ณ เกาะใหญ่กลางทะเล
เกลียวคลื่นขาวใสเป็นประกายระยิบยามสะท้อนแสงจันทร์ ค่อย ๆ แทรกตัวทาบทับไปบนผืนทรายเป็นระลอกทีละน้อย ก่อนจะม้วนตัวกลับลงไปในผืนน้ำ โดยไม่ลืมโอบอุ้มเม็ดเล็ก ๆ ของทรายหวนคืนสู่ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ประหนึ่งทวงคืนสมบัติล้ำค่ากลับคืน ซึ่งบางครั้งการทวงคืนก็นุ่มนวล แต่บางครั้งก็เกรี้ยวกราด จนแปรเปลี่ยนเป็นสายน้ำฟุ้งกระจายซัดสาดกระหน่ำถาโถม หมุนวนสลับผลัดเปลี่ยนเกินจะคาดเดา
และเหนือขึ้นไปยังท้องฟ้าสีดำทะมึน ลูกไฟทรงกลมสีแดงอมส้มลอยนิ่งอยู่กึ่งกลางผืนฟ้า ทอดแสงเงาอันสั่นสะเทิ้มวูบไหว แฝงตัวกลมกลืนกับท้องน้ำเบื้องล่าง โดยคืนนี้ มันโดดเด่นเพียงลำพัง ไร้ดาวดวงเล็ก ๆ คอยแข่งบารมีเฉกเช่นหลายคืนที่ผ่านมา
“ว้าย”
เสียงกรีดร้องแหลมสูง ดังแว่วแผ่วเบาแทรกมากับเสียงลมเป็นระยะ ความเงียบสงบหรือบ้าคลั่งของทะเล หาใช่คำตอบจากสิ่งที่เกิดขึ้นของที่มาแห่งเสียงนั้น แม้ขณะนี้ ความมืดกัดกินทุกอย่างจนมองแทบไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดบนแผ่นน้ำ
ของเหลวสีแดงคล้ำของบางสิ่ง กลับไหลเอื่อยออกจากมุมหนึ่งของแนวหินที่อยู่ไกลออกไปอยู่เนืองๆ โดยที่สีของมันค่อย ๆ ผสมคลุกเคล้าไปกับสีของน้ำทะเล แผ่ขยายวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยลงเลยแม้สักนิด
แต่ทว่า น้ำทะเลบริเวณนี้กลับมีสีต่างไปจากเดิม สีของมัน ‘แดง’ ราวกับเลือด
เหตุการณ์ยังคงดำเนินต่อไปไร้ซึ่งการต้านทานจากสิ่งใด ไม่ได้ยินแม้เสียงคัดค้านจากสรรพสิ่งรอบตัว กระทั่งเมื่อถึงช่วงหนึ่งของเวลาที่เหมาะสม ความเงียบสงบจึงได้โอกาสเข้ามาปกครองอาณาบริเวณนี้อีกครั้ง
+++++++++++++++++++++
อีกฝั่งหนึ่งของพื้นโลก ที่ซึ่งลำแสงเหลืองนวลอบอุ่นของดวงอาทิตย์ฉาบฉาย ณ ใจกลางกรุงเทพ ฯ เมืองใหญ่ทันสมัย ฉากหน้าสวยหรูกลับถูกซุกซ่อนไปด้วยหลายชีวิต บ้างก็โลดโผน บ้างก็เรียบง่าย หนึ่งในนั้นคือครอบครัวแสนธรรมดา ของสาวน้อยคนหนึ่งกับมารดาของเธอ โดยที่เธอไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่า ต่อไป เธอจะต้องเกี่ยวพันกับความลึกลับน่าสะพรึง อย่างไม่อาจเลี่ยงได้
“น้ำ น้ำ น้ำใส ตื่นหรือยังลูก” เสียงตะโกนเรียกดังลอดประตู ปลุกหญิงสาวที่กำลังงัวเงียอยู่บนที่นอนหนานุ่ม ปรือตามองอย่างไม่สู้เต็มใจนัก น้ำใสเหลือบดูนาฬิกาที่หัวเตียงบอกเวลาหกโมงกว่าแล้ว เมื่อวานดูหนังสือสอบกว่าจะได้นอนก็ตีสองกว่า หญิงสาวนึก พลางผลุดลุกขึ้นนั่ง เอี้ยวลำตัวสองสามครั้งพอให้หายเมื่อย ขานรับเสียงเรียกมารดาไปว่า
“ค่ะแม่ ตื่นเดี๋ยวนี้แล้วค่ะ” น้ำใสเดินรี่เข้าห้องน้ำ ใช้เวลาไม่นานนักหญิงสาวก็ทำภารกิจส่วนตัวเรียบร้อย แต่งกายอยู่ในชุดนิสิตสถาบันชื่อดังแห่งหนึ่ง น้ำใสเดินลงมาข้างล่าง เห็นมารดาแสนสวยนั่งยิ้มรออยู่ที่โต๊ะอาหารตรงหัวโต๊ะ
“มา มะ มาทานอาหารเช้าก่อนลูก วันนี้แม่ทำข้าวต้มกุ้งของโปรดของลูกด้วยนะ” นฤมลบอกพลางพยักหน้าสั่งเด็กรับใช้ให้ตักข้าวต้มให้ลูกสาว “น้อย ตักข้าวต้มให้คุณน้ำใสได้แล้ว” สาวใช้ทำตามคำสั่ง ตักข้าวต้มออกจากหม้อแบ่งใส่ถ้วยใบเล็กวางบนโต๊ะ ไอร้อนของอาหารลอยพวยพุ่ง น้ำใสย่นจมูกสูดดมกลิ่นหอมที่โชยออกมา
“แหม คุณแม่นี่รู้ใจจังเป็นคุณแม่ที่ดีที่สุดในโลกเลย” น้ำใสพูดพร้อมกับย่อตัวลงกอดเอวแม่ทำเอานฤมลยิ้มขันในความช่างประจบของลูกสาว จากนั้นสาวน้อยก็เดินอ้อมมานั่งตรงเก้าอี้ด้านข้าง ก่อนจะถามขึ้นว่า
“คุณแม่ทำเองหรือคะ”
“ใช่จ๊ะ เมื่อเช้าแม่ใส่บาตร นึกถึงน้ำกับคุณพ่อเลยเข้าครัวเอง เห็นชอบเหมือนกันทั้งคู่” แม้จะตอบคำถามของลูกสาวแต่มือสาวใหญ่ก็ยังสาละวนอยู่กับการจัดจานอาหารและอุปกรณ์ตรงหน้าให้เข้าที่ ประสาแม่ที่ห่วงใยในทุกเรื่องของลูก ในขณะที่สาวน้อยพ่นลมออกจากปากไล่ไอร้อนของอาหาร ก่อนจะตักเข้าปากค่อย ๆเคี้ยว จนของอร่อยไหลลื่นลงคอ จึงเอ่ยถามสิ่งที่อยากรู้ไปว่า
“แล้วคุณแม่ทำอะไรใส่บาตรบ้างคะ”
“ก็ของโปรดของคุณพ่อทั้งนั้น มีน้ำพริกอ่องกับผักสด ของหวานก็ข้าวเหนียวมูลกับมะม่วงสุก”
“ดีเลยค่ะ พระท่านจะได้ไม่เบื่อ เนี่ย น้ำยังเคยคิดเลยค่ะว่าจะหาของแปลก ๆ ใส่บาตรบ้าง เช่น อาหารอีสานแซ่บ ๆ หรือไม่ก็ พิซซ่า หรืออย่าง อาหารฝรั่งแบบผักโขมอบซีส คุณแม่ว่าดีมั๊ยคะ” น้ำใสนำเสนอ หากแต่นฤมลตอบกลับแบบเอ็นดูในความคิดของบุตรสาวไปว่า
“พิลึกจริงลูกคนนี้”
“แหม คุณแม่ก็ คิดดูซิคะ ทีเรายังอยากทานอะไรแปลก ๆ เลย” น้ำใสอธิบายพร้อมตักของโปรดใส่ปาก
“แต่พระท่านไม่เหมือนเรานี่ลูก จะเอามาเปรียบเทียบกันได้ยังไง บาปกรรม” ผู้เป็นแม่ปราม เกรงว่าลูกสาวจะคิดอะไรไม่ถูกไม่ควร น้ำใสหน้าเจื่อนลงนิดหน่อยหลังโดนดุ หากแต่หญิงสาวไม่รู้สึกโกรธเคือง เนื่องจากหล่อนรู้ดีว่า สิ่งที่มารดาตักเตือนคือสิ่งที่ดี ที่คนเป็นแม่พึงกระทำ แล้วในความเป็นจริง มารดาหล่อนก็ไม่ใช่คนที่ดุหรือน่ากลัวอะไร อาจจะใจดีเกินไปด้วยซ้ำ น้ำใสมองมารดาพิจารณาตลอดทั้งตัว เห็นยังใส่ชุดอยู่กับบ้านเป็นชุดแซกเข้ารูปแขนกุดกระโปรงยาวลายดอกไม้ดอกเล็กระบายทั่วตัว จึงถามด้วยความสงสัยไปว่า
“ว่าแต่ วันนี้คุณแม่ไม่ไปที่ร้านเหรอคะ”
“ไม่ล่ะ” คนถูกถามส่ายหน้า “แม่เพิ่งไปมาเมื่อสองวันก่อน ขี้เกียจเจอพวกคุณหญิงคุณนาย” นฤมลยกถ้วยกาแฟขึ้นดื่ม คว้าหนังสือพิมพ์ขึ้นเปิดทำท่าจะอ่าน อากัปกิริยาแสดงความไม่สนใจที่จะไปร้านจริง ๆ ดังว่า
“ทำไมคะ” น้ำใสย้อนถามใคร่รู้
“แม่เบื่อคุยนะลูก” นฤมลตอบเสียงเนือย ความจริง จะว่าเบื่อก็ไม่ค่อยจะตรงนัก การทำธุรกิจ การพูดคุยสนทนากับลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญที่สมควรกระทำ โดยเฉพาะพวกคุณหญิงคุณนาย ซึ่งเป็นขาประจำที่ไปซื้อเพชรที่ร้าน แต่ที่หล่อนไม่ชอบ คือหัวข้อที่พวกเขาชอบพูดกัน ซึ่งไม่พ้นเรื่องโอ้อวดความร่ำรายใส่กัน หรือไม่ก็ อวดศักดาบารมีของพ่อบ้านของตน สามีดิฉันได้ตำแหน่งนั้น หรือสามีดิฉันเป็นคนโปรดของท่านนี้ บางครั้ง ก็พูดเรื่องของเพื่อนคนหนึ่งซึ่งหล่อนรู้จักดี ในขณะที่เพื่อนผู้ถูกกล่าวถึง ไม่อาจที่จะรับรู้และอยู่โต้แย้งการพูดถึงนั้นได้ว่าจริงหรือไม่
ทำไมหล่อนจะไม่รู้ว่าคำพูดแสดงความเสียใจเรื่องสามีหล่อนเสียแล้วมีคุณธเนศเข้ามาผูกสัมพันธ์ กับคำพูดเหน็บแนมมันต่างกันอย่างไร หล่อนไม่อยากเป็นหัวข้อสนทนา หรือถูกกล่าวถึงในขณะที่หล่อนไม่รู้ตัว เหมือนที่หล่อนได้ยินเรื่องของคนอื่นแบบไม่ตั้งใจ
น้ำใสเห็นแม่เงียบไป หญิงสาวเข้าใจ รู้ว่ามารดาเหน็ดเหนื่อยกับการบริหารร้านเพชรซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาจากคุณยายที่เป็นคุณหญิงของน้ำใส แม้จะเป็นร้านที่ไม่ใหญ่โตมากนัก แต่ชื่อเสียงซึ่งสะสมมานานตั้งแต่สมัยรุ่นคุณยาย ทำให้ลูกค้าเป็นคนกันเองแวะเวียนมาสม่ำเสมอ ซึ่งคนกันเองที่ว่า ก็เป็นพวกคุณหญิงคุณนายที่เคยรู้จักกับคุณยาย หรือไม่ก็พวกเศรษฐีทั้งเก่าและใหม่ที่ชอบอวดรวยมาหาซื้อของ เพื่อแสดงความมั่งมีให้คนอื่นอิจฉา แล้วคนพวกนี้ก็แปลก ชอบที่จะอยากรู้เรื่องของคนอื่น ราวกับบุคคลผู้นั้นเป็นคนสาธารณะ สามารถนำเรื่องราวความเป็นไปในชีวิตของเขามาทำให้เกิดความรื่นรมย์ได้ ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่รู้มานั้น อาจจะมีความจริงเพียงน้อยนิดก็ตามที ในขณะที่เรื่องของตัวเองกลับเก็บเงียบ
“จะไปมหาวิทยาลัยแต่เช้าเลยเหรอ” นฤมลเอ่ยถามทำลายความเงียบ
“วันนี้น้ำมีสอบค่ะ เผอิญนาฬิกาปลุกเสีย นี่ถ้าคุณแม่ไม่เรียกมีหวังแย่ เดี๋ยวเย็นนี้น้ำว่าน้ำจะแวะห้าง หาซื้ออันใหม่”
“อย่ากลับค่ำนักนะลูก แม่มีแขกจะมาทานอาหารเย็น แล้วแม่ก็อยากให้น้ำอยู่ด้วย แต่ถ้าน้ำไม่สะดวกแม่ก็ไม่ว่าอะไร” นฤมลนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ หล่อนถามบุตรสาวเพียงแค่ขอความร่วมมือ ไม่ถึงกับสั่งให้บุตรสาวลำบากใจ
“ใครคะ” น้ำใสย้อนถามทั้ง ๆ ที่พอจะเดาคำตอบได้ เพราะมีคนเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่แวะเวียนมาเป็นแขกประจำบ้านนานร่วมปี คือคุณธเนศ นักการเมืองหนุ่มใหญ่มาดดี คนดังที่คนรู้จักกันทั่วบ้านทั่วเมือง
“ ก็ คุณลุงธเนศไงลูก” นฤมลตอบคำถามลูกสาวไม่สู้จะเต็มเสียงนัก สัญชาตญาณบอกให้รู้ว่า ลูกสาวไม่เต็มใจหรือไม่เห็นด้วยในการคบหากันระหว่างตนกับคุณธเนศ ทั้งที่ความจริง หล่อนให้ความสัมพันธ์ตอนนี้เป็นแค่เพื่อนสนิทเท่านั้น แม้คุณธเนศจะพยายามให้ความสัมพันธ์เป็นมากกว่านั้น สำหรับน้ำใส นฤมลรู้ว่าน้ำใสมีเหตุผล และมีมารยาทพอที่จะไม่ขัดค้านมารดาให้เป็นเรื่องเป็นราว หล่อนรู้ดีว่าน้ำใสฉลาดที่จะมองอยู่ห่าง ๆ ถึงกระนั้นหล่อนก็ยังรู้สึกกระดากใจที่จะพูดเรื่องนี้กับลูกสาว
“ลุงธเนศ” น้ำใสทวนคำตอบ นฤมลพยักหน้ารับ น้ำใสจึงหันไปสั่งสาวใช้ด้วยอยากให้เรื่องที่กำลังจะคุยกับมารดาเป็นเรื่องส่วนตัว
“พี่น้อยคะ ออกไปก่อนได้มั๊ยคะ” “ค่ะ” สาวใช้รับคำแล้วหันหลังเดินออกไปเงียบ ๆ จนเมื่อร่างบางผอมกระหร่องลับหายไป น้ำใสจึงหันกลับมาสบตามารดา แล้วหยั่งเชิงไปว่า
“คุณแม่คะ น้ำถามจริง ๆ เถอะค่ะ คุณแม่คิดยังไงกับคุณลุงธเนศคะ” หญิงสาวเน้นเสียงหวังได้คำตอบที่ชัดเจนเป็นผลให้นวลหน้าของนฤมลเริ่มมีสีแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย แล้วค่อย ๆ ตอบแบบไม่เต็มเสียงนักว่า
“เอ่อ...แม่ แม่บอกไม่ถูกหรอกจ๊ะ” สาวสูงวัยกว่าหลุบตาต่ำ นิ้วมือยาวเรียวทั้งสิบประสานบีบกันไปมา หลบสายตาอยากรู้ของคนตรงข้าม แม้อายุจะเลยวัยสาวมานานมาก แต่เรื่องแบบนี้ มันยากที่จะสารภาพ หรือกล่าวเป็นคำพูดออกมาให้ตรงกับใจได้ น้ำใสหัวเราะน้อย ๆ เมื่อเห็นอากัปกิริยาของมารดา
“ไม่ต้องอายน้ำหรอกค่ะ น้ำโตแล้ว น้ำเข้าใจ น้ำไม่ว่าอะไรคุณแม่หรอกค่ะ ถ้ามันเป็นสิ่งที่จะทำให้คุณแม่มีความสุข ” น้ำใสทำลายกำแพงบาง ๆ ระหว่างตนเองกับมารดาเรื่องคุณธเนศลง เพื่อให้มารดาคลายกังวลและเห็นหญิงสาวเป็นคนที่สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง
“ขอบใจมากนะลูก” นฤมลผ่อนตัว ปล่อยมือเอนร่างทิ้งไหล่ตามสบาย คลายความเครียดที่เกรงว่าจะเกิดหากลูกสาวไม่เข้าใจ “แต่” เสียงที่เปล่งออกจากปากของน้ำใสฉุดรอยยิ้มของผู้เป็นมารดาชะงักลงเล็กน้อย
“น้ำอยากให้คุณแม่รอบคอบหน่อย น้ำรักคุณแม่มากนะคะ” น้ำใสตอกย้ำ สิ่งที่บอกมารดามิใช่ตำหนิหรือตักเตือน หากแต่เป็นการแสดงความรักความห่วงใยของคนเป็นลูกเพียงแค่นั้น ครั้นเห็นสีหน้ามารดาเปลี่ยนไป น้ำใสกลับรู้สึกผิดขึ้นมา จึงยิ้มน้อยๆ ลุกขึ้นเดินย่อตัวเข้าไปโอบกอดมารดาอีกครั้ง
นฤมลยิ้มให้ลูกสาว หล่อนรู้จักนิสัยลูกสาวคนนี้ดี น้ำใสมีนิสัยเหมือนพ่อ คือตรงไปตรงมาไม่ยอมคน หล่อนยังจำได้ดีไม่เคยลืม แม้เวลาจะผ่านมานานสิบกว่าปีแล้ว เมื่อตอนที่คุณพ่อของน้ำใสเสีย ตอนนั้นน้ำใสอายุแค่ 10 กว่าขวบ เพื่อนผู้ชายที่โรงเรียนล้อน้ำใสว่าเป็นลูกไม่มีพ่อ น้ำใสโกรธมาก วิ่งชนเด็กคนนั้นจนล้ม แล้วตัวเองก็ถูกครูตี หล่อนจำได้ดีว่าหล่อนถามลูกสาวไปว่าทำแบบนั้นทำไม น้ำใสกลับตอบออกมาว่า
‘ใครว่าน้ำไม่มีพ่อ พ่ออยู่กับน้ำตลอดเวลา อยู่ในใจน้ำนี่ไง’ และไม่มีน้ำตาสักหยดให้เห็น
ความคิดความหลังหยุดลงเมื่อเสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้น
“คุณแม่ขา น้ำไปมหาวิทยาลัยก่อนดีกว่านะคะ” น้ำใสลุกขึ้นยืน ยกแก้วน้ำของตนเองขึ้นดื่มรวดเดียวหมด พร้อมกับยกมือไหว้มารดาอย่างเคย
“สวัสดีค่ะ” ก่อนจะคว้ากระเป๋าขึ้นสะพายไหล่และหยิบตำราเรียนสองสามเล่มเดินออกจากห้องอาหาร ตรงดิ่งไปหน้าบ้านขึ้นรถญี่ปุ่นคันเล็กสีเหลือง ที่ได้เป็นของขวัญจากมารดาตอนเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยติดขับออกไป โดยมีสายตาของนฤมลมองไล่หลังลูกสาวคนเดียวไปแบบชื่นชม
กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว