บทที่ 5 เจ้านายบ้าอำนาจ
"ถ้าวันนั้นมีจริงล่ะก็ ฉันจะคุกเข่าขอเธอแต่งงานริมชายหาดเลยดีมั้ย" คำพูดนั้นติดตลก
มิลเลอร์ทำเหมือนเป็นเรื่องตลก เรื่องของจิตใจมันบังคับใครไม่ได้ ถึงปิ่นลดาจะตกหลุมเสน่ห์ของเขาเข้าอย่างจังและไม่อาจจะขัดขืนต่อความต้องการที่ถูกปลุกเร้าอย่างรุนแรงหากแต่ความรู้สึกมันก็ต้องมาควบคู่กัน เธอหวังว่าจะขึ้นเตียงกับผู้ชายที่เธอรัก ไม่ใช่กับคนที่แค่รู้สึกถูกใจเท่านั้น
ใบหน้าหวานแสนเศร้าที่มีร่องรอยแห่งความเหนื่อยล้าจ้องมองเขานิ่ง เกิดความเงียบและความอึดอัดขึ้นภายในห้องอย่างกะทันหัน แม้ว่าร่างกายเปลือยเปล่าของทั้งสองจะยังนัวเนียคลอเคลียกันอยู่บนเตียงแต่คล้ายกับมีกำแพงหนาที่มองไม่เห็นขวางอยู่
"ฉันไม่แต่งงานกับคุณหรอกค่ะคุณโฮมส์"
"โอ้ว...." มิลเลอร์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งยิ่งทำให้เขาดูดีขึ้นอีกหลายเท่าตัว "มันเยี่ยมเชียวล่ะ ฉันเองก็ยังไม่อยากแต่งงานเร็วๆ นี้นักหรอกนะ"
คนฟังกัดริมฝีปากแน่น สองมือขยุ้มผ้านวมผืนใหญ่เพื่อระบายความรู้สึก มันเป็นความรู้สึกอะไรเธอเองก็บอกไม่ถูก รู้แค่ว่ามันเศร้าและโหวงเหวงจนยากจะจับความรู้สึกที่แท้จริงได้
"ไม่ต้องบอกฉันก็รู้ค่ะ"
"เธอช่าง...เป็นคนที่เข้าใจอะไรได้ง่ายจริงๆ เลยนะเบบี๋"
"เหรอคะ" คำชมนั้นทำให้ใบหน้านวลต้องเบือนหนี ไม่อยากจะเห็นสีหน้าเป็นสุขแสนระรื่นของเขาให้แสลงใจอีก
"เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะเบบี๋ เพื่อตอบแทนความน่ารักของเธอ เธออยากได้อะไรล่ะ ฉันจะหามาให้"
ใบหน้าที่เบือนหนีไปหันกลับมาอีกครั้ง จ้องดวงตาสีสวยแสนมีเสน่ห์อย่างแน่วแน่ กัดริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นสะอื้น ไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้เขาได้สมเพชเวทนามากเกินไปกว่านี้ แววตาของเธอไร้ความรู้สึกเสียจนคนถูกมองถึงกับรู้สึกใจหาย
"ฉัน....อยากลาออก"
"ไม่มีปัญหา" เขายอมรับปากง่ายๆ อย่างไม่น่าเชื่อ
"หมายถึงย้ายออกจากบ้านของคุณด้วยค่ะ" เธอชี้แจงต่อ ไม่คิดหรอกว่าเขาจะยื้อให้เธออยู่ต่อ แต่คำตอบตรงไปตรงมานั่นก็ชวนให้หัวใจเจ็บปวดไม่น้อย
"ทำไมล่ะ หรือว่าเธอไม่ชอบบรรยากาศของมาลิบู อยากไปดูหอไอเฟล หรือว่าพระราชวังสวยๆ ที่ไหนก็ได้เธอบอกฉันมาเลย"
"ฉันไปที่ไหนก็ได้ค่ะที่ไม่มีคุณ"
"ไม่เอาหน่า...." มิลเลอร์คว้าเส้นผมนุ่มดุจแพรไมมาพันเล่นกับนิ้วมือ กลิ่นแชมพูโชยเข้าจมูกให้รู้สึกปั่นป่วนรุมร้อนขึ้นอีก ไม่ยอมให้ความสัมพันธ์ที่แสนเร้าใจนี้ยุติลงแต่เพียงเท่านี้หรอกหน่า "เราเข้ากันได้ดีมากนะ อย่างอแงไปหน่อยเลย ตอนนี้เธออาจจะยังคิดไม่ออกเพราะท้องหิว แต่ช่วยกินอะไรก่อน พอท้องอิ่ม สมองเริ่มทำงานแล้วค่อยมาคุยเรื่องพวกนี้กันใหม่ดีกว่า"
มิลเลอร์ลุกออกจากเตียง เขายืนจังก้าท้าสายตาอย่างไม่อายทั้งที่ยังอยู่ในสภาพเปลือยกาย เรือนร่างแข็งแรงสมส่วนยืนหันหลังให้กับเธอ ต่อสายคุยโทรศัพท์ยังห้องอาหาร บั้นท้ายแข็งแรงนั่นเป็นสีขาวนวลตัดกับผิวสีน้ำผึ้งที่ถูกบ่มแดดตลอดช่วงตัว คงเป็นส่วนที่เขาสวมกางเกงว่ายน้ำจึงทำให้เห็นเป็นสองสีเด่นชัด
กล้ามขากระเพื่อมทุกครั้งที่เขาเคลื่อนไหวร่างกายท้ายที่สุดเมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังถูกสายตากลมมองตามเขาจึงคว้าเอาเสื้อคลุมไหมสีน้ำเงินเข้มมาสวมลวกๆ ปิดบังร่างกายเอาไว้แถมยังมีน้ำใจถือเสื้อคลุมสีขาวติดมือมาด้วย
"อีกเดี๋ยวเขาจะเอาอาหารเช้ามาส่ง ถ้าไม่อายว่าจะอยู่สภาพแบบนั้นฉันก็ไม่ว่านะ แต่ขอแนะนำให้ใส่อะไรไว้บ้างดีกว่า"
ปิ่นลดาไม่พูดอะไรอีกนอกจากจะดึงเป็นกระชากเสื้อคลุมมาสวม เธอไม่ยอมให้ผิวกายโผล่ออกมาจากผ้านวมนอกจากส่วนศีรษะ แม้ว่าจะเป็นอุปสรรคในการสวมอยู่ไม่น้อยแต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ ดวงตาสีสวยคู่นั้นกวาดมองสภาพทั่วห้องอย่างสำรวจ
นี่....ห้องนอนเขา คงตั้งแต่เมื่อวานตอนที่เธอนำน้ำแร่เข้ามาเปลี่ยนก็แทบจะไม่ได้ก้าวออกจากห้องนี้เลยด้วยซ้ำ เสื้อผ้าของเธอเกลื่อนกลาดไปทั่วห้อง ซึ่งแน่ล่ะ..ของเขาก็ไม่ต่างกัน นอกจากนั้นก็คงมีแค่เตียงที่ยับยู่ยี่เหมือนเพิ่งผ่านสงครามกลางเมืองมา ห้องทั้งห้องยังสะอาดเรียบร้อยเหมือนเดิม
มิลเลอร์เลื่อนประตูกระจกเปิดกว้าง เขาก้าวออกไปยืนอยู่ที่ระเบียงห้องเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ในยามสาย แสงแดดอ่อนๆ ทอแสงสาดใส่เรือนกายของเขาแลดูคล้ายมีแสงอาร่าเปล่งประกายจากร่างสูงใหญ่นั่น ในมือเขามีแก้วน้ำแร่ที่เจ้าตัวถือติดไปด้วยขณะบิดกายไล่ความเมื่อยล้า
ปิ่นลดาหน้าแดงเมื่อคิดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น เธอพยายามก้าวลงจากเตียง ทันทีที่ฝ่าเท้าสัมผัสกับพื้นพรมใบหน้างามก็ต้องนิ่วด้วยความเจ็บปวดที่กระหน่ำลงมาไม่หยุดยั้ง เธอตั้งใจจะหนีออกจากห้องนี่ไปเงียบๆ แต่ดูท่าแล้วว่าร่างกายของเธอดันเป็นอุปสรรคอันแสนใหญ่หลวง ขาสองข้างของเธออ่อนแรง ความเจ็บบีบรัดที่ช่องท้องประหนึ่งมีประจำเดือนจนไม่กล้ากระดิกกระเดี้ยวตัวอีก
"อาหารมาเร็วดีนี่"
เขาหันหน้ากลับมายังทิศทางของเตียงเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู ทันได้เห็นร่างน้อยๆ ในชุดคลุมกำลังเดินย่องแย่งอย่างยากลำบากก้มเก็บเสื้อผ้าของตัวเองอยู่ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่มุมปากเพราะรู้แน่แก่ใจว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร หากไม่ใช่เพราะเขาที่ไม่ได้อ่อนโยนกับเธอเท่าที่ควร
จะโทษใครเล่า...ก็ต้องโทษแม่สาวน้อยจอมยั่วยวน ที่มีเสน่ห์แพรวพราวไปทั่วตัวนั่นแหละ ต่อให้พระอิฐพระปูนมาเอง ก็ไม่มีทางอ่อนโยนได้ลงหรอก...ก็ใครใช้ให้ปิ่นลดาน่ากินไปทั่วตัวแบบนั่นเล่า
ร่างสูงสง่าเดินผ่านหน้าเธอไป เลยไปถึงประตูเห็นมายายืนอยู่ตรงนั้นพร้อมทั้งถาดอาหารกลิ่นหอมฉุย ประตูบานใหญ่เปิดกว้างเพื่อให้แม่บ้านเข้ามาบริการ มายาไม่มองมาที่ปิ่นลดาเลยด้วยซ้ำนอกจากจะทำหน้าที่ของตัวเองจนเสร็จเรียบร้อยและเดินจากไป ทิ้งไว้แค่เพียงความอดสูต่อหญิงสาวที่ต้องเผชิญกับความกระดากเพียงลำพัง
มายาคงคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้ดี เห็นมาจนชินตาเพียงแค่เปลี่ยนหน้าเท่านั้น จึงไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาอย่างโจ่งแจ้งนัก ผิดกับคนที่เพิ่งเผชิญกับเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิต จะบอกว่าเป็นเรื่องเลวร้ายก็ดูจะเป็นเรื่องโกหกที่ไม่น่าเชื่อถือเอาเสียเลย เมื่อความจริงเป็นเช่นไรมีเพียงปิ่นลดาเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด
มายาออกไปแล้ว ประตูห้องถูกปิดตามไล่หลังส่วนมิลเลอร์เดินมาหยุดซ้อนหลังเธอที่ยืนสูดลมหายใจยาวเพื่อระงับอาการปวดท้องที่กำลังเล่นงานอยู่ เขาวาดวงแขนโอบรอบเอวบางนั่นแล้วหิ้วเธออย่างง่ายดายเดินไปยังโซนโต๊ะอาหาร
"อ๊ะ...ว๊าย นี่คุณจะทำอะไร ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ"
"ไม่มีปัญญาจะเดินด้วยซ้ำ อย่ามาทำเป็นเล่นตัวเลยหน่า" เขาเอ็ด ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้แถมยังทำหวังดีดึงเธอมานั่งบนหน้าตักแข็งแกร่งอีกด้วย
"ไม่ต้องทำมาเป็นพูดดีเลย"
"นี่เธอยังมีแรงเถียงฉันอยู่อีกเหรอเนี่ย สงสัยว่าฉันคงเล่นงานเธอไม่หนักพอใช่มั้ย"
"คนบ้า...ปล่อยฉันนะคะ"
"ถ้ายังมีแรงเหลือที่จะเถียงล่ะก็นะ งั้นก็ไปต่อกันเถอะ"
"บ้า...ไม่เอานะคะ" ปิ่นลดาขืนตัวไว้สุดแรง ไม่ยอมไปทำอะไรบ้าๆ ที่ทำให้เธอหน้าแดงก่ำแบบเมื่อครู่อีก เมื่อภาพวาบหวิวที่เพิ่งเกิดขึ้นหมาดๆ ผุดขึ้นมาในหัว แถมยังเป็นภาพที่เต็มไปด้วยเสียงจนต้องส่ายหน้ารัวเพื่อไล่ภาพลามกพวกนั้นออกจากหัวไปให้หมด
"งั้นก็อย่าเรื่องมาก อย่างองแง กินข้าวซะ เธอไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อวานไม่หิวรึไง"
ปิ่นลดามองตามเขา อาหารบนโต๊ะน่าทานมากเลยทีเดียวแต่แค่จะเอื้อมมือไปทานก็ทำแทบไม่ได้เพราะเขาดันจับเธอนั่งคร่อมอยู่บนหน้าตักแถมหันหน้าเข้ากันเสียอีก ไอ้ส่วนนั้นที่ทำลายเธอเสียย่อยยับก็ตื่นผงาดเหมือนกับว่ามันไม่เคยหลับใหลจนใบหน้าของเธอแดงก่ำ รีบเปลี่ยนเรื่องคุย
"หิวค่ะ"
"หิวก็กิน"
"ตะ...แต่ว่า"
"อ๋อ...." ชายหนุ่มเข้าใจท่าทางเขินอายนั้นแทบจะทันที สองมือรีบยกร่างบอบบางที่เบายิ่งกว่าปุยนุ่นจากหน้าตักให้หันไปทางโต๊ะอาหารแต่ยังวางแหมะร่างน้อยอยู่บนหน้าตักเช่นเดิม เหมือนคนเข้าใจอะไรง่ายๆ "แบบนี้คงคล่องตัวกว่าใช่มั้ย"
"มะ...ไม่เลยค่ะ"
"แล้วยังไง"
"ให้ฉันไปนั่งที่เก้าอี้ของตัวเองดีกว่าค่ะ"
ปิ่นลดารีบบอก ตอนนี้เธอแทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ตายไปเสียเลย ดูเขาสิ สาบชุดคลุมของทั้งคู่แยกออกจากกันจนเห็นแผงอกรำไร ของเขาน่ะไม่เท่าไหร่แต่ของเธอนี่สิแทบจะปิดหน้าอกอิ่มที่มีรอยแดง รอยจ้ำอันเกิดจากริมฝีปากของเขาได้ไม่มิด มันแทบจะเผยออกมาอวดสายตาของเขาอยู่ทุกขณะที่เธอเคลื่อนไหวร่างกายให้เขาได้ดูชม ซึ่งมองตามสายตาของเขาไปก็เห็นจ้องเอาแต่หน้าอกตูมของเธออย่างเอาเป็นเอาตาย
"กินแบบนี้ดีกว่าฉันชอบ"
"ตะ...แต่ว่า อ้ำ"
เพื่อทำให้ประสบการณ์การใช้เว็บของคุณดียิ่งขึ้น และเลือกเนื้อหาที่เหมาะสมกับคุณอย่างได้อย่างส่วนตัว ท่านสามารถอ่านนโยบายคุกกี้เพิ่มเติมได้ที่นี่
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว