(นิยายแปล) เทพเจ้าล่าสังหาร-บทที่ 92 ประตูสวรรค์ปรากฏ !

โดย  จาตุรนต์ ตาแว่นฟ้า โพธิ์ศรี

(นิยายแปล) เทพเจ้าล่าสังหาร

บทที่ 92 ประตูสวรรค์ปรากฏ !

ส่งปลาให้แม่ค้าในตลาดแล้ว ตอนเย็นร้อยเอกหญิงรุจิสาถึงได้ขับรถกระบะพาคนงานหนุ่มที่มาด้วยกันกลับบ้าน

ยังไม่ถึงบ้านก็มองเห็นรถตำรวจหลายคันจอดอยู่หน้าบ้านแต่ไกล

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับผู้กอง” คนงานที่นั่งรถมาด้วยเห็นรถตำรวจก็เบิกตากว้างด้วยความแปลกใจระคนสงสัย

ดวงหน้างามฉายความกังวล มั่นใจว่าต้องเป็นขบวนติดตามของคุณลุงแน่ ท่านคงไม่ลงทุนมาถึงที่นี่เพื่อตามเธอไปดูแลพี่รามที่กรุงเทพฯ หรอกใช่ไหม เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเธอก็ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร แต่เธอเองก็ไม่เต็มใจจะตามท่านไปดูแลคู่หมั้นเลยสักนิด

เฮ้อ...ลำบากใจจริงๆ

แต่จะหลบหน้าท่าน ทำตัวเป็นเต่าหดหัวเธอก็ทำไม่ได้เหมือนกัน

ผู้กองสาวลงจากรถ เดินผ่านตำรวจหลายสิบนายที่ยืนจับกลุ่มคุยกัน แต่พอเห็นว่าเป็นใครที่เดินเข้าบ้านมาก็ต่างเงียบเสียงจ้องมองเธอเป็นสายตาเดียว ทันทีที่ร้อยเอกหญิงรุจิสาปรากฏตัวในห้องรับแขกท่านนายพลที่มารอว่าที่ลูกสะใภ้อยู่นานก็ฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้า

“หนูจี”

รับไหว้เสร็จท่านก็พูดตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม

“ลุงมารับเราเข้ากรุงเทพฯ ...อาการของรามไม่ดีขึ้นเลย” แววตาของเธอวูบไหว ท่านนายพลหันไปสบตากับเพื่อนสนิทที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ก่อนพูดต่อ “หนูจีช่วยไปดูรามหน่อยนะ ถ้าได้พยาบาลดีอย่างเรา รามคงหายวันหายคืน...ไม่ทำหน้าเหมือนคนอมทุกข์อยู่ยังงี้”

“หมอ...พยาบาลที่โรงพยาบาลฝีมือดีกันทุกคน ถ้าจีไปคงจะเกะกะเปล่าๆ ค่ะคุณลุง”

ท่านนายพลโบกไม้โบกมือปฏิเสธ “เกะกะอะไรกัน” ดวงตาแฝงความมุ่งมั่นของเธอทำให้ท่านผบ.ตร.ชักเห็นใจลูกชาย แต่งานนี้เขาจะถอดใจไม่ได้เด็ดขาด อีกอย่างรับปากภรรยาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะพาคู่หมั้นลูกชายกลับไปด้วยให้ได้

“รามคงไม่ได้อธิบายให้หนูจีเข้าใจใช่ไหม”

“ไม่จำเป็นหรอกค่ะคุณลุง ตอนแรกจีก็เสียใจที่พี่รามเลือกที่จะช่วยผู้หญิงคนอื่นก่อนคู่หมั้นอย่างจี แต่มาคิดดูอีกที พี่รามกับจีก็ไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่ เจอหน้ากันไม่อีกครั้ง อีกอย่างถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรไป...คุณลุงคงลำบากไปด้วย” เธอกลืนก้อนแข็งๆ ลงคอ ข่มกลั้นความน้อยใจเสียใจไม่ให้ใครเห็น “จีเข้าใจดีค่ะ...เข้าใจดีว่าผู้หญิงคนนั้นคงเหมาะสมกับพี่รามมากกว่าจี ขอบคุณคุณลุงนะคะที่อุตส่าห์เสียสละเวลา...”

“เดี๋ยวๆ” ท่านนายพลฟังแล้วอึ้งจับต้นชนปลายไม่ถูก ยกมือขึ้นให้เธอหยุดพูด “จีคงไม่คิดว่ารามนอกใจเราหรอกใช่ไหม” ดูจากสีหน้าเธอแล้วจึงมั่นใจว่าลูกชายยังไม่ได้อธิบายให้หนูจีเข้าใจ

แหงนหน้ามองฟ้าแล้วท่านนายพลก็อยากจะจับลูกชายมาสั่งสอน ไม่รู้ว่าลูกชายตัวดีเป็นสุภาพบุรุษหรือซื่อบื้อกันแน่ เรื่องแค่นี้ก็ต้องรบกวนถึงผบ.ตร.อย่างเขาที่งานรัดตัวมาเสียเวลาอธิบายความจริง

เฮ้อ...นิสัยไม่ชอบพูดของเขาทำให้คนที่อยู่รอบข้างต้องเดือดร้อนกันไปหมด

“อันที่จริงลุงก็มีส่วนผิด”

“คุณลุงน่ะเหรอคะ” เธอเลิกคิ้ว ไม่เข้าใจสักนิดว่าคุณลุงจะมีส่วนรับผิดชอบได้อย่างไร

“เพราะลุงบังคับให้รามต้องเลือกน่ะสิ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเกิดเรื่องกับหนูจีเวลาเดียวกัน รามเป็นคนที่เถรตรง...เรื่องส่วนรวมต้องมาก่อนเรื่องส่วนตัว หนูจีไม่รู้หรอกว่ารามลำบากใจแค่ไหน หลังเกิดเรื่อง...รามรู้สึกผิดถึงขนาดไม่กล้าสู้หน้าเรา ไปถึงโรงพยาบาลแล้วก็นั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องทุกคืนๆ จนเราออกจากโรงพยาบาล”

หัวใจของเธอหดเกร็ง สับสนงุนงงไปหมด คิดว่าพี่รามไม่ได้สนใจใยดีตัวเองสักนิด

แต่ว่า…ความจริงแล้วพี่รามก็ไปเยี่ยมเธอ?

สายตาคลางแคลงสงสัยของเธอทำให้ท่านผบ.ตร.รีบไขความข้องใจทันที “ถ้าหนูจีไม่เชื่อก็ถามตำรวจที่เฝ้าหน้าห้องเราได้ พวกเขาเห็นแล้วก็ปวดใจไปด้วย” ลอบสังเกตสีหน้าของเด็กสาวแล้วท่านนายพลก็รวบรัดตัดความ “รู้ความจริงแล้วพรุ่งนี้เราก็เข้ากรุงเทพฯ กับลุงเถอะนะ คุณป้ายังสั่งลุงว่าถ้าพาเรากลับไปไม่ได้ก็ไม่ต้องกลับบ้าน” พลตำรวจเอกสุนทรพูดกลั้วหัวเราะ “เจ้านายลุงตัวจริงก็คุณป้าเรานี่แหละ”

ความจริงที่เพิ่งได้รับทำให้เธอตัดสินใจไม่ถูก

สายตาสับสนของเธอทำให้นายพลคิดว่า ขืนหนูจีลังเลอยู่ยังงี้ต่อไป รามต้องแย่แน่ๆ

เมื่อผู้กองสาวไม่รู้จะทำอย่างไร ท่านนายพลจึงตัดสินใจใช้ของที่ภรรยาฝากมา หันไปพยักหน้าให้นายตำรวจคนสนิทที่ยืนอยู่ตรงประตูห่างออกไป เขารีบยื่นถุงพลาสติคให้ท่านผบ.ตร.อย่างคนรู้งาน

นัยน์ตาคู่สวยเบิกกว้างกับสิ่งที่อยู่ข้างใน

“ลูกน้องของรามบอกว่า ตอนเขาหมดสติในมือก็ยังไม่ยอมปล่อยผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ หนูจีคงรู้ดีว่ามันหมายถึงอะไรใช่ไหม” ท่านนายพลพูดพลางยื่นถุงพลาสติคมาให้ ข้างในเป็นผ้าเช็ดหน้าสีเทา ผืนเดียวกับที่เธอปักตัวอักษร R ให้ แต่ตอนนี้ตัวอักษรนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด ผู้กองสาวยื่นมือสั่นเทาออกไปรับ ความเข้มแข็งที่มีอยู่ไม่หลงเหลืออีกต่อไป หยาดน้ำตาไหลรินออกมาเป็นสาย

ผ้าเช็ดหน้าแค่ผืนเดียวเขายังหวงแหนยิ่งกว่าชีวิต ในเวลาที่เลือดท่วมกายหมดสติไปแล้วแต่กลับไม่ยอมปล่อยมือ สิ่งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์เป็นอย่างดีว่า ในใจของพี่รามนั้นเธอก็มีความหมายต่อเขาไม่น้อย

เธอเข้าใจเขาผิดไปเองใช่ไหม หลายวันมานี้พี่รามรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล บาดเจ็บสาหัส แต่เธอกลับไม่ยอมไปดูดำดูดี ไม่สนใจเขาสักนิด

เธอใจร้ายมากใช่ไหม

“พรุ่งนี้เช้าเราก็เข้ากรุงเทพฯ กันแต่เช้าเถอะนะหนูจี” สีหน้าซีดเซียวของเธอทำให้ท่านนายพลรู้ว่าได้คำตอบที่พอใจแล้ว

“คุณลุงคะ” เธอบังคับไม่ให้เสียงสั่นเครือ “เราเข้ากรุงเทพฯ กันเย็นนี้ได้ไหมคะ”

วินาทีนี้ผู้กองสาวอยากเห็นหน้าคู่หมั้นมากที่สุด ให้เธอเห็นกับตาว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และไม่ได้โกรธเกลียดเธอ ไม่ได้ตำหนิว่าเธอใจร้ายกับเขา

“ลุงก็รอให้เราพูดคำนี้แหละ” ท่านนายพลคลี่ยิ้มน้อยๆ

เมื่อมีข่าวดี ท่านก็คว้าโทรศัพท์รายงานเจ้านาย ‘ตัวจริง’ ...ภรรรยาคู่ใจว่าภารกิจที่ได้รับมอบหมายสำเร็จลุล่วงและจะเดินทางกลับเย็นนี้



กว่าคณะของท่านนายพลจะมาถึงโรงพยาบาลก็เป็นเวลาค่ำมืด มาส่งว่าที่ลูกสะใภ้ท่านก็กลับบ้านไปหาภรรยาคู่ใจ ปล่อยให้สองหนุ่มสาวได้ปรับความเข้าใจกันเอง

เห็นคนป่วยไข้บาดเจ็บล้มตายมาก็ไม่น้อย แต่ไม่คิดเลยว่าร่างสูงใหญ่ที่นอนอยู่บนเตียงจะทำให้หัวใจของเธอหดเกร็ง คล้ายกับว่าเป็นคนเจ็บเสียเอง เพราะสำหรับเธอแล้วพี่รามเป็นคนแข็งแรงจะไม่มีวันป่วยไข้เป็นอันขาด แต่เมื่อความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้า เขาวันนี้อยู่ในสภาพที่ห่างไกลกับภาพที่เธอสร้างไว้ในใจอย่างลิบลับ

ร้อยเอกหญิงรุจิสาพรวดพราดออกไปจากห้อง ตั้งแต่โตขึ้นมาเธอก็ไม่ยอมให้ใครได้เห็นน้ำตา เพราะน้ำตามีไว้สำหรับคนอ่อนแอเท่านั้น

แต่ว่า…

แต่ว่าในวันนี้ เวลานี้ พี่รามสภาพย่ำแย่ถึงเพียงนั้น ทำให้หัวใจของเธอราวกับจะหลั่งน้ำตาได้ จะใช้เวลานานสักแค่ไหนกว่าเขาจะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม ตอนนี้เธอไม่ขออะไรมาก ขอแค่ได้อยู่ข้างๆ เป็นกำลังใจให้เขารักษาตัวและกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมก็พอ

ในที่สุดเธอก็ข่มกลั้น แสร้งทำเป็นเข้มแข็งต่อไปไม่ไหว หาที่หลบตาคนแล้วก็ปล่อยให้น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหลั่งลงมาเป็นสาย

วันนี้เธอขอเป็นคนอ่อนแอ

…เพื่อเขาสักวัน

ร้องไห้จนพอใจแล้วผู้กองสาวจึงแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่มืดมิด มองเห็นดาวดวงหนึ่งเปล่งแสงเจิดจรัดคล้ายกับจะปลอบประโลมว่า เธอต้องเข้มแข็ง อย่าอ่อนแอเป็นอันขาด เพราะเวลานี้พี่รามต้องการเธอมากที่สุด

ขณะที่กังวลกับเรื่องคู่หมั้นจู่ๆ ก็มีคนหวังดียื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ ผู้กองสาวหันขวับไปมอง

“พี่ปรานต์!”

ปรานต์เป็นพี่ชายข้างบ้านที่เรียกได้ว่าโตมาด้วยกัน แต่หลังจากเธอย้ายเข้ามากรุงเทพก็ขาดการติดต่อกันไประยะหนึ่ง

เขาเห็นเธอตอนวิ่งผ่านก็เลยตามมาดู ไม่คิดเลยว่าจะเห็นภาพของหญิงสาวที่เข้มแข็งอยู่เสมอร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรให้กับผู้ชายคนหนึ่ง ในใจของจีแล้วผู้ชายคนนั้นคงสำคัญมากเธอถึงกับยอมหลั่งน้ำตาเพราะความเสียใจเช่นนี้

ความห่วงใยของเธอที่มีต่อผู้ชายคนนั้นทำให้หัวใจทั้งดวงของเขาเจ็บแปลบ

“พี่ปรานต์มาได้ยังไงคะ” เขาไม่ตอบแต่กลับยัดผ้าเช็ดหน้าใส่มือเธอ ร่างบางหันไปเช็ดคราบน้ำตาที่หลงเหลืออยู่ออกจากแก้ม

“พี่ได้ข่าวว่าจีย้ายกลับบ้าน”

เธอหันกลับมายิ้มนิดๆ ให้ก่อนตอบ “ค่ะ จีเป็นห่วงพ่อ”

สายตาคมเข้มมองเธอนิ่งนานก่อนพูดว่า “คู่หมั้นเราอาการเป็นยังไงบ้าง”

“พี่รามคงใช้เวลาพักฟื้นหลายเดือน กว่าจะกลับไปทำงานได้” แม้แต่น้ำเสียงของเธอก็ยังแฝงความกังวลอย่างปิดไม่มิด

เขาพยักหน้าน้อยๆ มองเธอด้วยสายตาครุ่นคิด “จีผอมไปนะ”

พี่ปรานต์มักจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเธอเสมอ ความห่วงใยของเขาทำให้รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏบนใบหน้างาม

“พรุ่งนี้พี่จะโทรฯ หาจี” เขามองดวงหน้างามนิ่งนานก่อนจะหมุนตัวจากไป

พี่ปรานต์เป็นคนไม่ค่อยพูดเธอรู้นิสัยเขาดี แต่ว่าวันนี้เธอรู้สึกว่าเขามีอะไรในใจ อยากซักไซ้เขาต่อแต่เธออยากกลับไปหาพี่รามมากกว่า

ผู้กองสาวจากไปแล้วปรานต์จึงหันกลับมามอง นัยน์ตาสีเข้มที่มองมาแฝงความซับซ้อน



ปกติแล้วพันตำรวจเอกพีรัชเป็นคนตื่นเช้าเสมอ แต่เพราะอยู่ในระหว่างการพักฟื้นวันหนึ่งต้องกินยาหลายสิบเม็ดจึงทำให้เขาหลับนานกว่าปกติ นายตำรวจหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบาก แต่จู่ๆ หางตาก็สะดุดกับอะไรบางอย่างที่วางอยู่ด้านข้าง นัยน์ตาของเขาเบิกกว้างด้วยความยินดี เพราะของที่ว่าคือกล่องผ้าเช็ดหน้าที่เขามอบให้คู่หมั้นสาวให้ปักตัวย่อชื่อเขาและเธอ

“โครม!!!” เพราะความตื่นเต้นดีใจที่จะได้เห็นหน้าคู่หมั้นสาวทำให้นายตำรวจหนุ่มลืมตัวว่าแขนและขาซ้ายยังหักอยู่

“ผู้กำกับ” หนึ่งในตำรวจนอกเครื่องแบบที่ยืนรักษาความปลอดภัยอยู่หน้าห้องได้ยินเสียงจึงรีบวิ่งพรวดเข้ามาทำท่าจะประคองเจ้านายให้ลุกขึ้น แต่สายตาคมกริบคู่นั้นทำให้เขาผงะออกห่าง ถอยหลังไปสามก้าวอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่พันตำรวจเอกพีรัชเกลียดที่สุดคือการแสดงความอ่อนแอให้คนอื่นเห็น

หางตาเขาพลันสะดุดอยู่ที่ร่างบางที่เดินตรงมา วินาทีต่อมาผู้กำกับที่เพิ่งส่งสายตาราวกับคมดาบให้ลูกน้องจู่ๆ ก็ร่างกายไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเฉยๆ ลูกน้องที่หวังดียื่นมือออกมาหมายจะพยุงเจ้านายให้ลุกขึ้นแต่ก็ถูกสายตาคู่เดิมที่ประกายตาแรงกล้ากว่าเดิมแทนคำว่า ‘ไม่ต้อง!’

ลูกน้องงุนงงเป็นที่สุด

“พี่ราม!”

เสียงหวานๆ ของร้อยเอกหญิงรุจิสาดังขึ้น เห็นเขาอ่อนแอไม่มีแรงแม้แต่จะพยุงกายลุกขึ้น หัวใจเธอเจ็บปวดเป็นที่สุด รีบพุ่งตัวเข้ามาพยุงคู่หมั้นเพราะกลัวว่าเขาจะเจ็บซ้ำแผลเดิม

ความห่วงใยที่เขียนชัดบนใบหน้าสวยทำให้เขารู้สึกถึงความหวานล้ำ แม้จะไม่เข้าใจว่าสาเหตุเป็นเพราะอะไรแต่นายตำรวจหนุ่มก็ชอบใจไม่น้อย

ดวงตาคมเข้มที่คล้ายจะยิ้มได้คู่นั้น ทำให้นายตำรวจลูกน้องเข้าใจแจ่มแจ้งวินาทีนี้ว่าทำไมจู่ๆ ผู้กำกับถึงได้ไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เพราะใช้แผน ‘ชายงามผู้อ่อนแอ’ ออดอ้อนหญิงงามนี่เอง

รับรองว่าถ้าเขาเล่าให้ใครฟังว่าผู้กำกับก็มีมุมนี้กับเขาเหมือนกันจะต้องไม่มีใครเชื่อแน่ เสียดายเหลือเกินที่เมื่อกี้คว้าโทรศัพท์มือถืออัดวิดีโอไม่ทัน

ตำรวจลูกน้องส่ายหน้าแล้วเดินจากไป ไม่รอให้ผู้กำกับใช้สายตาคมกริบแทนคำสั่งเป็นครั้งที่สาม


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว