคมกริบบาดง่ามมือขวาเข้าให้ เพราะไม่ทันระวัง มัวแต่สนใจจะรับสายโทรศัพท์ บริเวณเนื้อที่ถูกบาดมีเลือดทะลักออกมาในพริบตา ปะปนไปกับน้ำมันจากอาหารแล้วไหลย้อยลงมา
เสียงเรียกเข้ายิ่งนานยิ่งกระชั้น จงอิงเหลือบมองชื่อคนที่โทรเข้ามาแวบหนึ่ง ก่อนจะควักแผ่นกระดาษชุบแอลกอฮอล์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทีเรียบเฉย ฉีกห่อเปิดออกด้วยมือเดียว จากนั้นก็จัดการเช็ดน้ำมันและเลือด
“ทำไมไม่รับล่ะ?” ตำรวจหญิงที่นอกรถเอื้อมมือเข้ามา ขณะกำลังจะช่วยจงอิงรับแทน เสียงเรียกเข้ากลับหยุดไป
ตำรวจหญิงคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเปิดหน้าจอ “เชิ่งชิวฉือ---หมายเลขที่ไม่ได้รับสาย”
ตามมาด้วยข้อความหนึ่งที่เด้งเข้ามาในทันที “น้องชายเธอแอดมิทฉุกเฉิน” ตำรวจหญิงนิ่วหน้า มือถือส่งเสียง ‘ติ้ง’ มาอีกครั้ง ข้อความที่สองที่เข้ามาคือ “ต้องใช้เลือด รีบมาด่วน”
ตำรวจหญิงยกมุมปากขึ้นด้วยสีหน้าอ่านไม่ออก เอาหน้าจอมือถือหันไปทางจงอิง “เธอจะไปไหม?”
จงอิงเงยหน้าขึ้น แสงหน้าจอส่องใบหน้าเธอจนสว่าง ความรู้สึกยามที่แอลกอฮอล์กดบนบาดแผลดุเดือดแค่ไหนใครๆ ก็รู้ แต่มันได้ผลชะงัด หลังจากเอาแผ่นแอลกอฮอล์ออกบาดแผลก็แทบจะหายเจ็บไปเลย
เธอกำลังจะตอบ เสียงริงโทนโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นอีกครั้ง---คราวนี้เป็นสายเรียกเข้าจากทางสถานี
จงอิงรับโทรศัพท์มือถือกลับมา หลังรับสายทางนั้นบอกว่า “มีอุบัติเหตุบนท้องถนนถนน คงต้องวานให้คุณกับเสี่ยวเจิ้งไปสักหน่อย ทางเราจะรีบระบุตำแหน่งแล้วส่งให้คุณรับทราบโดยด่วน”
หลังจากขยับกระดาษแอลกอฮอล์ออก หยดเลือดก็ยังผุดออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมกันจนเป็นสาย ไหลลงมาตามเส้นลายมือ ไหลรินตลอดทางจนหยดลงไปในกระป๋องปลาหลิงยวี๋
เธอเงยหน้าขึ้นมาใหม่ มองออกไปนอกหน้าต่างพลางกล่าวกับคนปลายสายว่า “ธุระที่นี่ยังไม่เสร็จ ฉันจะให้เสวี่ยนชิงกับเสี่ยวเจิ้งไปดูแทนแล้วกันค่ะ”
ในสุสานที่ไกลออกไป ป้ายหลุมศพตั้งตระหง่านเรียงเป็นแถวยาว เธอเบือนสายตาออก ก่อนจะวางสายโทรศัพท์แล้วกล่าวกับตำรวจหญิงที่อยู่นอกรถว่า “เสวี่ยนชิง ไปสถานที่เกิดเหตุแทนฉันหน่อย คราวหน้าฉันไปแทนเธอสองที่เลยเอ้า”
เสวียเสวี่ยนชิงเปิดประตูรถแล้วเข้ามานั่งตรงที่นั่งคนขับ ในเสียงถอนหายใจเหนื่อยล้าเจือความจนใจอยู่รางๆ ทว่าท้ายสุดก็กดขยี้บุหรี่ในมือจนดับ เป็นความหมายว่ายอมรับข้อแลกเปลี่ยน “ไป... ฉันจะไปส่งเธอเอง”
“ไม่ใช่ทางเดียวกัน อีกอย่างเรื่องของเธอด่วนกว่า พวกเธอต้องเร่งทำเวลา ฉันเรียกรถไปเองได้”
เสวียเสวี่ยนชิงมองตามจงอิงกระทั่งเธอลงจากลงรถเดินออกไปข้างนอก คุณตำรวจสาวมีน้ำใจช่วยเปิดไฟหน้ารถส่องทางให้เธอไปอีกระยะหนึ่ง เห็นเพียงเงาแผ่นหลังนั้นยกแขนขึ้นโบกไปมา แล้วก็เลี้ยวโค้ง หายวับไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว
เสี่ยวเจิ้งจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็ย้อนกลับเข้ามาในรถ ได้รับการบอกเล่าว่าไม่ต้องกลับไปสถานีตำรวจแล้ว เพราะยังต้องเดินทางไปสถานที่เกิดเหตุอีกแห่ง เขาโอดโอยโหยหวนอยู่พักใหญ่ พลันพบว่าใต้เท้าเหยียบกระเป๋าสตางค์ใบหนึ่งอยู่ พอหยิบขึ้นมาดู ก็ขมวดคิ้วถามเสวียเสวี่ยนชิงว่า “นี่เป็นกระเป๋าสตางค์ของอาจารย์จงรึเปล่า?”
เสวียเสวี่ยนชิงปรายตามองอย่างรวดเร็ว อารมณ์เสียขึ้นมาทันที “ลืมจนได้สินะ ไม่พกเงินแล้วจะไปเรียกแท็กซี่ได้อย่างไร!”
รถตำรวจขับออกไปถึงถนน เสวียเสวี่ยนชิงสอดส่ายสายตาหามาตลอดทางก็ยังไม่เห็นเงาร่างของจงอิง
เสี่ยวเจิ้งว่า “งั้นผมโทรไปหาอาจารย์จงนะครับ”
เสวียเสวี่ยนชิงกลับหักรถกะทันหัน กล่าวโต้ด้วยน้ำเสียงเดือดดาลอยู่บ้าง “ไม่ต้องโทร ปล่อยไปเลย”
ดึกดื่นเกือบเที่ยงคืนแบบนี้เรียกรถยากมาก
จงอิงซึ่งมักจะอับโชคมาตลอด สามารถโบกรถให้จอดได้คันหนึ่ง คนขับยื่นหน้าออกมา พูดกับเธอด้วยภาษาจีนกึ่งเซี่ยงไฮ้ว่า “เอ่อ... ที่นั่งด้านหลังรถผมมีคนแล้วครับคุณตำรวจ คุณรอคันอื่นเถอะนะ”
รถเขาเปิดไฟว่า ‘รถว่าง’ แต่พอถูกโบกเรียกดันบอกว่ามีผู้โดยสารแล้ว จงอิงไม่สะดวกรอนานไปกว่านี้ เธอจึงบอกที่อยู่โรงพยาบาลเสร็จก็ถามเขาว่าไปทางเดียวกันหรือไม่
คนขับแท็กซี่ตอบว่า “ทางเดียวกันก็จริงอยู่ แต่คุณก็ต้องลองถามคุณผู้ชายที่อยู่ข้างหลังดูด้วยว่าจะยอมให้คุณร่วมทางไปกับเขาหรือเปล่า” พูดพลางหันหน้ากลับไปถามความเห็นของผู้โดยสารที่อยู่บนรถตน “คุณครับ คุณผู้หญิงคนนี้จะไปโรงพยาบาล เธอมีเรื่องด่วน”
ที่นั่งด้านหลังมีคนนั่งอยู่คนหนึ่งจริงๆ เขาตอบอย่างสุภาพว่า “ผมไม่รีบ... เชิญ”
จงอิงที่อยู่นอกรถพอได้ยินคำตอบรับ ก็รีบเปิดประตูรถด้านหลังเข้าไปนั่งทันที ถึงตอนนี้เธอค่อยมีเวลาจัดการทำแผลที่มืออย่างจริงจัง
จากง่ามมือไปทางเนินอุ้งมือ บาดแผลเปิดออกราวสี่มิลลิเมตร เรียกว่าบาดเข้าไปลึกพอสมควร พอแบมือออก ฝ่ามือจึงเต็มไปด้วยเลือด เธอล้วงมือซ้ายเข้าไปในกระเป๋ากางเกง กลับพบว่ากระดาษแอลกอฮอล์ถูกใช้จนหมดเกลี้ยงไปแล้ว เธอลังเลอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยปากถามคนขับแท็กซี่ว่า “คุณลุงมีกระดาษทิชชู่ไหมคะ?”
คนขับเหลือบตามองกล่องกระดาษทิชชู่แบบดึงที่ว่างเปล่าแวบหนึ่ง “โชคไม่ดีเลย ใช้หมดเกลี้ยงพอดี”
พอได้ยิน จงอิงก็คิดจะกำมือห้ามเลือดไว้ดังเดิม ทว่า ‘คุณผู้ชายที่ไม่รีบ’ ที่ด้านข้างจู่ๆ กลับยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งมาให้ เป็นผ้าฝ้ายสีเรียบ สามารถซับน้ำได้ดี
จงอิงตะลึงไปเล็กน้อย
“ยังไม่ได้ใช้ สะอาดครับ” เขากล่าว ใบหน้าทั้งดวงตกอยู่ในเงามืด เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงขายาวสีดำ ที่ตักวางกระเป๋าเอกสารอยู่ใบหนึ่ง ข้างขาวางร่มหนึ่งคัน เป็นร่มพับสีดำ
แม้ว่าอากาศจะร้อนอบอ้าว ฝนก็ไม่ได้ตก
ทว่าร่มของเขากลับเปียกชื้น ทำให้พรมปูเท้าในรถเจิ่งเป็นน้ำกองหนึ่ง
จงอิงรั้งสายตากลับ รับผ้าเช็ดหน้ามาแล้วกล่าวขอบคุณ
“ไม่ต้องเกรงใจ” เขากล่าว
จงอิงกดผ้าเช็ดหน้าหยุดเลือดกลางฝ่ามือ
คนขับเปิดวิทยุ พอดีเป็นรายการสนทนาข่าวการเมืองในช่วงดึก ผู้จัดรายการสนทนาโต้ตอบกับผู้ฟังในบางช่วง รายการนี้ออกอากาศมาตั้งแต่จงอิงยังเด็ก ตอนนั้นคุณยายของเธอมักจะเปรยให้ได้ยินบ่อยๆ ว่า ดึกดื่นค่ำคืน มีคนไม่หลับไม่นอนมากมายขนาดนี้เชียวรึ
ตอนกลางคืนนับว่าเป็นช่วงเวลาของคนอีกกลุ่มหนึ่ง พวกเขาใช้ชีวิตกันอย่างมีสีสัน มีเรื่องราวหลายอย่างบนโลกใบนี้ที่คนกลางวันยังเข้าไม่ถึง
คืนนี้รถกับไฟจราจรไร้ชะตาต้องกัน รถที่เธอนั่งจึงแล่นฉิวผ่านฉลุยมาตลอดทางจนถึงโรงพยาบาล
หลังจากรถจอดสนิท จงอิงก็ควานหากระเป๋าเงิน แต่กลับไม่พบ
‘คุณผู้ชายที่ไม่รีบ’ เอ่ยปากอย่างมีน้ำใจว่า “ในเมื่อเป็นทางเดียวกัน ก็ถือเสียว่าพวกเราเรียกรถมาด้วยกัน ไม่จำเป็นต้องจ่ายเพิ่มอีก คุณมีธุระด่วน รีบไปเถอะครับ”
คนขับแท็กซี่เดิมยังคิดจะหาลำไพ่พิเศษ พอเห็นกับตาว่ากำลังจะปิ๋วไป ก็กล่าวอย่างไม่เต็มใจว่า “พวกคุณไม่รู้จักกันสักหน่อย ทำไมถึงพูดว่าเรียกรถพร้อมกันได้ล่ะ!”
“ตอนนี้รู้จักกันแล้ว” เขากล่าวพลางผายมือทำท่าเชิญ ส่งคนจากไปด้วยท่าทีราวสุภาพบุรุษยุคเก่าโดยแท้
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่