เสียว2 ตอนคุณหนูของลุง-จันทร์ลัดดา

โดย  Chommanad Churnthongchai

เสียว2 ตอนคุณหนูของลุง

จันทร์ลัดดา

บทที่ 1 สัญญาณเตือนจากความฝัน? (รีไรท์)


เสิ่นทิงหงตื่นขึ้นมาจากห้วงความฝัน บริเวณหน้าผากมีเหงื่อเม็ดเล็กผุดซึมประปราย


“ทำไมถึงฝันอีกแล้วล่ะ”


เป็นครั้งที่เท่าไหร่ของเดือนนี้แล้วนะ หลายวันกันมานี้เสิ่นทิงหงมักฝันแทบเหมือนกันทุกคืน


ในความฝันมีหญิงสาวที่มีหน้าตาคล้ายตัวเอง 80 เปอร์เซ็นต์ แต่รูปร่างผอมกว่าอย่างเห็นได้ชัด ไม่อย่างนั้นอย่างน้อยอาจจะคล้ายกันไปแล้ว 90 เปอร์เซ็นต์ก็ได้


ทว่าไม่รู้ทำไมเสิ่นทิงหงถึงรู้สึกอยู่ตลอดว่าไม่ใช่หญิงคนนั้นไม่ใช่ตัวเอง แต่ก็รู้สึกประทับใจในจิตวิญญาณของหญิงสาวคนนั้นไม่น้อย


สิ่งที่เห็นบ่อยที่สุดในความฝันคือบ้านกำแพงดินหลังหนึ่ง ขนาดพื้นที่ไม่ถือว่าน้อย แต่ภายในมีครอบครัวขนาดใหญ่อาศัยอยู่ ทำให้ดูแออัดไปถนัดตา


ยุคสมัยที่นั่นแตกต่างไปจากที่ตนอาศัยอยู่ตอนนี้อย่างสิ้นเชิง การเดินทางก็ยากลำบาก จะไปไหนก็ต้องใช้จดหมายแนะนำตัว สินค้าจำกัดจำนวนการซื้อ และยังใช้ตั๋วพิเศษอีกต่างหาก มีหลายอย่างที่ไม่สามารถซื้อได้หากไม่มีตั๋ว


แต่ครอบครัวของเด็กสาวในความฝันปฏิบัติต่อเธอเป็นอย่างดี เธอจึงดูสะอาดสะอ้านกว่าคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านมาก ในความฝันของเสิ่นทิงหง เด็กสาวคนนั้นมีที่มีชื่อและแซ่เดียวกันกับเธอ


เมื่อนึกถึงห้วงมิติที่เธอได้มาโดยไม่ได้ตั้งใจก่อนหน้านี้ สัญญาณเตือนในใจเสิ่นทิงหงก็ดังขึ้น


ในฐานะแฟนนิยายตัวยง พล็อตเรื่องแบบนี้มันดูคุ้น ๆ เกินไปหรือเปล่า!?


คงไม่ใช่พล็อตนางเอกได้รับนิ้วทองคำ จากนั้นทะลุมิติไปอยู่ในยุคข้าวยากหมากแพงที่ใช้กันบ่อย ๆ หรอกนะ!?


ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม เสิ่นทิงหงก็ไม่อยากนั่งงอมืองอเท้าอยู่เฉย ๆ ในเมื่อสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างห้วงมิติสามารถปรากฏขึ้นได้ ถ้าอย่างนั้นการทะลุมิติก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้


ก่อนหน้านี้ไม่นาน เสิ่นทิงหงได้ค้นพบห้วงมิติในจี้หยกที่พกติดตัวอยู่ตลอดเวลา หลังจากพบห้วงมิติจี้หยกของเธอก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


หญิงสาวจำสิ่งที่ผู้อำนวยการสถานสงเคราะห์เล่าได้ว่า ตอนที่เธอมาพบตนเองที่หน้าทางเข้าสถานสงเคราะห์ก็สวมจี้หยกชิ้นนี้อยู่แล้ว เธอมักสวมจี้หยกติดตัวไว้ตลอด เผื่อสักวันหนึ่งอาจจะได้พบกับครอบครัวของตน


แม้จะไม่คาดหวังว่าครอบครัวจะมารับกลับไป แต่ก็มักจะตั้งคำถามอยู่เสมอว่าเหตุใดพวกเขาถึงต้องทอดทิ้งเธอด้วย


เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าแค่เผลอกรีดนิ้วของตัวเอง ทันทีที่เลือดสีแดงสดหยดลงบนจี้หยก จี้หยกชิ้นนั้นก็ได้อันตรธานหายไปกลายเป็นห้วงมิติที่เชื่อมกับจิตวิญญาณของเธอ


พื้นที่ภายในห้วงมิติมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก เป็นเพียงบ้านชาวไร่เล็ก ๆ ภายในห้วงมิติมีบ้านสำหรับพักอาศัย ด้านหน้ามีที่นาและพื้นที่สำหรับเพาะปลูกจำนวนหนึ่งด้านหลัง จากนั้นก็เป็นบ่อน้ำ ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก


ก่อนหน้านี้เสิ่นทิงหงไม่ได้ใส่ใจนัก เพียงแค่ซื้อเมล็ดพันธุ์ผักและผลไม้มาปลูกไว้ในห้วงมิติเท่านั้น


การฝันแทบจะเหมือนกันทุกวันเป็นเวลาหลายวันติดต่อกันทำให้เสิ่นทิงหงนั่งไม่ติดเก้าอี้


เธอลุกขึ้นแต่งตัว หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูยอดเงินคงเหลือในบัญชี เธอมีเงิน 450,000 หยวนในบัญชี ก่อนจะตัดสินใจใช้จ่ายมันอย่างเด็ดเดี่ยว


เดิมทีหญิงสาวตั้งใจว่าจะเก็บเงินก้อนนี้ไว้ซื้อบ้านของตัวเอง แต่ตอนนี้ดูท่าทางจะเก็บไม่อยู่แล้ว เวลานี้เธอวางแผนที่จะออกไปตุนเสบียงแทน


แม้ว่าสุดท้ายมันอาจจะไม่เหมือนอย่างที่คิด อย่างมากก็แค่หาหมู่บ้านในชนบทที่งดงาม เช่าบ้านสักหลัง และเสบียงเหล่านี้ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการใช้ชีวิต


ก่อนอื่นต้องโทรหาบริษัทเพื่อลาหยุดหนึ่งสัปดาห์ให้เรียบร้อย และต่อมาเสิ่นทิงหงจึงออกไปข้างนอก


เสิ่นทิงหงขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าของตัวเองจนเจอกับโกดังร้างใกล้ตลาดสด เธอติดต่อไปที่เจ้าของโกดังเพื่อขอเช่าทันที


เธอต้องการเช่าเพียงแค่เจ็ดวันเท่านั้น เพราะถึงยังไงเธอก็มีเงินอยู่ในมือไม่มาก คำนวณแล้วว่าไม่เกินเจ็ดวันก็ใช้หมดแน่นอน


เจ้าของโกดังคิดว่าไหน ๆ ก็ปล่อยมันร้างมานานแล้ว เขาจึงให้หญิงสาวเช่าในราคา 300 หยวน


หลังจากเช่าโกดังแล้ว เสิ่นทิงหงก็ขี่สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ามุ่งหน้าไปที่ตลาดสด


จุดหมายแรกของเธอคือโซนเนื้อสด ตอนที่ได้ห้วงมิติมาเธอได้ทดลองบ้างอย่างมาแล้ว ตราบใดที่ยังอยู่ในบ้าน เวลาภายในห้วงมิติจะหยุดนิ่ง เธอจึงวางแผนกักตุนเนื้อสัตว์เพิ่ม เพราะถึงยังไงยุคสมัยในความฝัน เนื้อสัตว์ก็เป็นสิ่งล้ำค่า ตลอดทั้งปีบางครอบครัวได้กินเนื้อเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น


“เถ้าแก่คะ ฉันขอเนื้อหมู เนื้อวัว และเนื้อแกะสดอย่างละสองร้อยจิน*[1] ฉันซื้อเยอะขนาดนี้ลดให้หน่อยได้ไหมคะ?”


เนื้อหมูราคาจินละ 15 หยวน เนื้อวัวจินละ 35 หยวน และเนื้อแกะ 40 หยวน ตามราคานี้เธอจะใช้จ่ายที่นี่ได้ 18,000 หยวน เธอมีเงินอยู่ในมือเพียงน้อยนิด จึงต้องวางแผนอย่างละเอียดถี่ถ้วน


เถ้าแก่เองก็เป็นคนตรงไปตรงมา มิหนำซ้ำหญิงสาวก็ซื้อของร้านตนเองเป็นจำนวนมาก สรุปรวม ๆ แล้วก็ลดให้เธอไป 800 หยวน


แม้ว่าจะประหยัดได้ไม่มาก แต่ก็ทำให้เสิ่งทิงหงพอใจไม่น้อย ท้ายที่สุดแล้วเงิน 800 หยวนก็เอาไปซื้อของเพิ่มได้อีกจำนวนหนึ่ง เพราะอะไรที่ประหยัดได้ก็ควรประหยัด


เถ้าแก่ยังให้พวกเครื่องในมาให้อีกด้วย หญิงสาวก็ไม่ได้รังเกียจสักนิดพลางเอ่ยขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า


“เธอทำงานฝ่ายจัดซื้อหรือเปล่า วันหลังถ้าต้องการอะไรอย่าลืมมาหาอานะ รับประกันว่าร้านออามีแต่ของดี ๆ ทั้งนั้น แถมยังให้ราคาถูกกว่าอีกด้วย”


ก่อนไปเถ้าแก่ร้านขายเนื้อยังกล่าวกับเสิ่นทิงหงอย่างอบอุ่น


“คุณอานี่สุดยอดเลยค่ะ!” เสิ่นทิงหงพยักหน้า “งั้นพรุ่งนี้คุณอาช่วยจัดเตรียมของในปริมาณนี้ให้ฉันด้วยนะคะ แล้วส่งมาที่อยู่นี้เลยค่ะ”


เสิ่นทิงหงให้พิกัดโกดังแก่เถ้าแก่ เพราะเนื้อมากมายขนาดนี้ สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าคันน้อยคงขนไปไม่ไหว หลังจากนัดหมายที่จะส่งสินค้าในเวลาเที่ยงตรง เสิ่นทิงหงก็ไปยังจุดหมายต่อไป


น้ำมันกับแป้งสาลีก็สำคัญมากเช่นกัน เธอเดินตรงไปที่โซนขายส่งน้ำมัน ธัญพืช สั่งซื้อข้าวสาร 10,000 จิน แป้งสาลี 10,000 จิน และน้ำมันปรุงอาหารอีก 10,000 จิน


ราคาขายส่งข้าวสารและแป้งสาลีคือจินละ 1.5 หยวน ปริมาณที่เธอซื้อก็ค่อนข้างมากจริง ๆ แม้แต่ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ก็ไม่มีสินค้ามากมายขนาดนี้เพียงพอให้เธอซื้อในคราวเดียว แถมเถ้าแก่ก็ยังให้ส่วนลดแก่เธอ เหลือเพียง 1.4 หยวนเท่านั้น


น้ำมันปรุงอาหารมีราคาแพงกว่าเล็กน้อย ในตลาดราคาเกือบจินละ 10 หยวน ต่อให้เป็นราคาขายส่งก็เกือบ 7 หยวนแล้ว เธอใช้เงินกับที่นี่ไปเกือบ 100,000 หยวนทีเดียว


นอกจากนี้ เธอยังซื้อพวกธัญพืช เช่น ข้าวฟ่าง แป้งข้าวโพด และแป้งมันเทศ รวม ๆ กันแล้วก็ 100,000 กว่าหยวน


จากนั้นก็เป็นพวกผลไม้ เสิ่นทิงหงชอบผลไม้มาแต่ไหนแต่ไร เธอจึงซื้อผลไม้มาจำนวนหนึ่ง


สุดท้ายก็ซื้อลูกเจี๊ยบ ลูกเป็ด ลูกห่าน ลูกกระต่าย รวมถึงลูกหมู ลูกวัว และลูกแกะที่ตลาดสดกลับไปด้วย ทั้งหมดคละระหว่างตัวผู้และตัวเมีย บางทีต่อไปอาจจะสามารถสืบพันธุ์กันในห้วงมิติได้ก็ได้ เมื่อถึงเวลานั้นเธอก็จะมีเนื้อสัตว์กินไม่ขาดแคลนแล้ว


แม้ว่าบ้านในห้วงมิติจะค่อนข้างใหญ่ แต่ถึงยังไงห้วงมิติก็มีพื้นที่จำกัด เสิ่นทิงหงยังต้องเลี้ยงสัตว์เอาไว้อีกจำนวนหนึ่ง ถือได้ว่าเป็นทรัพยากรที่จะสามารถพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง


เมล็ดพันธุ์ผักและผลไม้ต่าง ๆ ก็ต้องซื้อไว้ด้วย รวมถึงข้าวเปลือก ข้าวสาลี และข้าวโพด


เมื่อเห็นว่าใช้เวลามาพอสมควรแล้ว เสิ่นทิงหงจึงขี่สกู๊ตเตอร์ไปที่โกดัง เมื่อครู่เธอตกลงกับเถ้าแก่ว่าจะให้มาส่งสินค้าตอนเที่ยงวันรุ่งขึ้น และจ่ายแค่เงินมัดจำไว้เท่านั้น หญิงสาวไม่ได้กังวลเลยว่าเจ้าของร้านจะเบี้ยว เพราะในสายตาของพวกเขา ในอนาคตเสิ่นทิงหงย่อมเป็นลูกค้ารายใหญ่แน่นอน



[1] หน่วยวัดน้ำหนักที่นิยมใช้ในประเทศจีน มีน้ำหนักเท่ากับ 500 กรัม



รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว