เจ้าสาววังบูรพา (นิยายจีน)-บทนำ เจ้าสาววังบูรพา

โดย  อาคาเซีย สลิลโรส

เจ้าสาววังบูรพา (นิยายจีน)

บทนำ เจ้าสาววังบูรพา

1

อสุนีบาต



๑๗ กุมภาพันธ์ พ.2555

ร่างสันทัดของชายวัยกว่าครึ่งศตวรรษเอี้ยวตัวกลับไปสำรวจความเรียบร้อยของห้องกว้างอีกครั้ง สายตาคมกริบบอกความละเอียดลออกวาดไปทั่วทุกมุมห้องก่อนจะหยุดนิ่งตรงกลาง ...ที่ตั้งของสิ่งล้ำค่าที่สุดในห้องนี้...รอยยิ้มที่มักหลบซ่อนอยู่หลังใบหน้าเรียบเฉย ดูเหมือนครุ่นคิดอยู่เป็นนิจแย้มออก อัจฉริยาภาพฉายวับในแววตาเพียงแวบหนึ่งแล้วดับลงอย่างรวดเร็วเหมือนเช่นทุกครั้ง ด็อกเตอร์ทางวิทยาศาตร์ประยุกต์ก้าวออกจากห้องปฏิบัติการลับ หลังจากที่ปิดประตูหนาหนักล็อกอย่างเเน่นหนา

ดร.สำลีเงยมองหลังคาอุโมงค์ใต้ดินที่เขาสร้างด้วยกระจกพิเศษสำหรับพลางตาคนภายนอกแล้วขมวดคิ้ว ...ฟ้ากระจ่างไร้รอยเเต้มใดๆ ตั้งแต่หัวค่ำเริ่มมัวหม่น นักวิทยาศาสตร์สมถะยกข้อมือที่มีโทนสีแตกต่างกับชื่อราวฟ้ากับดินขึ้นดูเวลา ...ได้เวลาแล้ว รถของทางสนามบินคงจะมาถึงในไม่ช้า ...

ศีรษะขาวโพลนตั้งเเต่ก่อนเวลาอันควรเงยมองฟ้าอีกครั้งเมื่อรถคันยาวใหญ่สีดำปลอด เช่นเดียวกับอนธการรอบตัวตนเข้าจอดเทียบ จู่ ๆ ฟ้าหลัวกลับปิดฉับพยับเมฆฝนทะมึนมืด ...ราวกับเกิดอาเพศ... เสียงลมอึงอื้อพัดกระโชก ดร.สำลีหรือด็อกเตอร์ครกของคนใกล้ชิดพยักหน้าน้อย ๆ เมื่อสารถีในเครื่องแบบราชปะเเตนลงจากรถทำความเคารพแล้วเดินลิ่วไปยกกระเป๋าเดินทางใบย่อมพลางเงยมองหน้าผู้โดยสารกิตติมศักดิ์ ทั้งที่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้รับเกียรติให้บริการบุคลคลสำคัญท่านนี้ แต่ให้ฉงนใจทุกครั้งที่เห็นความสมถะไปกันได้ราบรื่นดีกับเกียรติยศชื่อเสียง รางวัลพิเศษสิ่งเดียวที่นักวิทยาศาสตร์ผู้กำอนาคตของมวลมนุษย์ท่านนี้ยอมรับคงจะเป็น ลิมูซีนคันหรูที่ทางการจัดมารอรับส่งเขาถึงสนามบิน สารถีหนุ่มร่างใหญ่ที่ดูเหมือนจะถูกส่งตัวมาเป็นผู้คุ้มภัยให้กับด.ร สำลีไปด้วยในตัว ร่างสูงใหญ่ของสารถีอมยิ้มในสีหน้า ...ไม่งั้นท่านด็อกตกเครื่องบิน มาสายประจำ...เสียงกำชับของเจ้านายใหญ่แว่วมาในหัว การประชุมสุดยอดนักวิทยาศาสตร์ของโลกคราวก่อนที่ซิดนี่ย์ ด็อกเตอร์สำลีทำให้ผู้โดยสารคนอื่นในเที่ยวเดียวกันต้องเลื่อนการเดินทางไปถึงครึ่งวัน ...ทำงานเพลิน ...เหตุของความล่าช้าง่ายดายที่ด็อกเตอร์ไม่คิดจะแก้ตัว

ด็อกเตอร์สำลีเดินไปมาเหมือนหนูติดจั่นในห้องพักรับรองผู้โดยสารพิเศษ เป็นภาพที่ไม่คุ้นตาพนักงานต้อนรับสาว ปกติแล้วชายสูงวัยผิวดำสนิทไร้รอยด่างตัดกับสีผมขาวโพลนบริสุทธิ์ในเครื่องเเต่งกายเรียบจนเกือบจะซ่อมซ่อเมื่อเทียบกับความหรูหราของเก้าอี้นวมตัวใหญ่ที่รองรับร่างสันทัดจมลึกลงในเบาะนุ่ม ส่วนภวังค์สตินั้นคงล่องลอยไปกับตัวอักษรบนหนังสือเล่มโปรดในมือ ...เเต่ครั้งนี้ ท่านด็อกเตอร์เเสดงความกังวลใจอย่างชัดเเจ้งทั้งสีหน้าเเววตา ท่าทางงุ่นง่าน มือไขว้หลังเดินวนไปมา จ้องมองสายฝนด้านนอกตัวอาคารผ่านผนังกระจกใส สายน้ำตกหนาตาราวกับรอยตะเข็บของแผ่นฟ้าปริออก บดบังลานบินเบื้องหน้าไว้จนหมดสิ้น ด็อกเตอร์ สำลีถอนหายใจ ฝนกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตาขนาดนี้ เครื่องบินโบอิ้งของสายการบินไทยที่จะนำเขาเหินฟ้าสู่กรุงปารีสเพื่อเข้าร่วมประชุมกับเพื่อนนักวิทยาศาตร์ชาติอื่นคงต้องเลื่อนออกกำหนดการบินออกไปเสียเเล้ว ท่านด็อกเตอร์ได้เเต่พึมพำภาวนาให้เมขลาและรามสูรหมดอารมณ์ เลิกเล่นเอาล่อเอาเถิดบนเล่าเต๊งเสียที ใบหน้าย่นยับยิ่งกว่าเดิมด้วยความเคร่งเครียด หันมองกระเป๋าเอกสาร ...ความลับของกองทัพไทย ...ที่เขาจะต้องนำไปเปิดเผยกับรัฐบาลต่างชาติเพื่อหาปัจจัยสนับสนุน

สังหรณ์ประหลาดพุ่งเข้าในจิตเหนือสำนึกของนักวิทยาศาสตร์ชื่อก้อง เขางุ่นง่านห่วงหน้าพะวงหลัง เดินไปเดินมา หนังตากระตุกยึกยังไม่หนำ ด็อกเตอร์ครกเบี่ยงตัวให้บั้นท้ายลับสายตาที่ตามจับทุกย่างก้าวของพนักงานต้อนรับสาว ...แก้มก้นฝั่งซ้ายของเขากระตุกยึกราวกับมีมือล่องหนคอยหนีบเหน็บ...ลางร้าย ?... พลังลมปราณทั่วร่างของดร.ครกขมวดเกลียวพุ่งพล่าน และหยุดนิ่งตรงกลางลำตัว หน้าดำแปรสีเป็นเขียวคล้ำด้วยความเจ็บปวดมุ่นมวนในช่องท้องแลค่อย ๆ เคลื่อนลงเบื้องล่าง...หายนะ...ท่านดร.คำรามในใจ ก่อนจะปลดปล่อยสาเหตุแห่งหายนะที่ว่านั้นอย่างเชื่องช้า นุ่มนวล ไม่ให้เเตกตื่น

“ท่านจะไปห้องน้ำไหมคะ” พนักงานสาวย่องกริบมาทางด้านหลังทำสีหน้าพิลึก เมื่อต้องผจญกับหายนะระดับชาติที่อวลอบ

“ไม่เป็นไร ผมเอาอยู่ ...ขอโทรศัพท์ให้ผมหน่อยได้ไหม ผมจะโทรหาลูกสาว” ดร.ตอบเสียงเรียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พนักงานรีบส่งสิ่งที่ถูกเรียกหาให้ทันทีเมื่อเห็นดวงตาโรยแสงฉายแววกังวลบนใบหน้าของท่าน

“ขอบใจมากนะหนู” ดร สำลีพึมพำ รอให้พนักงานสาวถอยห่างไปได้ระยะเสียก่อนจึงกดเลขหมายที่ต้องการติดต่อ

“ยิหวา ...” คิ่วมุ่นคลายตัวลงบ้างเมื่อเสียงนุ่มเอ่ยชื่อคนปลายสาย ชื่อที่ทำให้ความเครียด มุ่นหมกในหัวของด็อกเตอร์ครกล่องหนไปได้ทันตาเห็น


วันศุกร์ เดือน ๓ แรม ๔ ค่ำ ปีมะเส็ง พุทธศักราช ๒๓๒๘

พระวรกายสูงสง่า พระพักตร์เข้มคร้ามตั้งตรงเเน่วบนพระอังสะผึ่งผาย ใต้เครื่องทรงนักรบหนุนส่งพระบารมีให้น่าเกรงขามยิ่งนัก พระสุรเสียงกังวานก้องในหัวใจทวยทหารหาญที่หมอบราบประณมเกล้าหน้าพระพักตร์

“ พวกเจ้าเป็นไพร่หลวง ส่วนข้าเป็นเจ้าราชวงศ์ แต่เรานั้นต่างก็เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือเราเป็นคนไทย ดั่งนั้นแล้วเราจึ่งเป็นเจ้าของแผ่นดินเหมือนกัน การรบในวันนี้ เราจะแสดงให้ผู้รุกรานเห็นว่าเราหวงแหนแผ่นดินแค่ไหน รบวันนี้ เราจะไม่กลับมาค่ายนี้อีก จนกว่าจะขับไล่ศัตรูไปพ้นแผ่นดินเขตขัณฑ์ ข้าจะไม่ขอให้พวกเจ้ารบเพื่อใคร ไม่ได้รบให้พี่ชายเรา ไม่ได้รบให้เรา นอกจากรบเพื่อแผ่นดินของพวกเจ้าเอง แผ่นดินผืนเดียวที่เจ้าจะมอบให้ลูกหลานของเจ้าได้อยู่อาศัยอย่างเป็นสุขสืบไป”


เสียงโห่ร้องก้องกึกรับพระกระเเสรับสั่งสมเด็จวังหน้าพญาเสือ ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายหลายห่าใหญ่ องค์จอมทัพชูพระเเสงดาบสูงชี้ขึ้นยอดฟ้าพยับเมฆเป็นสัญญาณ ก่อนจะตวัดพระพาหาเกิดเสียงขวับเขวี้ยว พระเเสงดาบเปล่งประกายวิวับรับกับเเสงวาบจัดจ้าจากสวรรค์ เสียงครั่นครืนอสุนีบาตกัมปนาทลั่น ขานรับคำประกาศกล้า คลื่นมนุษย์เรือนหมื่นถาโถมโจนทะยานหาญฮึก เสียงกลองศึกตีตุมๆปลุกขวัญทหารให้พุ่งปราดไปด้านหน้า ติดตามจอมเอกทัพเจ้าฟ้าบุกตะลุยไปยังค่ายปัจจามิตรเบื้องหน้าอย่างไม่หวาดหวั่น แม้จักต้องพลีชีพเป็นผีเฝ้าท้องทุ่งลาดหญ้าเชิงเขาบรรทัดเเห่งนี้


นายกองหนุ่มฉกรรจ์วิ่งนำหน้าไพร่พลทหารเลว ทะลวงฟันเหล่าข้าศึกชาวพุกามเป็นสามารถ แหวกทางเป็นช่องกว้างให้สมุนมือขวาคู่ใจนำไพร่ทหาร ลากพะองหลายลำเข้าประชิดหอรบของฝ่ายอริราช

“อ้ายหนุน เอ็งจงยึดพะองให้มั่น ข้าจักปีนขึ้นตีค่ายพวกอังวะให้รู้ฝีมือขุนทหารแห่งพญาเสือวังหน้าเสียบ้าง”

นายกองหนุ่มเคียนผ้าคาดพุงกระชับเข้า เงยหน้ามองความสูงของกำแพงหอรบที่สร้างด้วยไม้ไผ่เช่นเดียวกับบันไดที่ทาบชิด ฝนเทจั้กๆราวกับฟ้ารั่ว ลมกระโชกดังหวีดหวิวแซมเสียงกรีดโหยหวนของขุนทหารทั้งสองฝ่ายที่ทอดร่างด่าวดิ้น ให้สายน้ำฟ้าชะโชกเอาคราบโลหิตจากบาดเเผลเหวอะหวะ ชะโลมผืนพสุธาทุ่งลาดหญ้าจนแดงฉาน

“ให้กระผมขึ้นเองเถิดขอรับ” สมุนเอกขันอาสาแทนนาย เกรงว่าฉวยพลาดไปเสียท่าแก่ศัตรู ทหารเลวทั้งหลายจักเสียกำลังใจมิใคร่จะสู้รบ ดั่งมังกรไร้หัว

“เช่นนั้นมิได้ดอกอ้ายหนุนเหย เราเป็นนายจักต้องเป็นผู้นำลูกน้อง” นายกองทแกล้วกล้ายกดาบขึ้นคาบ ลูบอกเบื้องซ้ายหลับตาพริ้ม ใบหน้าคร้ามน่าเกรงขามเเลดูอ่อนโยนขึ้นในบัดดล ขยับยกเท้าขึ้นเหยียบถนัดบนกิ่งไผ่ แต่แล้วกลับหยุดยั้งชั่วอึดใจ

“อ้ายหนุน”

“ขอรับ”

“มาดว่าข้ามิได้กลับลงมาเปิดประตูค่ายต้อนรับพวกเอ็งทั้งหลาย จงบอกข่าวกับเเม่หญิง ว่าข้ามั่นต่อนางจนลมหายใจสุดท้าย ชีวิตมอบแก่แผ่นดินสยาม ส่วนหัวใจข้านั้น มีเพียงแม่หญิง ...เจ้าจักทำเพื่อข้าได้ไหม” ขุนททหารกำชับคำก่อนจะป่ายปีนขึ้นบนพะองอย่างคล่องแคล่ว มุ่งสู่ยอดค่ายหอรบ

อ้ายหนุนสมุนซื่อใช้น้ำหนักตัวโถมเข้ายึดโคนไม้ไผ่เป็นเเม่นมั่น มือหนึ่งถือดาบกวัดแกว่งกางกันมิให้ใครหน้าไหนมากรายใกล้ แหงนมองนายหนุ่มที่เหนือหัวเป็นระยะ นายกองหนุ่มไต่เดี๊ยะจวนถึงปลายพะองรอมร่อ ปากที่คาบดาบเหล็กกล้าหนักอึ้งสั่นระริก ฉับพลันสายฟ้าฟาดเปรี้ยง ฉีกผืนพโยมเป็นหลายแฉก ปลายหางตาของขุนทหารแลเห็นแสงวิบจัดจ้าตกต้องปลายดาบคมกริบ ติดตามมาด้วยเสียงครื้นครั่นกึกก้อง ขุนทหารยักหงายมือไขว่ขวักไปในเวิ้งว่างเปล่า หาได้ยึดเอายอดหอรบไว้ดังที่เข้าใจไม่ นายกองหนุ่มคายดาบกำไว้ในมือแม่นมั่น อีกมือหนึ่งอ้อมโอบลำพะองเรียวอ่อนไหวโยกเยกกลางอากาศ ประกับมือลงบนอกซ้ายหนักแน่น

...แม่หญิงของกระผม...

สมุนหน้าซื่อเห็นนายหนุ่มส่ายสะบัดไปมาที่ปลายเสา ผ้าเคียนเอวสีแดงสดพลิ้วไสวเด่นหราในความมืดราวกับอีลุ้มล้อลมว่าว มือที่กำกระบอกไม้ไผ่เริ่มราเเรง ทนายหนุนกัดฟันประคองนายเอาไว้จนสุดชีวิต พยายามจะโถมไปทางหอรบให้นายได้ตะกายฝาไว้สักหน่อยก็เหลวเสีย เสียงครื้นครั่นดังลั่นมาอีกครั้งกลบเสียงกรีดก้องจากปากสมุนซื่อเมื่อเห็นนายตัวติดปลายไม้ไผ่หายวับไปในพยับเมฆ

“จมื่น ...”

ทนายหนุนแหกปาก มือยึดปลายพะองไว้เเม่นมั่นตามคำสั่งของนาย


ป๊าหรือคะ ...ป๊าอยู่ไหนคะนี่

“ป๊า อยู่ที่สุวรรณภูมิแล้วหละลูก ยิหวาล่ะ ถึงไหนแล้วใกล้จะถึงบ้านรึยัง ป๊าห่วง...”

“ป๊าไม่ต้องห่วงหวาหรอกค่ะ หวาโตแล้วนะคะ”เสียงบุตรีราวจะปลอบจนผู้บิดาต้องรีบแก้ความเข้าใจเสียใหม่

“เปล่า... ป๊าไม่ห่วงยิหวาหรอกลูก แต่ป๊าห่วง...”

“ป๊าห่วงเจ้าขอมอีกแล้วสิ ป๊า... พรุ่งนี้นะคะ ยิหวาสัญญาว่าจะถึงบ้านแต่เช้าเลยค่ะ เเต่คืนนี้ยิหวามีงานสำคัญจริง ๆ พรุ่งนี้นะคะป๊า สัญญาว่าจะทุ่มเทให้นายขอมของป๊าเต็มที่ค่ะ ...จุ๊ฟนะคะ”

ยวนยิหวาจุมพิตโทรศัพท์ราวกับเป็นแก้มตอบของดร.ครกผู้บิดา ก่อนจะส่งมือให้ชายหนุ่มรูปงามก้าวเข้ามาชิดด้วยท่าสะโอดสะอง แล้วโอบตระกองแน่งน้อยเข้าสู่สถานเริงรมย์ยามราตรีของคนหนุ่มสาว


บึ้ม ...ครืน...เปรี้ยง...

เพียงก้าวเเรกที่เหยียบย่างเข้าไปในห้องมืดมิด หญิงสาวสะดุ้งจนสุดตัวในอ้อมแขนของแฟนหนุ่ม แสงสว่างจ้าราวกับสายฟ้าฟาดและเสียงกระหึ่มของเครื่องดนตรีอิเล็คโทรนิกดังลั่นจนแก้วหูสั่นสะเทือน ราวกับอสุนีบาตจากสรวงสวรรค์


ดร.ครกกดปิดโทรศัพท์แล้วสะดุ้งสุดตัวกับเเสงสว่างเเจ้งราวกับกลางวัน แยกฟ้าพยับฝนเป็นหลายเสี้ยวแล้วติดตามด้วยเสียงเปรี้ยงปร้างคะนองคึกจนอาคารพักผู้โดยสั่นไหวเหมือนโดนจับเขย่า และแล้วปรากฎการประหลาดทั้งมวลก็นิ่งสนิท สายฝนขาดเม็ดราวกับปลิดทิ้ง ฟ้ากระจ่างวิบวับด้วยเเสงดาวพราวพร่าง

.........................................................................

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว