คดีรักบัลลังก์สวาท -ตอนที่ 1 ปฐมบท ราชวงศ์ตู้ NC18+ NTR

โดย  ซาเอบะริว

คดีรักบัลลังก์สวาท

ตอนที่ 1 ปฐมบท ราชวงศ์ตู้ NC18+ NTR

ตอนที่1. ประมูล


ดุลยา จิตรุ่งเรือง ในชุดไทยงดงามกำลังล้างเครื่องสำอางบนใบหน้า เพื่อนนางรำคนอื่นๆ ไปถ่ายรูปเล่นกันสนุกสนานริมหาดทรายแล้ว นานๆ ทีจะได้รับงานต่างจังหวัดสักหน ปกติเธอไม่ค่อยชอบออกต่างจังหวัดนัก แต่หลังจากเรียนจบแล้วยังหางานประจำทำไม่ได้ งานพิเศษที่ทำมาตั้งแต่เรียนมัธยมปลายก็มีเข้ามาเรื่อยๆ เธอจึงลองรับงานไกลบ้านดู

หญิงสาวเป็นนางรำ นอกจากรำงานพิธีต่างๆ งานรำแก้บน แล้วแต่ลูกค้าจะจ้างไป งานรำที่เป็นงานแสดงตามร้านอาหารหรือโรงแรมหรูๆ ก็เคยรับงานมาแล้ว ดุลยามีรุ่นพี่ที่สนิทสนมกันเป็นคนหางานให้ พื้นเพเดิมเป็นสาวเหนือ พ่อของเธอทำงานรับเหมาก่อสร้าง เริ่มจากกิจการเล็กๆ มีคนงานไม่กี่คนก็เริ่มขยายงานใหญ่ขึ้น ไปรับงานในกรุงเทพฯ นานๆ จะกลับบ้านมาสักครั้ง หญิงสาวอยู่กับแม่และปู่ย่าใช้ชีวิตเรียบง่ายค่อยให้พ่อส่งเงินให้เธอกับแม่ใช้อยู่ที่อำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดแพร่

แต่เมื่อเธอเรียนจบมัธยมต้น และเริ่มใช้ชีวิตนักเรียนมัธยมปลาย ความจริงอันโหดร้ายก็ทำลายครอบครัวของเธอ พ่อกับแม่รักใคร่กันจนกำเนิดเธอขึ้นมานั้นไม่ได้จดทะเบียนสมรส พ่ออ้างว่าเพราะทำธุรกิจเกรงว่าหากวันหนึ่งข้างหน้ามีอะไรเปลี่ยนแปลงจะได้ไม่ทำให้สองแม่ลูกเดือดร้อน แต่กลายเป็นว่า พ่อมีผู้ใหญ่คนใหม่ที่กรุงเทพฯ และจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย

คนที่เคยเป็นเมียหลวงมาตลอด จู่ๆ วันหนึ่งกลับกลายเป็นเมียน้อยเสียอย่างนั้น พ่อบอกให้แม่กับเธออยู่ดูแลปู่กับย่าต่อไป จะคอยส่งเงินมาใช้เรื่อยเหมือนเดิม แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว หัวใจของแม่แตกสลาย ความรักและความศรัทธาที่เธอมีต่อพ่อก็หายไปด้วย พอเรียนจบมัธยมปลาย ความอดทนของแม่ก็ถึงขีดสุด สองคนแม่ลูกหิ้วกระเป๋าออกจากบ้านของปู่ย่ากลับมาอยู่บ้านของตัวเองอีกอำเภอหนึ่ง ประจวบเหมาะกับที่เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยราชภัฏได้ซึ่งใกล้บ้านเดิมของแม่ เธอจึงอยู่กับแม่โดยไม่สนใจคำขอร้องกึ่งบังคับที่พ่ออยากให้เธอกลับไปอยู่ดูแลปู่กับย่า

หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ เธอรักปู่กับย่ามาก แม่เองก็เช่นกัน แต่สถานะของแม่กลายเป็นเมียน้อยหรือเมียเก็บที่พ่อเลี้ยงไว้แค่ให้ดูแลปู่ย่าเท่านั้น ด้วยความที่แม่ตรอมใจมานานกว่าจะย้ายออกมาจากบ้านปู่ย่า เมื่อกลับมาอยู่บ้านตัวเองก็ถูกคนรอบข้างนินทาว่าร้าย เธอพยายามเข้มแข็งเพื่อให้แม่ไม่ต้องกังวล การเรียนของเธอดีเยี่ยม เข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็ไม่ได้ใช้เงินของพ่ออีก เพราะเธอได้ทุนเรียนดีและเพราะบ้านตากับยายพอมีรายได้จากการทำนาทำไร่อยู่บ้าง แม่เองก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉยกลับมาทำขนมไทยขาย ออกร้านตามงานต่างๆ ดุลยาคิดว่าทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นแล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายแม่ก็ประสบอุบัติเหตเสียชีวิตกระทันหัน รถมอเตอร์ไซค์ของแม่ถูกรถบรรทุกเฉี่ยว ตอนนั้นเหลืออีกแค่ครึ่งปีเธอก็เรียนจบแล้ว เธอจะเลี้ยงดูแม่ไม่ให้ลำบาก

งานศพของแม่ เธอได้เจอพ่ออีกครั้ง หลังจากไม่ได้พบกันมาหลายปี เธอรู้แค่ว่าพ่อเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้างใหญ่โต แต่เธอก็ไมได้ใส่ใจรายละเอียดอื่นใด พ่อเข้าไปไหว้ตากับยายขอเลี้ยงดูเธอ ให้เธอได้ทำงานดีๆ ในกรุงเทพฯ แต่ถ้าเธออยากเรียนปริญญาโทก็จะส่งเสียเอง ด้วยเหตุผลนี้ตากับยายที่เห็นว่าการเรียนของดุลยาดีเยี่ยมนั้นควรจะได้เรียนต่อสูงๆ หลังเรียนจบแล้วจึงยอมให้เธอมาอยู่กับพ่อที่กรุงเทพฯ

แต่ดุลยามาอยู่กรุงเทพฯ ได้สามเดือนแล้วยังไม่เห็นวี่แววเรื่องที่จะได้เรียนต่อ ส่วนเรื่องงานนั้นคืองานบ้านที่แม่เลี้ยงใช้ให้เธอและงานในบริษัทรับเหมาก่อสร้างของพ่อนั้นเอง เห็นได้ชัดว่าแม่เลี้ยงคนสวยอยากได้เธอไว้ใช้งานและจ่ายค่าแรงเป็นเพียงที่อยู่ที่กินเท่านั้น

‘เรื่องเรียนต่อยังไงก็ได้เรียนแน่ๆ แต่จะรีบเรียนไปไหน เพิ่งเรียนจบมาพักผ่อนสักปีสองปีค่อยเรียนต่อก็ไม่สายไปหรอก’

ดุลยาจำได้ดี นั้นคือเหตุผลที่ทำให้เธอต้องฝืนใจอยู่ใต้หลังคาบ้านเดียวกับแม่เลี้ยงที่อายุมากกว่าเธอแค่แปดปี ตั้งแต่รู้ว่าพ่อทรยศแม่ไปจดทะเบียนสมรสกับผู้หญิงคนอื่น เธอก็ไม่สนใจเรื่องราวของผู้หญิงคนนั้นนัก จนกระทั้งได้มาอยู่รวมกัน แม้จะไม่ถึงกับเป็นแม่เลี้ยงใจร้าย แต่ชี้นิ้วสั่งให้เธอทำงานนั้นมันก็ทำให้เธอรู้สึกไม่ดี ซ้ำพ่อยังไม่เข้าข้างเธออีก แม้กระทั้งค่าใช้จ่ายของเธอ พ่อก็ยังให้แม่เลี้ยงจัดการ ซึ่งก็เป็นแค่ ‘เศษเงิน’ ที่แทบไม่พอใช้จ่ายอะไร จนทำให้เธอต้องมารับงานพิเศษที่เคยทำสมัยเรียน

เห็นทีเธอจะอยู่บ้านหลังนี้ไม่ได้นานจริงๆ

“ดาวไม่ไปถ่ายรูปเหรอจ๊ะ นานๆได้มาทะเลสักหน”

“เดี๋ยวค่อยไปก็ได้ ขอเช็ดเครื่องสำอางก่อน”

“ไปล้างที่บ้านก็ได้นี่” เพื่อนสาวหัวเราะคิกคิก

“ไม่เอาล่ะ หนักหน้ายังไงไม่รู้”

“พวกเราไปถ่ายรูปก่อนนะ”

“จ๊ะ”

ดุลยาได้แต่พยักหน้ารับ เธอไม่ชอบแต่หน้าหนาและจัดจ้านแบบนี้ แต่เพราะงานเธอจึงจำเป็น รอบนี้ได้มาทำงานถึงพัทยา มารำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ VIP ของโรงแรมหรูระดับห้าดาว งานนางรำเป็นรายได้เสริมที่ทำมาหลายปีตั้งแต่อยู่มัธยมปลาย แรกๆ เพราะเธอพอมีพื้นฐานด้านฟ้อนรำเพราะตอนที่อยู่ต่างจังหวัดมีคนเฒ่าคนแก่สอนรำบ้างตามประสาเด็กต่างจังหวัด มีรุ่นพี่ที่รู้จักชวนให้เธอไปรำในร้านอาหารซึ่งแขกส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ บางคนก็ไปคล้องพวงมาลัยให้นักท่องเที่ยว มันจึงเป็นรายได้เล็กๆ น้อยๆ ของเธอ ที่ไม่กระทบกับการเรียน แม่จึงไม่ห้ามปรามอะไร เธอจึงรับงานมาเรื่อย เข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็ยังมีงานรำให้ทำอยู่ ไปๆมาๆ ก็กลายเป็นงานที่เพิ่มรายได้ มีเธอกับเพื่อนๆ หลายสิบชีวิตที่ทำงานแบบเดียวกัน ระหว่างนี้ที่ยังไม่มีงานประจำทำ เธอจึงทำงานรำได้เต็มที่กว่าก่อน เธอไม่ได้รังเกียจงานนางรำ เพียงแค่หวังว่าสักวัน เธอจะหางานประจำมีรายได้เลี้ยงตัวเอง เพียงแค่นั้น

ครั้งนี้ได้มาไกลถึงพัทยา หญิงสาวชอบทะเลแต่ไม่มีโอกาสได้มาเที่ยวบ่อยนัก เพราะพ่อกับแม่เลี้ยงไม่ค่อยชอบ บ่นว่าเหนียวตัว ทำให้เธอพลอยอดไปด้วย แต่ถึงวันนี้จะได้มาโรงแรมหรูหราแต่ก็เพราะเรื่องงาน หญิงสาวเช็ดเครื่องสำอางเสร็จก็ลุกจากหน้ากระจก ตั้งใจเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ แต่ดูเหมือนคนอื่นทยอยเดินขึ้นจากหาดแล้ว

“อีกครึ่งชั่วโมงกลับนะดาว”

“รับทราบค่ะ”

ดุลยายกมือขึ้นแตะปลายคิ้วเลียนแบบท่าทหารรับคำสั่ง แล้วเดินไปที่ชายหาด ใส่ชุดไทยแบบนี้คนหันมามองหลายคนเชียว แต่ส่วนใหญ่เป็นแขกของโรงแรม แต่เธอก็ชินแล้ว เธอถอดรองเท้าแตะที่สวมอยู่แล้วรั้งชายผ้าถุงให้สูงขึ้นเล็กน้อยเพื่อจะได้ไม่เปียกน้ำทะเล ปล่อยเท้าเปลือยเปล่าให้สัมผัสเม็ดทรายและฟองคลื่น

หญิงสาวรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองอย่างไม่เกรงมารยาท เธอเงยหน้าขึ้น ยกมือขึ้นปัดเส้นผมของตนเองก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อยืดกับกางเกงขาสามส่วน ดวงตาคมเข้มคู่นั้นจ้องเธอเขม็ง เธอรู้ว่าเธอออกจะดูแปลกๆ ไปสักหน่อย แต่ไม่ใช่คนบ้าหรือคนอันตรายนะ สายตาของเขาทำให้เธอหลบตาแล้วหมุนตัวเดินกลับขึ้นมาที่ห้องแต่งตัวเพื่อหยิบกระเป๋าเตรียมขึ้นรถเดินทางกลับ

“น้องดาว ดุลยาหรือเปล่าคะ” หญิงสาววัยสี่สิบนิดๆ เดินเข้ามาทักด้วยรอยยิ้ม

“ค่ะ” ดุลยายิ้มรับ จำได้ว่าเจอผู้หญิงคนนี้ตอนที่ถ่ายรูปร่วมกับแขกที่เข้ามาชมการแสดง

“ลูกชายพี่ชอบน้องมากเลยค่ะ รบกวนขอถ่ายรูปคู่กับเด็กหน่อยได้ไหมคะ”

ดุลยาเห็นว่ายังพอมีเวลาจึงพยักหน้ารับ ได้ยินว่าคำว่าเด็ก ก็ไม่อยากให้เด็กเสียใจ เธอยอมเดินตามผู้หญิงคนนั้นออกจากห้องแต่งตัว เพียงแต่เดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว ร่างก็ถูกโอบรัดจากด้านหลัง ยังไม่ทันตั้งตัว ผ้าผืนหนึ่งก็ถูกปิดครึ่งปากครึ่งจมูก ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกใจ เท้าเล็กๆ เตะไปมาแต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรได้เลย พยายามกลั้นหายใจแต่กลิ่นประหลาดนั้นก็ทำให้ร่างที่ดิ้นรนอยู่ค่อยๆ หยุดนิ่งพร้อมดวงตาที่ปิดสนิทลง

“เจ้แน่ใจนะว่าไม่มีปัญหาที่หลัง” ชายคนที่อุ้มร่างที่หมอสติบ่นพึมพำ

“จะมีปัญหาได้ ก็ยัยแม่สั่งมาเองนี่” หญิงสาวคนเดิมพูดแล้วก้มลงเก็บกระเป๋าข้าวของหญิงสาวที่ตกพื้นขึ้น “มัวแต่พูดมากรีบไปได้แล้ว”

“ครับเจ้”

คนสองคนช่วยกันพาร่างคนที่หมดสติเข้าไปในรถตู้ หญิงสาววัยสี่สิบมองใบหน้าคนที่หมดสติไป ใบหน้าหวานรูปร่างบอบบาง ผิวขาวอมชมพูแบบธรรมชาติ หน้าไร้เครื่องสำอางแต่กลับดูน่ามองกว่าเมื่อครู่ที่อยู่บนเวทีเสียอีก

รถตู้พาหญิงสาวที่หมดสติมายังสถานที่แห่งหนึ่ง หญิงเริ่มรู้สึกตัวแต่ยังขยับตัวเคลื่อนไหวไม่ได้ดั่งใจ เธอรู้สึกเพียงว่ามีมือมาจับเนื้อตัวเธอ หญิงสาวพยายามปัดป้องแต่ทำได้แค่คิดเพราะยกมือยังไม่ขึ้น

ดุลยาพยายามตั้งสติ เกิดอะไรขึ้นกับเธอนะ เธอถูกลักพาตัวใช่ไหม? ใครกันเล่า บ้านเธอก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ต้องมีการเข้าใจอะไรผิดแน่ๆ

หญิงสาวรู้สึกว่ามีคนพยุงร่างเธอมาวางบนพื้นพรมหรืออะไรสักอย่างที่ค่อนข้างนุ่ม เสียงพูดเป็นภาษาอังกฤษปนภาษาไทย ทำให้เธอพยายามตั้งใจฟัง และไม่กี่นาทีต่อมา แสงไฟก็เข้ามากระบใบหน้า เธอหยี่ตาแล้วขยับมือยกขึ้นบังแสงสปอร์ตไลน์นั้น เริ่มใจชื้นที่แขนขาขยับได้บ้าง แต่ยังยันตัวขึ้นอย่างยากลำบาก

“เริ่มประมูลที่ห้าหมื่นบาท ท่านใดสนใจหญิงสาวงดงามราวกับหลุดออกมาจากนางในวรรณคดี ขอเชิญเสนอราคากันมาเลยครับ!!!”

ประมูล! ประมูลอะไรกัน!

“อ๊ะ!”

ดุลยาร้องได้เพียงแค่นั้น รู้เพียงแค่มีคนมาจับให้เธอเงยหน้าขึ้น เพียงเธอกวาดสายตาไปเบื้องหน้า หัวคิ้วก็ขมวดยุ่ง อะไรกัน เหมือนกับที่เคยเห็นในภาพยนตร์แต่...นี่มันอะไรกัน คนสวมหน้ากากนั่งจ้องมองเธอราวกับเป็นสัตว์หรือสิ่งของชิ้นหนึ่ง

“หกหมื่น”

เสียงชายคนหนึ่งพูดขึ้นพร้อมชูป้ายหมายเลขของตนเอง ดุลยายังงุนงงอยู่จับต้นชนปลายไม่ถูก เธอมองไปอีกด้านของเวที มีหญิงสาวนุ่งน้อยห่มน้อยยืนอยู่ราวกับคุ้นเคยกับเรื่องนี้ดี

“เจ็ดหมื่น”

ดุลยาผวาเฮือก เป็นเธอใช่ไหมที่กำลังถูกประมูล

“ไม่ ไม่ เข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่ได้...ว้าย! ”

“เชิญดูสินค้าก่อนได้ครับ รับรองไม่ผิวหวัง สาวไทยแท้ผิวพรรณผุดผ่องครับ”

หญิงสาวหวีดร้องอย่างตกใจเมื่อมือใหญ่มากระชากเอาสไบที่เธอห่มอยู่หลุดออกไป เหลือเพียงผ้าแทบที่มัดหน้าอกอยู่ เสียงหือดังขึ้น มือเรียวรีบยกมือขึ้นปกทรวงอกที่แม้จะมีผ้าปิดอยู่ แต่มันก็ไม่ได้ปกป้องเธอมากนัก ผมยาวสลวยคลี่กระจายราวแพรไหม หญิงสาวกลั้นน้ำตา กวาดสายตามองหาคนที่จะช่วยเหลือ เธอสะดุ้งสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองอยู่ มีแววประหลาดใจปนอยู่ในแววตาคู่นั้น

“แปดหมื่น”

“เก้าหมื่น”

ไม่เอานะ หยุดที ฉันฝันไปใช่ไหม ใครก็ได้ช่วยด้วย ดุลยาได้แต่อ้าปากพะงาบๆ แต่เสียงก็เบาเหลือเกิน นี่ใครเล่นตลกอยู่ใช่ไหม เมื่อครู่...เธอยังอยู่กับเพื่อนๆพี่ๆ เธอเป็นนางรำ มาแสดงโชว์ ไม่ใช่มาขายตัว แล้วเธอก็นึกได้ว่า เธอเดินตามผู้หญิงคนนั้นออกมา แล้วผ้าผืนนั้นก็ปิดที่ปากกับจมูกทำให้เธอหมดสติไป

“สองแสน”

น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยขึ้น สายตาหลายคู่หันไปมอง ดุลยาพยายามเพ่งมองแต่มองไม่ชัดนัก ม่านน้ำตาทำให้ภาพพร่าเบลอไปหมด

“มีใครให้มากกว่าสองแสนไหมครับ”

มีเพียงเสียงฮือฮาแต่ไม่มีการเสนอราคาเพิ่ม

“สองแสนครั้งที่หนึ่ง”

“สองแสนครั้งที่สอง”

“สองแสนครั้งที่สาม เคาะให้กับคุณหมายเลขสิบสามท่านนั้นครับ”

ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ มีชายร่างใหญ่เข้ามาประคองดุลยา หญิงสาวผวาเฮือกกลั้นน้ำตาไม่อยู่ เขาเดินยาวๆ เข้ามาดูสินค้า ที่ตนเองประมูลด้วยความไม่ตั้งใจ เขาปัดมือชายคนนั้นออกแล้วก้มตัวลงช้อนตัวหญิงสาวในชุดไทยขึ้นแนบอก

“ปล่อยฉันเถอะ คุณ... ฉัน...ไม่ได้...เป็น...อย่าง...ที่...คุณ...คิด”

น้ำเสียงแหบแห้งปนสะอื้น ชายหนุ่มอุ้มเธอไว้แนบอกแล้วพาลงเวทีไป มือเล็กพยายามที่จะยกขึ้นเพื่อดันเขาออก แต่มันกลับทิ้งลงข้างตัวอย่างไร้เรี่ยวแรง เขาพาเธอเดินออมาไกลแค่ไหนไม่รู้ แต่เสียงการประมูลค่อยๆ ห่างออกไปทุกที จนกระทั้งเขาพาเธอเข้าไปนั่งในเบาะหลังของรถ ร่างเล็กขดตัวงอเป็นกุ้ง เธอสะดุ้งเมื่อนิ้วมือของเขาเกลี่ยเส้นผมที่ลงมาปรกใบหน้า หญิงสาวเม้มปากเน้นไม่ต้องการให้เขารับรู้ถึงความอ่อนแอของเธอ หากเธอขยับตัวได้มากกว่านี้อาจจะปกป้องตัวเองได้บ้าง มิใช่เพียงแค่ร้องไห้อยู่อย่างนี้

“ทำแบบนี้ค่าตัวก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นหรอกนะ”

ประโยคสนทนาเป็นภาษาไทยแต่สำเนียงติดออกไปทางต่างชาติสักหน่อย เขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้ ใกล้เสียจนได้กลิ่นหอมจางๆจากหญิงสาว และกลิ่น... เหมือนกลิ่นยาสลบ

“โดนวางยารึ”

ดุลยาพยักหน้าแรงๆ หวังใจว่าเขาจะเป็นคนดีที่พอจะช่วยเหลือเธอได้ แต่เธอคงลืมไปว่าคนดีๆที่ไหนจะไปอยู่ในสถานที่ประมูลคนราวกับสินค้าเช่นนั้น เธอไม่รู้ว่าเขานิ่งคิดอะไรอยู่ แต่เขาก็ขยับตัวถอยห่างแล้วปิดประตูรถ เธอพยายามรั้งสติของตัวเองไว้ ทว่าร่างกายและจิตใจที่แบกรับเรื่องราวที่ถาโถมแบบไม่ทันตั้งตัวนี้ทำให้เธอผล็อยหมดสติไปอีกครั้ง

.................

รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว