ที่ตรงนั้นมีตะวันดวงเดียวกัน

ตัวการ

อยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออกทั้งๆ ที่รู้สึกแย่เหลือเกิน

พิรามมองดุจหนึ่งและปิ่นยศด้วยความรู้สึกที่ยากอธิบาย

อินธุอรเกาะติดแรกตะวันไม่ห่างพิรามไม่ได้ติดใจเรื่องยาที่แรกตะวันใสในสุราให้กูรุงหากแต่ติดใจเรื่องทำไมอินธุอรถึง ไม่ยอมใส่ยาลงไปมากกว่าคิดว่าเหตุผลที่อินธุอรให้มาไม่เพียงพอ ปิ่นยศยังแอบปาดน้ำตาบุหลันคอย ระวังกลัวอินธุอรจะล้ม ส่วนดุจหนึ่งกลายเป็นคนพูดน้อยในทันที

“พี่แรก...น้องอิน เหนื่อยแล้ว” แรกตะวันหยุดเดินทำให้คนอื่นๆ หยุดตาม

“อีกไม่กี่โยชน์ เราก็จะถึง หมู่บ้านรอบนอกของธมปุระนาคาที่นั่น ปลอดภัย เราค่อยแวะพักกัน”

“แต่เดินมาไกลแล้วนะเดินมาตั้งครึ่งค่อนวันแล้ว”

“วิมายปุระอยู่ห่างจากธมปุระนาคาใช้ระยะเวลาเดินทางเกือบ สองพระจันทร์เต็มดวง จะมาชัดช้าไม่ได้” อินธุอรหน้าเง้า

“นางเหนื่อยไหม” พิรามถามดุจหนึ่ง ปิ่นยศคว้ากระบอกน้ำที่สะพายมาส่งให้ดุจหนึ่ง

“กินน้ำก่อน เดินมาเสียนาน” แรกตะวันมองตามคนทั้งสาม ดุจหนึ่งใบหน้าซีดเซียวแต่ไม่ปริปาก

“ไหวไหม พักก่อนก็ได้” แรกตะวันนึกสงสารดุจหนึ่ง อินธุอรมองค้อนแต่ก็ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ แรกตะวัน

“ในเมื่อไม่มีนางห้าม...ไม่มี... กูรุง ไม่มีธมปุระนาคา เราขอแหวนของท่านได้ไหม ท่านแรก” ดุจหนึ่งพูดออกมาประโยคแรกหลังจากคิดไตร่ตรองมาตลอดทาง

“เอาไปทำอะไร” พิรามกับปิ่นยศพูดขึ้นเกือบพร้อมกัน

ดุจหนึ่งนิ่งเงียบไม่อธิบายอะไร แรกตะวันถอดแหวนในมือ ทันทีทว่ากลับถอดไม่ออก ไม่ว่าจะหมุนหรือดึงก็ตาม

“มันถอดไม่ออก เราสวมมานานแล้วตั้งแต่ อายุได้20ปีตามคำของท่านพ่อตอนนี้ก็22ปีแล้ว” ดุจหนึ่งมองแรกตะวันก่อนจะเข้าไปกระชากแหวนในมือ แต่มันแน่นจนดึงไม่ออกจริงๆ แรกตะวันร้องโอ๊ย

ดุจหนึ่งทรุดลงกับพื้นใช้มือกุมขมับ หมดหนทางถ้าหากเป็นโลกปัจจุบัน หมอต้องตัดแหวนออกแต่ที่นี่จะมีเครื่องมือตัดแหวน แบบนั้นไหม แล้วถ้าตัดไปแล้วเกิดมันเสียหายกลับบ้านไม่ได้เล่าดุจหนึ่งไม่ต้องอยู่ที่นี่จนตายเลยหรือ

พิราม คิดว่าดุจหนึ่งแค่อยากได้แหวนเพราะมันสวย

“ของเรามีมากมาย เอาของเราแทนก็ได้ เรายินดีให้นาง” ดุจหนึ่งส่ายหน้าน้ำตาคลอเบ้า

“อย่าบอกนะว่าจะไม่ได้กลับบ้าน” พูดกับตัวเองเบาๆ

“แหวนพานางกลับบ้านหรือ” บุหลันถาม สิ่งที่ทุกคนอยากรู้ ดุจหนึ่งไม่ตอบ

“เรารู้มันสำคัญกับนาง เราไม่ถามเหตุผลว่านางจะเอาไปทำอะไร ไว้ไปถึงวิมายปุระเราสัญญาจะหาทางถอดมันให้ได้แม้จะต้องตัดนิ้วก็ตาม” ปิ่นยศพาซื่อ ไม่เข้าใจสิ่งที่แรกตะวันพยายามยื้อไว้

“ไหนๆ ก็ ยอมตัดแล้ว ท่านแรกก็ตัดเสียแต่ที่นี่ นางจะได้กลับบ้าน พอถึง วิมายปุระแผลก็หายพอดี” พิรามถลึงตาใส่

ปิ่นยศรีบแก้เก้อ

“แต่ตัดนิ้วก็เจ็บไม่น้อยไว้ไปถึงวิมายปุระมียาดีๆ ค่อยตัดก็ได้” ดุจหนึ่งสูดลมหายใจเข้าลึกสุดลึก

“ได้ เราแฟร์เสมอ ท่านบอกจะให้เราก็จะรอจนถึง ปราสาทหินพิมาย”

“แฟร์ ปราสาทหินพิมาย” นางพูดถึงอะไรของนาง คนทั้งหมดงงงันบุหลันยิ้มใน สิ่งที่ดุจหนึ่งเป็น คือเป็นคนที่ทุกข์ได้ไม่นาน บุหลันกุมมือดุจหนึ่งแน่น นางเป็นคนหนึ่งที่น่าคบหา แม้จะรู้จักได้ไม่นาน ความจริงใจที่ส่งผ่านมาทาง สายตาและการกระทำ สามารถทำให้หลายคนที่อยู่ใกล้รู้สึกสบายใจไม่มีความอึดอัดต่างกับอินธุอรที่ใครอยู่ใกล้นางมักจะต้องตามใจและเอาใจนางตลอด

แรกตะวันลองหมุนแหวนก็สามารถหมุนได้อย่างคล่องแคล่วแต่เมื่อพยายามถอดกับถอดไม่ได้เขาเองก็แปลกใจ หรือว่า แหวนเป็นของเขาและแม่ของเขาเท่านั้น คนอื่นไม่อาจเป็นเจ้าของหรือสวมใส่ พิราม มองแหวนในมือของ แรกตะวัน ไว้มีโอกาส เขาต้องถามให้รู้เรื่อง

“ออกเดินทางต่อดีกว่าจะได้ถึงไวไว” ดุจหนึ่งผุดลุกขึ้นออกเดินนำสลัด ความเศร้าหมองทิ้งไป ฮึดสู้อีกครั้ง ตอนนี้แรกตะวันเองกลับรู้สึกว่า ไม่อยากให้ถึงวิมายปุระไม่ใช่กลัวโดนตัดนิ้วแต่กลัวว่าดุจหนึ่งจะจากไปไม่มีวันกลับเหมือนแม่ของเขา มองร่างบอบบางเหมือนจะเก็บไว้ในความทรงจำ

ทางเดินเริ่มกว้างขึ้นต้นไม้ขวากหนามข้างทางถูกตัดทอนจนเดินได้สะดวกกว่าทางที่ผ่านมา

“ข้างหน้า เป็นบ้านของขยมเราเอง ก่อนหน้านั้นขอกลับมาบ้านเมียกำลังจะคลอดลูกเราให้เบี้ยมา ทำทุน เป็นขยมที่นิสัยดีคนหนึ่งทีเดียว คืนนี้เห็นต้องพึ่งพาเขาเสียแล้ว” แรกตะวันตะโกนเรียกชื่อขยม ดังลั่น สักครู่ชายร่างใหญ่ก็โผล่หน้าออกมาจากบ้านไม้ไผ่ หลังคามุงหญ้าคา ยิ้มดีใจเมื่อเห็นแรกตะวัน

“ท่านแรก เป็นบุญจริงๆ ได้เจอท่าน ข้าน้อย ได้ข่าวจากพ่อค้าชาวแขก ว่าพวกท่านจับตัวกูรุง และก่อกบฏ ตอนนี้ทหารของธมปุระโดยการนำของพระมเหสี และปุโรหิตได้ถูกส่งมาไล่ล่าตัวท่านทั้งสามและนางห้ามคนใหม่ของกูรุงเพราะพระมเหสี บอกว่านางเป็นคนวางยาให้กูรุงสลบ และ ให้พวกท่านลักพาตัวกูรุง” แรกตะวัน ปิ่นยศและพิรามมองหน้ากัน พิรามสบถเบาๆ

“ใช่ๆ พระมเหสีให้คนนำยามาถวายกูรุงตอนที่อยู่กับนางห้าม” ปิ่นยศละล่ำละลักบอก”

“ใช่แล้ว ตอนนั้นนางรอให้ยาของท่านแรกออกฤทธิ์ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่ง นางในนำยามาถวายบอกว่าเป็นโอสถที่พระมหเสีให้นำมา” ดุจหนึ่งนึกขึ้นได้ ดุจหนึ่งตกเป็นจำเลยเมื่อลูกศรพุ่งมาที่ดุจหนึ่งคนเดียว

แล้วนางคิดว่าเมื่อไหร่ถึงจะบอกพี่แรก” อินธุอรสอดขึ้น

“ไม่มีผลอะไรถึงเราจะรู้ก่อนหน้านั้น ในเมื่อพระมเหสีอยากให้เป็นเช่นนั้นก็ต้องเป็น” พิรามออกรับแทนดุจหนึ่ง

“ใครจะคิดว่าเป็นผัวเป็นเมียกันจะกล้าวางยา ฆ่ากันได้ลงคอ” ดุจหนึ่งพึมพำ

พระมเหสีใครๆ ก็รู้ว่าเป็นลูกหลานของขยมมาก่อน เป็นเพราะกูรุงโปรดปรานด้วยรูปโฉม และ การเอาอกเอาใจจนกูรุงยอมแหกกฎยกให้เป็นมเหสี”





รีวิวจากผู้อ่าน
ยังไม่มีรีวิวสำหรับเรื่องนี้

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว