“ข้าขอเตือน หายนะ ความวิบัติกำลังจะมาเยือนเจ้าในไม่ช้านี้ และมันไม่มีทางหลีกเลี่ยง…”
นายพลซื่อชางสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อเสียงกังวานสุดท้ายดังขึ้น เหงื่อชุ่มเต็มแผ่นหลัง หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ขนลุกเกรียวทั้งแขนและขา
“มันคืออะไรกัน…”
นายพลผู้ยิ่งใหญ่เฝ้าบอกกับตัวเองว่า ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นศึกสงครามน้อยใหญ่ เพียงไร ก็ไม่เคยสร้างความตื่นตระหนกเช่นนี้มาก่อนเลย
เป็นความกลัวที่เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล ร่างสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจบังคับได้
บอกไปจะมีใครเชื่อ เพราะความกลัวที่ว่ามันเกิดขึ้นในความฝันเท่านั้น
หลายเดือนที่ผ่านมา นายพลซื่อชางตกอยู่ในห้วงความรู้สึกที่ประหลาด เมื่อเขาฝันเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง หน้าขาวใส คิ้วดกดำ หน้าผากกว้าง
แต่สิ่งแปลกประหลาดในตัวของเด็กหนุ่มคือ ดวงตาสีฟ้าสุกสกาว และผมยาวสลวยอันเปล่งประกายดุจดั่งริ้วทองคำ
เด็กหนุ่มสวมเสื้อและกางเกงสีเทา นำพาท่านนายพลท่องไปในแผ่นดินที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ดินแดนนั้นงดงามราวกับอาณาจักรในฝัน
เด็กหนุ่มเดินนำนายพลไปถึงปราสาทแห่งหนึ่ง ที่วิจิตรสวยงามราวกับสวรรค์ชั้นฟ้า และมีชายชราร่างผอมสูง มีหนวดเคราสีดอกเลาผู้หนึ่งยืนอยู่อย่างเดียวดาย
ชายชราแนะนำตัวเองว่า เป็นผู้หยั่งรู้ดินฟ้าแห่งอาณาจักรนี้
“ความหายนะกำลังจะมาเยือนท่าน…นายพลซื่อชาง”
นั่นแหละ คำทำนายของผู้เฒ่าที่กล่าวกับผู้ยิ่งใหญ่แห่งกองทัพอัศวินดำ
บางคืน ในความฝันนั้น ท่านนายพลจะเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นนั่งสมาธิ หลับตาลง มือวางไว้บนตักสองข้าง ไม่ช้าสิ่งประหลาดก็บังเกิดขึ้น
แสงสีขาวแผ่รัศมีมาจากเด็กหนุ่มผมสีทองผู้นั้น แผ่กระจายวนเวียนอยู่รอบตัวของท่านนายพล ไม่ช้าแสงที่โอบล้อมอยู่รอบตัว ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
นายพลซื่อชางรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก มีแรงกดดันมหาศาลโถมทับลงมาราวกับว่าลมหายใจจะขาดห้วงไป ณ วินาที นั้น
ช่วยด้วย…
ท่านนายพลตะโกนออกไปและรู้สึกแปลกใจกับเสียงร้องของตัวเอง ผู้ยิ่งใหญ่เยี่ยงเขากำลังร้องขอความช่วยเหลือ มันเป็นไปได้อย่างไร
พอฝันถึงตรงนี้ทีไร นายพลซื่อชางจะสะดุ้งตื่นขึ้นมา พร้อมกับเหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นที่ขมับสองข้าง ริมฝีปากสั่นระริก หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ
หลังผ่านความฝันครั้งแรก ก็คิดว่าเป็นเพียงความฝันลม ๆ แล้งๆ หาความจริงไม่ได้เลย
แต่เกือบทุกครั้งเมื่อนอนหลับ ต้องฝันเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ สลับกับการปรากฎตัวของผู้เฒ่าแห่งอาณาจักรความฝันอยู่เป็นครั้งคราว
และทุกครั้งจะจบลงด้วยคำทำนายที่ว่า นายพลซื่อชางไม่มีทางหลีกเลี่ยงชะตากรรมในครั้งนี้ได้
เด็กหนุ่มกลายเป็นฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนนายพลผู้ยิ่งใหญ่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จนเขาไม่มีความสุข สภาพจิตใจอ่อนแอลงไปจากเดิมเป็นอันมาก ตกอยู่ในห้วงความรู้สึกที่จับต้นชนปลายไม่ถูก มันเป็นแค่ความฝัน หรือว่าเป็นความจริงกันแน่
ถ้ามันเป็นเพียงแค่ความฝัน ก็น่าจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเหมือนความฝันทั่วไป ไม่ใช่หรือ
มีทางเดียวเท่านั้น…
“ต้องตามหาเด็กชายผู้มีผมสีทองและดวงตาสีฟ้าให้เจอ…” นายพลซื่อชางบอกกับตัวเอง
“หวูไว่…เป็นเจ้าแน่ ๆ”
เด็กหนุ่มร่างอ้วนทำจมูกฟุดฟิดไปมาและพูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง เด็กหนุ่มนั่งอยู่บนพื้นหญ้า มีต้นไม้ใหญ่บดบังแสงแดดตอนบ่ายไม่ให้ร้อนจนเกินไปนัก ขณะนี้ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกโต คิ้วขมวด แสดงถึงอารมณ์อันฉุนเฉียว
ข้างเด็กหนุ่มร่างอ้วน มีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันยืนอยู่ เป็นเด็กหนุ่มร่างผอมสูง ใบหน้าเรียวยาว จมูกยาวแหลม กำลังเอามือท้าวสะเอวอย่างไม่สบอารมณ์ ดวงตาเพ่งมองไปในทิศเดียวกับหนุ่มร่างท้วม
เด็กหนุ่มคนอีกหนึ่งนอนราบไปกับผืนหญ้า ร่างนั้นนอนนิ่ง ไม่ไหวติง มีเพียงเสียงหายใจเข้าออกที่บ่งบอกว่าร่างนั้นยังมีชีวิตอยู่ และที่น่าแปลกก็คือ ผีเสื้อแสนสวยกำลังบินตอมใบหน้านั้น ราวกับดอมดมดอกไม้อยู่ก็ไม่ปาน
“เจ้าตัวแสบรับสารภาพมาเสียดีๆ…” เด็กหนุ่มร่างผอมพูดกับร่างที่ไม่ไหวติงด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“หืม…” เสียงอู้อี้จากร่างนั้นดังขึ้นเบา ๆ
“เจ้าบ้าเอ๊ย…ไม่รู้เลยหรือไงว่ากลิ่นตัวเจ้านะมันแย่มาก มันเหม็นเขียว” คราวนี้เด็กหนุ่มร่างท้วมพูดเสริมพร้อมกับเอามือปิดจมูกโดยเร็ว
ร่างนั้นขยับตัวขึ้นอย่างช้า ๆ ผีเสื้อบนจมูกบินว่อนหนีไปแล้ว แต่มีนกน้อยตัวหนึ่งโฉบเข้ามาเกาะอยู่ที่ไหล่ด้านขวา ผมยาวของร่างนั้นดูยุ่งเหยิง แก้มขวามีคราบจากดินเกาะติด หากแต่ถ้าได้ล้างคราบจากใบหน้านั้นแล้ว ดวงหน้ารียาวรูปไข่ก็ดูมีเสน่ห์ไม่เบา
เด็กหนุ่มหยัดร่างของตัวเองขึ้น เคลื่อนไหวตัวเองอย่างช้า ๆ ก่อนจะหันมามองเพื่อนทั้งสองคนอย่างเต็มตา พร้อมกันนั้นมีรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฎขึ้นที่ริมฝีปาก รูปร่างของเด็กหนุ่มไม่สูงนัก แข้งขาดูเก้งก้าง บอบบาง
“ทำไมละเรียว อากิด้วย เจ้าไม่ชอบกลิ่นตัวของข้าหรือไง” เด็กหนุ่มชื่อหวูไว่ตอบเสียงซื่อ และยกแขนสองทาบเข้ากับจมูก เหมือนอยากพิสูจน์กลิ่นกายภายในตัว
“ข้าไม่เห็นจะเหม็นเลย…หอมละซิไม่ว่า” เด็กหนุ่มพูดและอ้าแขนวิ่งร่าเข้ามาหาเพื่อนทั้งสองคนอย่างนึกสนุก
“โอ๊ย…ไม่เอา ไอ้เพื่อนบ้า” เรียว และ อากิ ตะโกนเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน และพากันถอยกรูด ก่อนจะไปยืนหลบหลังต้นไม้ใหญ่อย่างนึกระแวง
“แล้วดูเจ้าซิ รองเท้าก็ไม่ใส่ด้วย แหวะ” อากิ เด็กหนุ่มร่างอ้วนยื่นหน้าตะโกนออกมาจากหลังต้นไม้
“แฮ่…เพลินไปหน่อยนะ” หวูไว่ว่า พร้อมกับสอดสายตามองหารองเท้าของตัวเอง ซึ่งดูเหมือนจะถอดวางไว้ตรงพุ่มไม้ไกล้ ๆ
“พวกเจ้าสองคนนี่ก็แปลก ข้าไม่ได้ไปนอนคลุกของเหม็นมา มันแค่เป็นกลิ่นของต้นไม้ ใบหญ้า แล้วก็กลิ่นเกสรดอกไม้เท่านั้นเอง”
การเที่ยวเดินตะลอนตามท้องทุ่งใกล้หมู่บ้าน เป็นสิ่งที่หวูไว่โปรดปรานมากเป็นพิเศษ เขามีความสุขเสมอยามได้เห็นความเขียวชะอุ่มของต้นไม้ ได้แช่ร่างอยู่ในลำธาร มองฝูงนกน้อยบินไปมาอยู่บนท้องฟ้า
หรือบางทีก็นึกครึ้มก็ตะโกนร้องเพลงออกมาอย่างสบายอารมณ์
ความจริงแล้ว เจ้าเพื่อนทั้งสองคนนั้นก็รู้ดีและรู้ดีมาตลอด เพราะหวูไว่ชอบทำอย่างนี้มาตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ จนตอนนี้อายุย่างเข้าสิบเจ็ดแล้ว ก็ยังชอบเดินป่า คลุกตัว เกลือกกลิ้ง อยู่ในทุ่งหญ้า ป่าเขาเหมือนเดิม
“นี่…หวูไว่” คราวนี้เป็นเจ้าโย่ง-เรียว ที่ยื่นหน้าออกมาจากหลังต้นไม้บ้าง
“เจ้าว่าเราสองคนแปลกนักเหรอ แต่ลองคิดให้ดีซิ ในโลกนี้จะมีใครแปลกไปกว่าเจ้าอีกล่ะ…”
“ไม่มีหรอกมั้ง” อากิ เสริม
“ข้าเหรอ” หวูไว่ เอานิ้วชี้หน้าตัวเอง
เรียวค่อยๆเดินออกมาจากหลังต้นไม้ ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนกล่าวออกมาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
“ลองดูสีผมของเจ้าซิ มีเด็กคนไหนที่มีผมสีทองเหมือนเจ้าบ้าง”
“จริงด้วย” อากิ ว่าและพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นตาม และมายืนเกาะบ่าของเรียว
“แล้วลูกตาเจ้าด้วย ไม่เห็นเหรอไงว่ามันมีสีฟ้า ไม่ใช่สีดำเหมือนพวกเรานะเฟ้ย”
ปล่อยมุขจบแล้ว เด็กหนุ่มอ้วนกับผอมก็แหงนหน้าขึ้นฟ้า ส่งเสียงหัวร่อดังลั่นทุ่ง
หวูไว่จะทำอะไรได้อีกเล่า นอกจากหัวเราะแห้ง ๆ แล้วเอามือลูบผมสีทองของตัวเองไปมา
ค่ำวันนั้น หวูไว่กลับไปนอนคิดเรื่องผมสีทอง และดวงตาสีฟ้าของตัวเองอยู่คนเดียว เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่า ทำไมตัวเองถึงได้เกิดมามีรูปลักษณ์ที่ผิดแผกกับคนอื่นเช่นนี้
พูดตามจริง เขาก็ไม่ค่อยรู้จักเรื่องราวของตัวเองมากนักหรอก
หมู่บ้านที่เขาอยู่ ชื่อหมู่บ้านเซียงอู่ เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ห่างไกลความเจริญ ผู้คนในหมู่บ้านรู้จักกันเป็นอย่างดี ดูแลกันเหมือนพี่น้อง ญาติมิตร ทุกคนใช้ชีวิตเรียบง่าย มีอาชีพทำการเกษตร ทำนา เป็นอาชีพหลัก แม้มีรายได้ไม่มากนักแต่ก็ไม่ถือว่าขาดแคลน อยู่กันอย่างมีความสุขตามอัตภาพ
ชีวิตของผู้คนที่นี่ไม่เร่งรีบ แต่ก็มีชีวิตชีวา และยังมึความคึกครื้นเกือบทุกสัปดาห์ เพราะทุกคนในหมู่บ้านชอบเสียงเพลง รักการเต้นรำ
ใกล้กับหมู่บ้านมีทุ่งหญ้าผืนใหญ่ให้นอนเกลือกกลิ้งได้ทั้งวันทั้งคืน และยังมีแอ่งน้ำใส ที่หวูไว่ชอบไปนอนเอ้อระเหยอยู่บนเปลที่ผูกโยงไว้กับต้นไม้ใหญ่อันแสนจะร่มเย็นอยู่เสมอ
แล้วต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกเล่า เด็กหนุ่มบอกกับตัวเอง
หมู่บ้านของเขา อยู่ห่างไกลจากสงครามที่รบพุ่งเพื่อแย่งชิงความเป็นหนึ่ง และดูเหมือนอาณาบริเวณใกล้เคียงกันก็ไม่มีสิ่งใดที่ควรค่าแก่การแย่งชิงแม้แต่น้อย
หวูไว่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กที่เงียบสงบ อยู่กับลุงและป้าที่โอบอ้อมอารี ใจดี ส่วนพ่อและแม่ของเขานั้นเป็นใคร เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน มีก็แต่คำบอกกล่าวของลุงที่เล่าให้ฟังว่า เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านเซียงอู่ที่สูญหายไปเมื่อครั้งมีน้ำท่วมใหญ่ หลังจากหวูไว่คลอดได้ไม่นาน
“พ่อรักแม่ของเจ้ามาก และทั้งสองรักเจ้ามากที่สุด” นี่คือประโยคที่ลุงถ่ายทอดให้เขาฟังครั้งแล้วครั้งเล่า
“แล้วพ่อ หรือ แม่ ของข้าละ ที่มีผมสีทอง แล้วก็ลูกตาสีฟ้านั่นด้วย” หวูไว่ถามคำถามนี้อยู่บ่อย ๆ
แต่คำตอบที่ได้รับก็อย่างเดิม ๆ นั่นแหละ
“อื่อ…เจ้าจะสนใจไปทำไมนักเล่า” ลุงมักจะกล่าวประโยคนี้ด้วยเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอเสมอ
“ก็ข้าอยากรู้นี่…”หวูไว่บอก
ท่านลุงจะเหลือบตามองเขาหน่อยหนึ่งก่อนจะให้คำตอบว่า
“โอ๊ย…มันนานแล้วนาหลานเอ๊ย”
“แล้วอีกอย่าง…ข้าไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องพ่อแม่เจ้านักหรอก สงสารป้าเขา” แล้วลุงก็จะพยักเพยิดไปทางป้าที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ
แล้วป้าก็จะทำตาแดง ๆ เอามือปิดหน้าร้องฮือ ๆ
“โธ่หลาน…ป้าขอเถอะนะ ป้าขอ อย่าพูดอีกเลย”
หวูไว่จึงได้แต่เงียบกริบ ไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการทราบครั้งแล้วครั้งเล่า จนคร้านที่จะถามในที่สุด
หวูไว่ไม่ใช่คนขี้สงสัย ไม่ใช่คนขี้ใจน้อย ถ้าหากจะมีเรื่องที่ทำให้ต้องผิดหวัง หรือไม่สบอารมณ์ เด็กหนุ่มเพียงแต่จะบ่นว่าโธ่เอ๊ย หลังจากนั้นก็จะเกาหัวแกรก ๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
หวูไว่แทบจะไม่เคยโกรธใคร ถึงขั้นเกลียดชังยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ จะว่าไปแล้วเขาเป็นมิตรกับทุกคนนั่นแหละ แถมใจเย็น อารมณ์ดีอีกต่างหาก
จนบางครั้งคนในหมู่บ้านบ่นว่า เขาน่ะช่างเป็นคนดีจนน่าเบื่อ และแสนจะจืดชืดเสียนี่กระไร
และเด็กหนุ่มก็พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วยทุกประการ
หากให้มองย้อนกลับไป แล้วอธิบายความเป็นตัวเอง หวูไว่ก็คงบอกว่า ชีวิตของเขานั้นไม่มีอะไรน่าจดจำนัก เพราะมันราบเรียบ ขาดสีสัน เวลาส่วนมากของเขาก็คือการนั่งเงียบๆ อ่านหนังสือ ไม่ชอบคาดหวังสิ่งใด
อ้อ..ดูจะขาดความทะเยอทะยานไปเสียหน่อยๆ ด้วย
เจ้าไม่มีความฝันอะไรกับเขาบ้างหรือไงนะ เป็นคำถามที่หวูไว่เจออยู่เสมอ
“ข้าก็พอจะมีบ้างหรอก” เด็กหนุ่มตอบแบบอ้อมแอ้ม
เพราะความฝันเล็ก ๆ ของเด็กหนุ่มก็คือการอยู่เฉย ไม่ต้องการทำอะไรเลย
แต่ช้าก่อน หวูไว่ไม่ใช่จอมขี้เกียจประจำหมู่บ้านหรอกนะ ไม่ใช่เลย
แถมเป็นเด็กที่มีน้ำใจอย่างมาก
จะให้ช่วยทำอะไรล่ะ ซ่อมแซมบ้าน ช่วยดำนา ดูแลคนป่วย เขาทำได้ทั้งนั้นแหละแถมทำอย่างเต็มใจอีกด้วย
นอกเหนือจากนี้เล่า ปลูกต้นไม้ เลี้ยงหมู ทำอาหาร แล้วก็ร้องเพลง มันคือภาพของหวูไว่ซึ่งเป็นที่คุ้นเคยของคนในหมู่บ้านมาอย่างยาวนาน
แต่สำหรับเรียว และ อากิ เพื่อนรักทั้งสองคนกลับคิดต่างออกไป เพราะทั้งสองคนนั่นมองว่าอะไรทั้งหลายแหล่ที่เด็กหนุ่มทุ่มเททำลงไป ไม่เห็นจะเกิดประโยชน์แก่ตัวเองสักเท่าใดนัก
พอได้ยินอย่างนั้น หวูไว่ก็จะยิ้ม ไม่ตอบรับและปฎิเสธ เพราะเขารู้ว่าตัวเองพอใจที่ได้ทำอย่างนั้น
เรียว และ อากิ ทำนายทายทักว่า หวูไว่คงจะมีชีวิตเช่นนี้ไปจนตายนั่นแหละ
“แล้วต้องการอะไรมากไปกว่านี้อีกเล่า” เด็กหนุ่มบอก
อากิก็จะพูดว่า “นี่หวูไว่ จอมซื่อบื้อ เจ้าไม่คิดว่าชีวิตเยี่ยงนี้ออกจะขาดรสชาติไปหน่อยหรอกหรือ”
แล้วเรียวก็จะเป็นลูกคู่พูดตามออกมาว่า
“นี่…เจ้าเพื่อนบ้า พวกเราอายุ 17 กันแล้วนะ แต่ไม่เคยไปไหนนอกหมู่บ้านเลย ไม่รู้จักผู้หญิงหมู่บ้านอื่น ไม่เคยแม้แต่จะจับดาบฆ่าหมูป่าสักตัวเลย เราจะต้องใช้ชีวิตเช่นนี้ไปจนตายเลยหรือไง”
สิ่งที่หวูไว่บอกกับเพื่อนก็คือเสียงหัวเราะเบา ๆ
“จะหาความสุขไม่ได้จนกว่าจะหยุดหา”
สิ้นเสียงพูด เพื่อนทั้งสองคนก็จะพร้อมใจกันหัวเราะเสียงสนั่นหวั่นไหว
“อีกแล้ว เจ้าพูดอย่างนี้อีกแล้ว น่าเบื่อเสียจริง ๆ และข้ารู้ว่าเจ้าลอกเลียนคำพูดของลุงเจ้ามาใช่มั้ยเล่า”
หวูไว่ได้แต่พยักหน้า มันเป็นคำสอนของลุงจริง ๆ เป็นคำสอนที่ดูจะมีความหมายแฝงเร้นบางอย่าง
แต่เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดไม่รู้ว่ามันมีความหมายลึกซึ้งอะไรบ้าง เหมือนหลายสิ่งหลายอย่างที่ลุงและป้าพร่ำสอนเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
“สักวันเจ้าจะเข้าใจเองนั่นแหละ หวูไว่เอ๊ย” ป้าบอก
สิ่งที่หวูไว่ชื่นชอบอีกอย่างก็คือ การเดินชมพระอาทิตย์ดวงโตลับขอบฟ้าในยามพลบค่ำร่วมกับลุง
เป็นช่วงเวลาที่ท่านลุงจะพูดถึงคำสอนแปลก ๆ ให้เขาฟัง ทั้งรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง
อาทิเช่น
“อะไรคือกฎของดอกไม้ อธิบายให้ลุงฟังซิ หวูไว่”
“มันคือการกำเนิด เบ่งบาน แล้วก็เหี่ยวเฉา”
“แล้วความหมายของมันล่ะ…”
เด็กหนุ่มเกาหัวแกรก ๆ
“มันคือกฎแห่งชีวิตที่เกิดมาแล้วก็ดับไป”
ลุงจะหัวเราะอย่างพออกพอใจ
“ใช่แล้ว ชีวิตคือการเกิดและแตกดับ มันเป็นความเที่ยงแท้ในธรรมชาติ เป็นสิ่งที่มนุษย์เราพยายามหลีกหนี ต่อต้าน แต่ความจริงก็คือ ไม่มีใครหลีกหนีความตายได้”
หวูไว่อึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะเหลือบตามองไปที่ดอกไม้สองข้างทาง บางดอกเล็ก บางดอกเล็กใหญ่ บางดอกก็เบ่งบาน และบางดอกก็เหี่ยวเฉา โรยรา
“เราควรจะทำยังไงดี ไอ้ชีวิตเนี่ย” หวูไว่พูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง
ลุงยิ้มขัน ๆ
“เจ้าจะต้องเรียนรู้ที่จะมีสติ รู้จักปล่อยวาง ทำจิตให้เป็นอิสระ”
ถึงพอจะรู้ความหมายที่ลุงพร่ำสอนอยู่บ้าง แต่เขาก็ต้องใช้เวลาขบคิดอยู่นานกว่าจะเข้าใจได้ และบางทีก็ไม่รู้ความหมายอะไรเหล่านั้นเลย
“ทำไมท่านลุงถึงได้รู้อะไรเยอะแยะอย่างนี้” หวูไว่ถามดื้อ ๆ ขึ้นมา
“มันไม่ใช่สิ่งที่ลุงรู้มาตั้งแต่กำเนิดหรอก หลานเอ๊ย ลุงเรียนรู้เอาจากธรรมชาติรอบตัวนะ”
“แล้วก็เอ่อ…บางอย่างลุงก็รับรู้จากคนอื่นอีกทอดนึงน่ะ”
“ใครกันครับท่านลุง ใครกัน”
ลุงจะนิ่งไปชั่วขณะ เหมือนใคร่ครวญคำตอบที่จะบอกกับหลานชาย
“เจ้าไม่รู้จักหรอก แต่วันหนึ่งข้างหน้าถ้าโชคดีเจ้าน่าจะมีโอกาสได้พบกับท่าน”
ท่านเหรอ หวูไว่ไม่ค่อยเห็นลุงเรียกใครว่าท่านบ่อยนัก ใครกันหนอที่ท่านลุงให้ความเคารพนบนอบถึงปานนั้น
แต่ในไม่ช้า เมื่อลุงพาหวูไว่เดินขึ้นมาถึงชะง่อนผาเพื่อรอชมพระอาทิตย์ตก บทสนทนาก็มักจะจบลงดื้อ ๆ ช่วงเวลานั้นสองลุงหลานจะนั่งลงเงียบ ๆ เฝ้ามองตะวันตกดินด้วยหัวใจอันอิ่มเอิบ
เป็นความสุขที่หวูไว่ไม่อาจอธิบายความรู้สึกได้