ในกาลนั้นข่าวสวรรค์คตของพระมเหสีอมราเทวีแห่งสุริยาปุระแคว้นใกล้เมืองเคียงที่อยู่ทางใต้ตอนล่าง และมีการพาดพิงถึงจันทรานครา เป็นเวลาไล่เลี่ยกับที่นคเรศราชันย์แต่งตั้งพระสนมองค์ใหม่ ทำให้พระนางศศิธราเกิดน้อยพระทัยจนต้องแปรพระราชฐานยังตำหนักหินขาว
ช่วงนั้นเองที่ใครบางคนคิดเหิมเกริมก่อกบฏชิงบัลลังก์จากองค์นคเรศราชันย์ หากองค์นคเรศราชันย์ทรงทันเล่ห์ส่งคนจับตาอย่างลับๆจึงมิได้เสียที สามารถใช้แผนซ้อนแผนล่อกบฏมาติดกับแล้วตลบหลังสังหารกลุ่มกบฏทิ้งไม่เหลือแม้แต่คน หารู้ไม่ว่าพวกนั้นมิได้หมายปองเพียงบัลลังก์อย่างเดียว ยังมีกลุ่มหนึ่งมุ่งต้องการครอบครองมณีจันทราอันเป็นสมบัติแห่งองค์พระมเหสีศศิธราเทวี พวกนั้นลอบเข้าช่วงชิงมณีจันทราพร้อมสังหารพระมเหสี และพระธิดาองค์น้อยก็หายสาบสูญไป องค์นคเรศราชันย์เสียพระทัยอย่างมาก หากภายหลังก็แต่งตั้งพระมเหสีพระองค์ใหม่ซึ่งให้กำเนิดพระธิดาองค์น้อยผู้มีสิริโฉมงดงามเพียงจันทร์เพ็ญ
“จนเป็นที่มาแห่งพระนามสิริมณีจันทรากานต์ผู้เลอโฉมมมมมมม”
เสียงขนานพระนามยานคางดังจากร่างบนเปลไหวที่มีหนังสือปิดหน้ากว่าครึ่ง ก่อนหนังสือจะถูกมือเจ้าตัวเองดึงออกด้วยจะเบ้ปากจำนรรจา
“รู้แล้วรู้แล้ว ท่านสอนข้าหลายรอบจนข้าท่องจำได้ขึ้นสมองแทบจะหมดทุกตัวอักษร แล้วท่านก็จะเล่าเหมือนเดิมว่าหลังจากนั้นพระมารดาแห่งองค์หญิงน้อยก็สิ้นพระชนม์ นับแต่นั้นองค์นคเรศราชันย์ก็มิได้แต่งตั้งผู้ใดเป็นมเหสีอีกเลย”
“มันเป็นเรื่องสำคัญที่เจ้าและชาวเมืองจันทราทุกคนต้องรู้” ชายชราผมขาวเคราเถียงคอเป็นเอ็น ร่างผอมแลคล้ายผู้บำเพ็ญเพียรต่างเพียงต่างกันที่ฝ่ายนี้มิได้นุ่มโจงห่มสไบหากเพียงอยู่ในเสื้อกางเกงผ้าฝ้ายสีเปลือกไม้เนื้อนิ่มก็เท่านั้น
“แต่เรื่องนี้ข้าฟังจนหูปรุแล้วนี่ท่านตา ท่านมิมีเรื่องอื่นที่มันน่าอภิรมย์ไปกว่าประวัติศาสตร์ราชวงศ์แล้วหรือ เช่นความลับวังต้องห้าม โอ๊ย”
ข้อมือแหลมแข็งเขกลงบนหน้าผากนวลนูนเกลี้ยงเกลาของเจ้าร่างน้อย จนปากจิ้มลิ้มเปิดร้องดังลั่น หากทำได้เพียงส่งตาเขียวๆไปยัง ‘อาจารย์’ของเธอ
“เจ้านะ วันๆเอาแต่เล่นเรื่อยเปื่อย ทำตัวซุกซนเป็นสัตว์ป่าโผล่ตรงโน้นทีตรงนั้นที จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เฮ้อข้าล่ะหนักใจจริงๆ”
“ไม่ทันเสียที่ไหนล่ะ ต่อให้ซุกซนรวดเร็วอย่างไรสุดท้ายข้าก็ถูกท่านลากมาฟังท่านบ่นตำราให้หูแฉะเสียทุกครั้งสิน่า”
“พูดแล้วยังเถียง เป็นหญิงใครสอนให้สบถแรงๆเยี่ยงนั้น”
“สบถแรงมิได้ งั้นสบถเบาๆในใจได้ใช่ไหมเจ้าข้า”
“เจ้าเด็กนี่! เดี๋ยวข้าเขก เฮ้อ คุยกับเจ้าทีไรหาประโยชน์มิได้สักกะผีก ซ้ำข้ายังต้องถอนหายใจเสียมากกว่าจนผมข้าจะหงอกหมดหัวอยู่แล้ว ไหนจะต้องวิ่งไล่จับเจ้า ไหนจะต้องตะโกนสั่งสอนเจ้า ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปข้าคงหมดปราณตายเข้าสักวัน”
“ใครบอกเยี่ยงนั้นกัน ยิ่งท่านคุยกับข้าท่านตาก็จะยิ่งแข็งแรง ส่วนผมหงอกนั่นเพราะท่านลองยาพลาดเองมิได้เกี่ยวกับข้าเสียสักนิด ส่วนที่ท่านวิ่งไล่ข้าท่านก็จะได้ออกกำลังกายไปในตัว ยิ่งท่านใช้เสียงมากเท่าไหร่เลือดลมก็จะยิ่งไหลเวียนดีเท่านั้นตามหลักตำราแพทย์ศาสตร์ของท่านมิผิดเพี้ยน อย่างนี้ยังจะว่าข้าหาประโยชน์มิได้อย่างไรกันเล่า”
“นี่แนะตำราแพทย์ศาสตร์”
“โอ๊ยยท่านตา ท่านตีข้าสองครั้งแล้วนะ”
“ก็ใครให้เจ้าทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต ไร้สาระไปวันๆ ชิรญาหัดดูอย่างรัสสะพี่ชายเจ้าเสียบ้างเป็นอย่างไร ขยันศึกษาวิชาค้นคว้าความรู้อยู่เป็นเนืองนิตย์ เช่นวันนี้ก็เอาแต่ขลุกอยู่เรือนตำรามิออกไปไหนเพราะใฝ่รู้อยากเรียน แล้วดูเจ้าสิ เฮ้อ ข้าล่ะหนักใจจริง”
ร่างแน่งน้อยอมยิ้มเจ้าเล่ห์ลี่ตามองท่านอาจารย์อย่างผู้มีชัยเหนือกว่า แก้มตุ่ยเพราะเจ้าตัวเดาะลิ้นเล่นเลียนแบบชายรุ่นในเผ่า
“ไหนว่าท่านตาหูตาแพรวพราว ข้าถูกท่านน้าต้มเสียกระมัง เพราะแม้แต่ท่านยังไม่รู้ว่าพี่ชายขี้โมโหของข้ากำลังซุ่มวางแผนทำสิ่งใด”
“เจ้าว่าอะไรนะ รัสสะทำอะไร ”
“โอ๊ย...วันนี้ข้าเมื่อยจัง พอแค่นี้ก่อนนะเจ้าคะ แนะท่านแม่มาตามแล้ว ขอตัวนะเจ้าคะ”
หนูน้อยถอนสายบัวงดงาม ก่อนแล่นปรื๋อ มาเร็วไปเร็ว นั่นคือคำขนานนามของชิรญา เด็กน้อยทิ้งไว้แต่รอยยิ้มเปิดกว้างกับท่านตาที่ทึ้งผมขาวเกือบทั้งหัว
"วันนี้วันอะไร"เสียงหวานแต่แฝงแววเย็นเยียบดังขึ้นทันทีที่นางครูดหินหยุดกายไม่ให้ไถลล้ม แววตาดุจากคนเดียวที่เด็กน้อยเกรง
"วันเพ็ง ครบสิบห้า จันทราเต็มดวงฤดูเก็บเกี่ยวปีพยัคฆ์เจ้าค่ะ"
“เจ้ารู้ แต่ก็ยังเที่ยวเล่นสนุกงั้นเหรอ”
“ท่านแม่อย่าโกรธสิเจ้าคะ ชิรญาสัญญาจะไม่เถลไถลอีกแล้ว อย่าโกรธชิรญานะเจ้าคะ” เห็นแววออดอ้อนของเด็กที่นางเลี้ยงมาแต่น้อย สาวใหญ่ก็แต่ถอนหายใจ
“แล้วนี่เจ้าเตรียมของครบหรือยังชิรญา”
“ครบแล้วเจ้าค่ะ นี่ของป้ายี่สุ่น นี่ของน้าวาทยา เครื่องถวายพระเทวี ตุ๊กตาอันนี้ก็ของเด็กคนนั้น”
“อืม...ปีนี้อากาศหนาวมาเร็วพรุ่งนี้คงต้องเตรียมเสื้อคลุมหนาๆไว้อีกตัว ไปเถอะ เราต้องรีบขนของพวกนี้ขึ้นเขา”
ชิรญามองข้าวของเครื่องใช้ ผลไม้เครื่องคาวหวาน ตลอดจนพวงมาลัยงดงามสี่พวงกับมวลดอกไม้นานาพรรณเต็มตะกร้า ใกล้กันคือพานพุ่มดอกไม้สีม่วงเข้มเจืออ่อนขาวตรงปลาย กลับแข็งแรงซ้อนกันเป็นชั้นลดหลั่นงดงามสมกับสมญาสัญลักษณ์แห่งราชวงศ์จันทรา หลายคนบอกว่าดอกไม้นี้คือสัญลักษณ์แห่งความศรัทธาและปกป้อง แต่สำหรับชิรญาทุกครั้งที่มองเห็นดอกไม้นี้คล้ายจะสำเหนียกถึงอารมณ์ลึกล้ำบางอย่างที่แปลกประหลาดคลับคลาความหวานเจือเศร้าเคล้ากระแสอาวรณ์ห่วงหาที่ล่องลอยมาพร้อมละอองเกสรกลิ่นหอมอ่อนเหล่านี้
เมื่อจัดเรียงทุกอย่างพร้อม เพราะทั้งหมดคือของเซ่นที่นางจะต้องแบกขึ้นเขาทุกปีนับแต่จำความได้
เสียงมารดาสั่งเข้มงวดให้คุกเข้าก้มหน้าผากจรดพื้นดิน
“เราเซ่นไหว้ใครคะ”
วาทยา พระเทวี ป้ายี่สุ่น อ้อมีเด็กน้อยอีกคน
“พวกเขาเป็นใครเหรอคะ”
“พวกเขาเป็นคนสำคัญ”
“อ๋อคนสำคัญของท่านแม่”
“ไหว้ซิจ๊ะ ไหว้เพื่อขอบคุณท่านน้าเหล่านี้ที่ให้ชีวิต ให้โลกกับเรา”
ตอนนั้นเธอทำทุกอย่างตามที่ท่านแม่สอนโดยไม่เกี่ยงงอน ท่านแม่หยิบเครื่องเซ่นลำเลียงบนลานหินรูปทรงเหลี่ยมคล้ายโต๊ะมีผ้าสีขาวปูทับอีกชั้น จากนั้นก็เลือกวางพานพุ่มไว้เบื้องหน้าก้มคำนับนิ่งนาน คล้ายกับไหล่หลังไหวสะท้านแม้จะนิดเงหากก็ยังสังเกตได้ จานั้นนางก็จะโปรยดอกไม้ลงไปยังผาเบื้องล่าง
หากเติบใหญ่ความคิดมากขึ้น
ขอบคุณ หมายความว่าอย่างไร
มีอีกกี่คนที่เธอต้องขอบคุณ เธอและแม่เป็นหนี้ชีวืตใครกี่คนกัน
“ทอดหน้ามองออกไปสิจ๊ะ ผืนดินใต้ฟ้ากว้างที่เรามองเห็นตรงหน้า คือสิ่งีค่าที่จะต้องปกป้องด้วยชีวิต”
คำสั่งสอนเฉกเช่นทุกครั้งนับแต่จำความได้
ชนเผ่าพยัคฆ์ของชิรญา มีหน้าที่ปกปักษ์รักษาราชวงศ์ในอดีต หากการสิ้นพระชนม์แห่งองค์มเหสี ทำให้หัวหน้ารุ่นนั้นถอนตัวด้วยความละอาย จวบจุนรุ่นปัจจุบัน
เผ่าพยัคฆ์ของนางเป็นที่เลื่องลือในหมู่ชาวเมืองจันทราว่าลือชื่อด้านรบแบบกองโจร เมื่อมีทัพรุกรานครั้งใด ผู้มีอำนาจสูงสุดจักถือเอามณีจันทราอัญมณีคู่บ้านขึ้นชู ก็สามารถมีอำนาจสั่งการเจ็ดผู้นำให้สยบแทบเท้าสุดแล้วจะบัญชา แค่มีเจ็ดผู้นำในมือก็ถือเป็นกำลังสำคัญที่จักรวบรวมกองกำลังอันเปี่ยมฝีมือ
นั่นเป็นเรื่องที่ใครๆก็รู้ไม่ถือว่าเป็นความลับ เพราะว่ามณีจันทราหายสาปสูญไปพร้อมกับการสิ้นพระชนม์ของพระเทวีศศิธรา และเหล่าเจ็ดผู้นำก็กระจัดกระจาย แยากย้ายมิอาจรวบรวม
ส่วนเผ่าพยัคฆ์ของชิรญานั้นหรือ แค่ตาเฒ่าบ้าตำรา และกองคาราวานโจร
ถูกต้องจากเผ่าพยัคฆ์ที่ผู้คนเลื่อมใสชื่นชม กลายเป็นเหมู่บ้านโจรภูเขาที่เหล่าเศรษฐีต่างหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อ เพราะเมื่อสิ้นอำนาจจากมณีจันทราควบคุม ผู้คนในเผ่าพยัคฆ์ทั่วแคว้นพร้อมใจเปลี่ยนจากหน้าที่ปกป้องผืนแผ่นดินกลายเป็นปล้นสะดมภ์
ชิรญารู้...ซ้ำยังเคยตามท่านผู้นำออกปล้น...หนึ่งครั้ง หลังจากนั้นนางก็ถูกแม่ทำโทษโดยการกักบริเวณเสียเป็นเดือน แต่นางเข็ดเสียเมื่อไหร่ ปล้นสนุกออก ได้เห็นทรัพย์สมบัติมากมาย อัญมณีสีสวยแล้วก็แจกจ่ายแบ่งกัน ปล้น...แต่ไม่ฆ่า เพราะท่านผู้นำบอกว่าเราเป็นโจร มิใช่นักฆ่า แล้วทุกครั้งเราปล้นเขามาหมดตัวเสียเมื่อไหร่ ท่านผู้นำปล้นแต่เศรษฐีที่มีกินเหลือใช้....ก็แค่แบ่งกันมาใช้บ้างก็เท่านั้น
"นั่นเจ้าจะไปไหนชิรญา"
แม่หนูสะดุ้งสุดกาย ค่อยจับย่ามน้อยแน่นมือแล้วผินหน้าไปหาที่่มาของเสียงจากด้านหลัง
พยัคฆา ตำแหน่งผู้นำสูงสุดแห่งเผ่าพยัคฆ์ ยืนตระหง่านด้านหลัง เขาเป็นชายกลางคนร่างสูงใหญ่ดวงตาดุดัน ผมดำสนิทพันเกรียวรอบศีรษะยิ่่งส่งให้น่ากลัว
"เข้าเมืองเจ้าค่ะ คือ ท่านแม่ให้นำสมุนไพรไปส่ง"
มิได้โกหก แต่ไม่กล้าสบตา แน่ล่ะท่านแม่ให้นำสมุนไพรหายากไปส่งร้านขายยา แต่ไม่ได้มอบหมายให้นางนำไป นางเองที่ขู่เข็ญขอทำหน้าที่นี้จากพี่ไพรี
"เจ้าไปด้วยหรือไพรี"
"เจ้าค่ะ"
นางไม่รู้ว่าท่านพยัคฆาคิดอย่างไร หากเขาเหลือบมองย่ามครั้งเดียวก่อนจะพยักหน้าอย่างง่ายดาย
บ้านของชิรญาอยู่บนเขาสูง และศศิระนครหรือเมืองจันทราตามแต่จะเรียกมีภูมิประเทศเป็นหุบเขาสูงลดหลั่นหลายลูก เมืองหลวงตั้งอยู่บนที่ราบใจกลางหุบผา
หลังจากออกมาจากร้านขายยาในเมืองพร้อมเงินถุงใหญ่นอนนิ่งในย่าม ชิรญารบเร่้าให้พี่ไพรีพานางเดินเที่ยวเสียให้ทั่วก่อน เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่นางมีโอกาสเข้ามาในเมือง ไพรีก็คิดถึงเครื่องประดับสวยๆในร้านค้าแผงลอยที่นางเห็นจากหางตาจึงโอนอ่อนตามใจ
ทั้งสองเดินเที่ยวซื้อของเพลิดเพลิน อยู่ๆก็มีเสียงกรีดร้อนจากร้านค้าหนึ่งใกล้ๆ ตามมาด้วยร่างสาวใช้วิ่งกรีดร้องตาเหลือกออกมาราวเสียสติ นางพร่ำบอกว่ามีคนตาย ช่วยด้วย มีคนตาย แล้วสลบแน่นิ่งไป ผู้คนจึงกรูเข้าไปในร้านค้าก่อนเบ้หน้าออกมาตามกัน
"ศพ มีศพคนตายข้างใน"
ไพรีและชิรญากำลังจะก้าวเลยผ่านไปอยู่แล้ว หากไม่ได้ยินคำหนึ่ง
"ฝีมือโจรพยัคฆ์แน่ เขาเพิ่งถูกปล้นเมมื่อสองวันก่อน มันคงฆ่าปิดปาก"
หญิงสาวและเด็กน้อยมองหน้ากันเครียดทีเดียวก่อนไพรีจะส่ายหน้าเมื่อรู้ความคิดหนูน้อย นางจูงมือชิรญาไปใกล้ๆ ศพเริ่มเขียวม่วงถูกปาดคอแผลเหวะนัยตาเบิกโพลงจนไพรีต้องเอื้อมมือมาปิดตาหนูน้อย จนกระทั่งมีเสียงร่ำไห้ของภรรยาเจ้าของร้านดังออกมาจากด้านใน
"มณีต้องคำสาปนั่นต่างหากที่ฆ่าผัวฆ่าข้า มณีหายนะนั่น...โธ่ตาเฒ่า ข้าบอกเจ้า บอกแล้วว่าอย่าเอ่ยถึง อย่าพูดถึง เจ้ายังไม่เชื่อ ฮือแล้วทีนี้ข้าจะทำอย่างไรต่อไป ข้าจะทำยังไง"
เสียงเซ็งแซ่ต่างๆนานาสันนิษฐานถึงฆาตกรโหดเหี้ยม ไพรีรีบคว้าแขนชิรญาแทรกคนออกมา
"รีบไปกันเถอะ กลับบ้าน"
กลางคหาสถน์อันโอ่อ่าของเสนาบดีแห่งศศิระนคร ชายวัยห้าสิบหกยืนนิ่งอยู่ในศาลาเล็กริมบึง ดวงตาหรี่ต่ำอย่างใช้ความคิด สองมือไพร่หลัง ลำตัวตั้งตรงองอาจ แม้นผ่านมาล่วงห้าสิบกว่าปีก็ตาม แต่ความผึ่งผายอย่างชายชาติก็ยังไม่ล่วงหายไปตามกาล จวบจนกระทั่งมีเสียงสวบสาบด้านหลัง ร่างนั้นขยับตัวนิดเดียวในท่าเดิม แต่มือก็ยังสามารถชักอาวุธขึ้นตัดคอศัตรูได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อจังหวะการก้าวย่างเข้าใกล้ ก็รู้ถึงตัวตนผู้มาใหม่จนสามารถปล่อยกายสบายได้ดังเดิม
"งานเรียบร้อยดีใช่ไหม" ถามเหมือนจะหาเรื่องคุยเสียมากกว่าอยากรู้ เพราะมั่นใจว่าคนของเขาไม่เคยพลาด ไม่ว่าจะกี่ปี
"ครับ...คงปิดปากสนิทไม่สามารถพูดอะไรได้อีก"
"อืม"
"แต่เรายังไม่พบเบาะแสของมณีจันทราอยู่ดี"
ชายที่ยืนหันหลังกดรอยหยันลึกในปาก
"ไม่เป็นไร อาจเป็นเรื่องดีก็ได้ เพราะหากไม่มีมณีจันทรา ไม่มีเผ่าพยัคฆ์ บัลลังก์จันทราก็ไม่ต่างอะไรกับบัลลังก์กลวงๆ ง่ายที่งานของเราจะบรรลุตามเป้าหมาย"
"ครับ"
"ไปพักเถอะ" คำสั่งสั้นบอกคนสนิทและอีกฝ่ายก็ค้อมกายรับอย่างภักดี แต่ก่อนที่จะก้าวพ้นศาลาน้อย คล้ายผู้เป็นนายนึกบางอย่างขึ้นมาได้
"ฌาวี"
ชายที่ชื่อฌาวีหยุดหันมารับคำสั่ง
"เด็กนั่นเป็นอย่างไรบ้าง"