ความรัก...อยู่ที่ไหน (愛在哪裡)

ตอนที่ 4 ก่อนงานเลี้ยงจะเริ่ม

ตอนที่ 5

งานเลี้ยง

เมืองเป่ยที่ 1 คืนนี้ดูคึกคักมากกว่าปกติ สังเกตได้จากที่มีรถหรูหลายคันปรากฏบนท้องถนน และต่างมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียวกันคือที่สถานที่จัดการเลี้ยง แต่ละคนที่ปรากฏตัวในงานล้วนสวมเสื้อผ้าราคาแพงตัดเย็บอย่างประณีต และบางคนยังสวมใส่เครื่องประดับที่ส่องแสงจนแสบตา สิ่งที่แสบตาไม่แพ้กันก็คือแฟลชจากกล้องของนักข่าวท้องถิ่นที่ถูกกระหน่ำยิงใส่เมื่อมีคนมาที่เข้ามาในงานเลี้ยง ไม่บ่อยที่จะมีงานเลี้ยงใหญ่อย่างนี้

แขกที่ได้รับบัตรเชิญต่างเดินทยอยเข้ามาในงานพอสมควรแล้ว และคนสำคัญอย่างหู่อันเฉิงก็เพิ่งมาถึง ชายหนุ่มเดินเข้ามาในงานสายตากวาดมองผู้คนในงานรอบหนึ่ง ก่อนจะมองไปที่ท่านผู้ดูแลเมืองที่ออกมาต้อนรับพร้อมรอยยิ้ม ระหว่างนั้นก็มีสายตาหลายคู่ต่างจ้องมาที่ชายหนุ่มพร้อมกับคนสนิทที่เพิ่งเข้ามาในงาน ท่านผู้ดูแลเมืองแนะนำแขกสำคัญหลายท่านให้รู้จักกับหู่อันเฉิง ทุกคนทักทายแนะนำรู้จักพอเป็นพิธีแล้ว ท่านผู้ดูแลเมืองก็พาหู่อันเฉิงไปนั่งที่ ระหว่างนั้นท่านผู้ดูแลถามเล็กน้อยถึงความสะดวกของเดินทาง หู่อันเฉิงคุ้นเคยกับท่าทางประจบประแจงเหล่านี้ดี เขาแค่พยักหน้าและตอบสั้น ๆ ว่าไม่มีอะไรไม่สะดวก ท่านผู้ดูแลเมืองไม่ชินกับการพูดจานอบน้อมกับคนอายุน้อยกว่า ในใจได้แต่กล่าวโทษบรรพบุรุษที่ทำให้เขาเกิดมาในตระกูลที่ไม่มีอำนาจ และยังเกิดมาในยุคสมัยที่ตระกูลเป็นใหญ่ คณะปกครองเป็นรอง ถึงอย่างนั้นตระกูลใหญ่ในเมืองเป่ยที่ 1 ก็ต้องยอมลงให้ตระกูลใหญ่จากเมืองหลวง ระหว่างพูดคุยกันแขกที่อยู่รอบข้างต่างรอจังหวะที่เข้ามาพูดคุยทำความรู้จักตระกูลใหญ่ แต่พอเห็นคนสนิททั้งสองที่ยืนทำหน้านิ่งขนาบซ้ายขวาก็ต้องเปลี่ยนใจ

“นี่ ผู้ชายคนนั้นมาจากตระกูลหู่ที่ว่า” กลุ่มคุณหนูจับกลุ่มคุยกันต่างจ้องมองไปชายหนุ่มที่เพิ่งนั่งลงที่โต๊ะวีไอพีอย่างสนใจ พวกเธอเกิดอยากรู้ว่าตระกูลที่มีอำนาจจากเมืองหลวงต่างจากตระกูลในเมืองนี้ยังไงบ้าง

“น่าจะใช่ ทำไม” กุยซีไม่สนใจแขกของพ่อเท่าไหร่

“เขาดูดีมาก”

“แล้วยังไง ดูเย็นชาออกจะตาย สู้คุณชายตระกูลต่างๆ ในเมืองของพวกเราก็ไม่ได้” เหล่าเด็กสาวต่างชมชอบผู้ชายที่ดูมีชีวิตชีวา พูดเก่ง เอาใจใส่ มากกว่าผู้ชายที่นั่งนิ่งไม่ยอมพูดจา แถมยังแผ่รังสีไม่เป็นมิตรออกมาใครจะทนได้กัน อยู่ด้วยกันหนึ่งวันถ้าไม่ถูกกดดันจนเป็นบ้า ไม่ก็ถูกเย็นชาใส่จนตาย

“นี่เธอว่าหลี่ซานคนเก่งของพวกเราจะเป็นยังไงบ้าง”

“เป็นไงไม่รู้ แต่วันนี้ฉันเห็นเขาไปเช่าชุดที่ร้านเดียวกันกับฉันด้วย”

“อ้อ”

“ใครก็รู้ว่าร้านนั่นทั้งหรูหราราคาก็แพง ไม่รู้ว่าแม้แต่กระดุมจะจ่ายไหวรึเปล่า”

“เธอนี่นะปากไวไม่เปลี่ยน”

“เชอะ ทำไงได้ก็เขาเล่นกอดอันดับหนึ่งตลอดไม่ยอมปล่อย กิจกรรมก็ยอดเยี่ยมก็หน้าหมั่นไส้ ฉันอยากเห็นหน้าเวลาหลี่ซานคนเก่งแสดงการเล่นเปียโนโง่ ๆ ให้แขกในงานฟัง”

“คงขายหน้าน่าดู”

สาว ๆ กำลังคุยกันสนุกปาก คนที่พูดถึงก็ปรากฏตัวเวทีด้วยชุดทักซิโด้สีขาวสะอาดตา กับทรงผมที่จัดแต่งอย่างเรียบร้อย ทำให้จำภาพหลี่ซานคนเก่าแทบไม่ได้ สายตาพวกเธอกำลังจ้องไปบนเวทีอย่างสงสัย ปากต่างพูดออกมาอย่างไม่ยอมรับว่าเด็กยากจนคนหนึ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าสวมใส่จะดูดีได้ยังไง ยังมีท่าทางสุขุม รอยยิ้มอบอุ่นชวนมองเหมือนผ่านเวทีการแสดงมาแล้วหลายครั้งนั่นอีก มันมืออาชีพชัดชัด

“นั่น นั่น ใช่หลี่ซานรึเปล่า ที่สวมทักซิโด้สีขาว” หญิงสาวถามอย่างไม่เชื่อสายตา

“ไม่น่าใช่” หรือจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ดี

“ไม่จริง”

ขณะทีกำลังกลุ่มหญิงสาวเถียงกันอยู่เสียงเปียโนก็เริ่มบรรเลงขึ้น เสียงเปียโนใสกังวานไปทั่วงาน เรียกสายตาทุกคนในงานต้องหันไปมองบนเวที ยิ่งนิ้วสัมผัสไปแผ่วเบาบนคีย์บอร์ด เสียงมันทั้งนุ่มนวล ทั้งหวานชวนให้รู้สึกเหมือนเข้าไปสู่บทเพลงที่กำลังบรรเลงอยู่ ริมฝีปากของหู่อันเฉิงโค้งขึ้นเล็กน้อยไม่นึกว่าหลี่ซานจะมีความสามารถขนาดนี้ เขาเคยฟังเพลงบรรเลงเปียโนบ่อยครั้ง อีกฝ่ายเล่นดีมาก อาจจะเก่งกว่ามืออาชีพบางคนด้วยซ้ำ ถ้ามีโอกาสฝึกฝนมากกว่านี้คงเทียบชั้นนักเปียโนต่างประเทศได้โดยไม่ต้องสงสัย ทั้งที่มีความสามรถขนาดนี้ทำไมถึงไม่ปรากฏในประวัติ ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนเองได้พบเจอเรื่องดีเข้าให้แล้ว และไม่นึกว่าจ่ายค่าทักซิโด้ไปแล้วจะมีโอกาสได้ฟังการบรรเลงเพลงที่ไพเราะอย่างนี้ ต้องบอกว่าการมาที่ภาคเหนือครั้งนี้คุ้มค่ามาก

โจวเว่ยและเว่ยชิงตื่นตะลึงกับเสียงอันไพเราะนั่นเหมือนกัน พวกเขาไม่นึกว่าหลี่ซานจะมีความสามารถทั้งสองต่างยกย่องเจ้านายในใจที่มองเห็นความสามารถของหลี่ซาน เจ้านายของพวกเขายอดเยี่ยมที่สุดแล้ว เสียงเพลงบรรเลงจบตามมาด้วยเสียงปรบมือดังก้องไปทั่วงาน หลี่ซานโค้งคำนับด้วยความรู้สึกโล่งอกแล้วลงจากเวที ตอนนี้เขาหายใจทั่วท้องแล้ว ทันทีที่เข้าไปในห้องก็ถูกนักเปียโนทั้งสองดึงให้นั่งลงที่เก้าอี้

“นี่ เธอไม่ได้โกหกใช่ไหมที่บอกว่าเพิ่งมีโอกาสได้เล่นที่นี่ครั้งแรก”

“ครับ” เขาตอบไม่เต็มปาก “ไม่เชื่อถามคนที่อยู่ในงานก็ได้”

“นี่มันเทพเกินไปแล้ว”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ” หลี่ซานเกาแก้ม ลูบใบหูหลบสายตาร้อนแรงของทั้งสอง อะไรมันจะดูน่าตื่นเต้นขนาดนั้น “ผมยังต้องฝึกฝนอีกเยอะ ยังมีบางโน้ตที่ยังเพี้ยนอยู่”

“ฉันขึ้นเวทีครั้งแรก ทั้งตื่นทั้งรนเล่นเพี้ยนไปตั้งเยอะ เสียงปรบมือยังไม่ดังเท่านี้เลย” หลิวอินคิดถึงประสบการณ์การแสดงครั้งแรกในชีวิตทั้งที่ผ่านมานานแต่ก็ลืมไม่เคยลืม ก่วงจู้พยักหน้าเห็นด้วย ทั้งสองชื่นชมฝีมือหลี่ซานได้ไม่นานก็เวลาทั้งสองสับเปลี่ยนขึ้นเวทีทั้งรู้สึกเกร็งทั้งกลัวว่าจะน้อยหน้าเด็กใหม่ ทั้งสองจึงเล่นให้เต็มที่ ผลประโยชน์เลยตกอยู่ที่คนฟัง

กุ่ยซีกับเพื่อน ๆ ที่รอดูหลี่ซานขายหน้า แต่สุดท้ายแล้วกลับเป็นเสียงปรบมือดังก้องและพูดชื่นชมอย่างลืมตัว พอได้สติพวกเธอก็รีบเก็บมือลง ความรู้สึกหงุดหงิดก็ตามมา ไม่รู้ว่าทำไมพวกเธอถึงได้ปรบมือไปพร้อมกับคนอื่นได้ พวกเธอไม่มีทางยอมรับเด็ดขาดว่าเพลงเมื่อครู่เพาะมาก กุ่ยซีรู้สึกตัว ที่ตั้งใจไว้ไม่เป็นอย่างที่ต้องการ เธอก็แทบระงับอารมณ์ไม่พอใจแทบไม่อยู่ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ ไม่สิถึงจะบอกว่าหลี่ซานเล่ยเปียโนได้แต่นี่มันเก่งเกินไปแล้ว หรือเธอจะเข้าใจผิดไปเอง เธอสูดอากาศเข้าปอดเพื่อปรับอารมณ์ ปล่อยมันไป แค่คนยากจนคนหนึ่งทำไมเธอต้องเอามาเป็นอารมณ์ด้วย ยังไงก็ไม่มีทางโคจรมาพบกันอีก คิดได้อย่างนั้นเธอก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น กลับมานั่งตัวตรง เชิดคางขึ้นพูดคุยกับเพื่อนตามเดิม

กวนซีที่เคยนับถือหลี่ซานยิ่งรู้สึกนับถือ เรียนเก่งไม่พอ ยังเล่นดนตรีเก่งอีก ยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว ซวนหยวนนั่งขมวดคิ้วในใจไม่อยากยอมรับทำไมเด็กยากจนคนหนึ่งทำไมถึงมีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีอย่างนี้ เขากำมือแน่นกลับไปจะลองเล่นดนตรีดู คนอย่างหลี่ซานเล่นเปียโนได้ทำไมเขาจะบ้างไม่ได้ บางทีอาจจะเล่นได้ดีกว่า

หลี่ซานบรรเลงสุดท้ายของตนเองแล้วก็ถึงเวลาพักกินอาหาร เขาใช้พลังงานไปเยอะพอสมควรโดยเฉพาะเพลงสุดท้ายเล่นเอานิ้วรู้สึกเจ็บขึ้นมา โชคดีที่เล่นจนจบได้ เสียพลังงานไปเยอะเขาจึงตักของกินใส่จานให้มากหน่อย ไม่สนสายตาถ้ามีใครจะมอง ตั้งแต่ที่หวนกลับมาอีกครั้งคืนนี้มีอาหารให้กินมากที่สุด ในที่สุดก็มีของกินให้กินจนอิ่มท้อง หลายวันมานี้นอนฟังเสียงท้องตนเองร้องทุกคืน และไม่ต้องกังวลว่าน้อง ๆ จะกินไม่อิ่ม กินหมดไปหนึ่งจานเขาก็กลับมาเติมอีกจาน ตบท้ายอีกจานด้วยผลไม้ล้างปากและช่วยย่อยบรรดาเนื้อที่ยัดลงไปในท้อง ปกติเคยแต่กินเรียบร้อยไม่มีซะละที่เกินมูมมามอย่างนี้ เขานั่งคิดถ้าชีวิตมีอิสระอย่างนี้ต่อไปก็คงดี หลี่ซานนั่งเหม่อใจลอยจนไม่รู้ว่ามีคนมานั่งข้าง ๆ

“เธอเล่นเปียโนได้ดีมาก” เสียงทุ้มดังขึ้น หลี่ซานหันมามองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พยายามนึกว่าเคยเจออีกฝ่ายที่ไหน พอจำได้ก็แปลกใจ “คุณ”

“ใช่ ฉันยังไม่ตาย”

“ไม่ใช่อย่างนั้น” หลี่ซานรีบยกมือขึ้นปฏิเสธ “ผมแค่ไม่นึกว่าจะได้เจอคุณอีก”

“ทำไม อะไรที่ทำให้เธอคิดอย่างนั้น”

หลี่ซานส่ายศีรษะไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอบยังไงดี ดูยังไงพวกเขาทั้งสองก็ไม่มีทางจะได้เจอกันอีก ครั้งแรกเป็นการพบเจอกันโดยบังเอิญเท่านั้น “คุณแอบเข้ามาในงานมากินข้าวฟรีเหรอ” โจวเว่ยที่อยู่ด้านไม่ไกลต้องกลืนน้ำลายไม่นึกว่าจะมีคนกล้าพูดอย่างนี้เจ้านาย เด็กนี่พูดจาไม่มีมารยาทเอาซะเลย เจ้านายไม่น่ามาเสียเวลากับคนอย่างนี้ ยังไงทั้งสองต้องพูดเตือนเจ้านาย

“ฉันดูเหมือน” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถาม

“ไม่คุณดูไม่เหมือนคุณแต่งตัวดูดีเกินไปที่จะทำอย่างนั้น แต่ผมแค่พูดให้คุณมีอารมณ์ขันเท่านั้น” ในใจคิดว่าถ้าอีกฝ่ายยิ้มคงดูดีมาก แล้วหลี่ซานก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด เมื่ออยู่ ๆ เขาก็ใช้นิ้วชี้นวดหว่างคิ้วให้อีกฝ่าย “ครั้งก่อนก็เห็นคุณทำหน้าเคร่งเครียดอย่างนี้”

หัวใจโจวเว่ยกับเว่ยชิงหล่นลงไปที่ตาตุ่ม ทั้งสองอยากจะร้องตะโกนห้ามหลี่ซานไม่ให้ทำอย่างนั้น แต่ก็ห้ามไม่ทันแล้ว ตายแล้วทั้งสองร้องในใจพร้อมกัน พวกเขากลัวว่าเจ้านายจะสั่งให้ทำร้ายอีกฝ่าย แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น ไม่มีท่าทางหรือร่องรอยความไม่พอใจปรากฏบนหน้าอีกชายหนุ่ม

หู่อันเฉิงเองก็แปลกใจที่ไม่ขัดขืนหรือขยับออก กลับปล่อยให้อีกฝ่ายสัมผัสหว่างคิ้ว สัมผัสอ่อนโยนแผ่วเบาเมื่อครู่ยังทิ้งรู้สึกอบอุ่นเอาไว้ ดวงตาสีเข้มจ้องหน้าอีกฝ่าย เด็กนี่ไม่กลัวเขาจริง ๆ เป็นครั้งแรกที่มีคนอื่นใกล้ชิดอย่างนี้ ริมฝีปากหนาโค้งขึ้นเล็กน้อย

ให้ตาย! โจวเว่ยอ้าปากตกใจไม่เชื่อว่าเจ้านายจะไม่โกรธหรือไม่มีท่าทางไม่พอให้เห็นกลับมีรอยยิ้ม เจ้านายกำลังยิ้ม ชายหนุ่มทั้งสองขยี้ตาตรงนี้ค่อนข้างมืดทำให้มองเห็นอะไรไม่ค่อนชัด พวกเขาต้องตาฝาดไปแน่ ๆ ใช่ต้องใช่

“ทำไม” หลี่ซานถามอย่างไม่เข้าใจ ในใจนึกถึงคนชั้นสูงไม่ชอบให้คนอื่นสัมผัสตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่แล้วยังไงเนื้อตัวอีกฝ่ายไม่ได้ทำมาจากทองซะหน่อย ถึงจะได้บุบสลาย “อย่าลืมนะว่าผมเป็นคนทำแผล เช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณกับมือ”

โจวเว่ยและเว่ยชิงตกตะลึงมองสลับหลี่ซานกับเจ้านายเกิดอะไรขึ้น ทั้งสองมีความสัมพันธ์ยังไงกัน ขนาดที่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้กันความสัมพันธ์นี้ไม่ธรรมดาแล้ว มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมพวกเขาถึงไม่รู้เรื่อง

หู่อันเฉิงไม่ได้เป็นโรครักสะอาด แค่ไม่ชอบเข้าใกล้คนที่ไม่คุ้นเคย ส่วนคนที่คุ้นเคยกลับไม่ค่อยเข้าใกล้เขา ชายหนุ่มมองไปที่นิ้วอีกฝ่าย “นิ้วเธอเจ็บ” นิ้วเรียวลูบข้อนิ้วที่บวมแดงขึ้นเล็กน้อยอย่างสนใจ สัมผัสเบา ๆ ทำให้หลี่ซานรู้สึกจักจี้

“อืม เป็นเพราะเพลงสุดท้ายเล่นเอาผมแทบแย่เหมือนกัน” ไม่รู้ทำไมหลี่ซานรู้สึกว่าคุยกับอีกฝ่ายแล้วรู้สึกสบายใจ ไม่ต้องปิดบังตนเอง คงเพราะเป็นแค่คนที่ผ่านมา ไม่นานก็จากไปไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก พูดคุยมากหน่อยก็ไม่เป็นไร

“รักษามือให้ดี ฝึกฝนเยอะ ๆ”

“คุณจะไปแล้ว” เพิ่งจะคุยกันได้ไม่เท่าไหร่

“อืม” ชายหนุ่มดูปฏิกิริยาท่าทางของอีกฝ่าย เห็นแววตาที่รู้สึกเสียดาย ในใจกำลังรอคอยว่าอีกฝ่ายพูดอะไรออกมา แต่ก็ไม่มคำพูดอะไรออกมาจากปากอีกฝ่าย นี่เขากำลังรอคอยอะไรอยู่ ชายหนุ่มจึงหันหลังเดินออกมาจากตรงนั้น

“เดินทางปลอดภัย” หลี่ซานโบกมือให้แผ่นหลังตรงที่ห่างออกไป ในใจรู้สึกแปลก ๆ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ คนที่ฐานะต่างกันอย่างนี้คงไม่ต้องเจอกันจะดีที่สุด

หลี่ซานเพิ่งเห็นว่ามีคนอื่นยืนอยู่ด้วยก็แปลกใจที่ไม่รู้ตัว โจวเว่ยและเว่ยชิงพยักหน้าให้หลี่ซานเล็กน้อยก่อนเดินตามเจ้านายไปเงียบ ๆ ดึกแล้วคนสำคัญของงานอย่างหู่อันเฉิงขอตัวกลับก่อน ชายหนุ่มกลัวว่าวันต่อมาจะมีเรื่องยุ่งยากเขาจึงออกเดินกลับเมืองหลวงในคืนนั้น ในใจกลับรู้แปลก ๆ เหมือนหลงลืมของบางอย่างไว้ จนต้องหันกลับไปมอง แต่ก็เห็นแค่แสงสว่างจากเมืองขนาดเล็กที่อยู่ข้างหลังเท่านั้น เขาคิดว่าไม่ช้าก็เร็วต้องได้เจอคนที่รบกวนความรู้สึกนี่อีกครั้ง

“เจ้านายทำไมไม่พาคุณหลี่ซานไปด้วยครับ” โจวเว่ยติดตามเจ้านายมานานเข้าใจความรู้สึกของนายอยู่บ้างว่ากำลังคิดอะไรอยู่ อุตส่าห์พบเจอคนที่ถูกใจดูไม่สมเป็นเจ้านายเลย

“นายคิดว่าเขาต้องการ”

“เอ่อ บางทีเพราะคุณหลี่ซานไม่รู้ว่าเจ้านายเป็นใคร” ถ้ารู้ว่าเจ้านายมีอำนาจ มีเงินทองมากมายต้องรีบตามมาแน่นอน จะมีสักกี่คนที่ไม่ชอบของพวกนี้

“หึ หึ” ชายหนุ่มหัวเราะกับความคิดของอีกฝ่าย “เขาพิเศษกว่าคนอื่น” คำว่าพิเศษออกจากปากหู่อันเฉิงทำให้โจวเว่ยกับเว่ยชิงต้องลอบมองตากันอย่างข้องใจ เจ้านายไม่เคยมองใครพิเศษมาก่อน เกือบไปแล้วทั้งสองเกือบลงมือทำร้ายหลี่ซานไปแล้ว

หู่อันเฉิงมองออกไปด้านนอกที่เห็นแต่ความมืด “ฉันให้ของบางอย่างกับเขา หากเขาต้องการให้ช่วยอะไรสามารถขอร้องได้แต่เขากลับเงียบไม่พูดถึงมันแม้แต่น้อย” ได้ยินเรื่องของบางอย่างทั้งสองถึงกับสูดหายใจ พวกเขาไม่รู้ว่าของนั่นสำคัญมากขนาดไหนแต่สามารถขอร้องให้เจ้านายให้ความช่วยเหลือได้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน แต่ทำไมหลี่ซานถึงได้ปฏิเสธหรือไม่เชื่อในความสามารถของเจ้านาย “ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานเราจะได้พบกันอีก” ไม่รู้เพราะอะไรแต่ความรู้สึกบอกไว้อย่างนั้น

หลังงานเลี้ยงสิ้นสุดลงหลี่ซานได้รับซองค่าตอบแทน เขาดีใจมากแทบจะเปิดซองออกมานับตรงนี้เลย คนที่จ่ายค่าตอบแทนยังบอกว่ามีแขกหลายท่านให้ทิปมาบอกว่าชื่นชอบฝีมือของเขามาก หลี่ซานได้ยินอย่างนั้นก็สบายใจ เขายังหน้าด้านขออาหารที่เหลือในงานไปฝากน้อง ๆ ของเหลือเจ้าของงานก็ไม่ได้หวงอะไร อีกอย่างหลี่ซานก็ทำให้เจ้านายของเขาอารมณ์ดีจึงให้คนช่วยห่ออาหารให้ หลี่ซานคิดว่าการมางานคืนนี้เขาได้ประโยชน์มากกว่าที่คิด ก่อนแยกย้ายกันหลิวอิน ก่วงจู้ยังไม่ลืมบอกให้หลี่ซานเข้าเมืองหลวงไม่แข่งขันเล่นเปียโนก็ไปทดสอบวัดระดับก็ยังดีทั้งสองรู้สึกเสียดายคนมีความสามรถที่ต้องมาอยู่ในเมืองเล็กในภาคเหนืออย่างนี้ ทั้งสองอยากให้เด็กหนุ่มออกไปหาประสบการณ์ หลี่ซานรับปากว่าต้องไปแน่นอนเมืองหลวง

หลินอินกับก่วงจู้มองคลื่นลูกใหม่ที่กำลังวิ่งไล่หลังพวกเขามาแบบหายใจรดต้นคอ เห็นทีว่าคราวนี้วงการนักเปียโนคงมีอะไรน่าสนใจในอีกไม่นาน

“คราวนี้กลับไปเมืองหลวงคงมีเรื่องไปอวดเพื่อนเก่าว่าได้เจอของดีเข้า”

“ฉันเองก็หวังเจ้าเด็กนั่นจะยอมเมืองหลวงสักครั้ง”

ครูเหม่ยหลี่มารับเขาตรงประตูด้านหลังที่เดิมที่มาส่ง คุณครูเห็นหลี่ซานหอบอะไรมาไม่รู้เต็มไม้เต็มมือ หลี่ซานยิ้มเขินบอกว่าเป็นอาหารที่เหลือในงาน ครูสาวเข้าใจความลำบากของครอบครัวอีกฝ่ายไม่ได้ว่าอะไร ขึ้นรถเรียบร้อยทั้งสองก็ตรงไปที่หอพักนักเรียน หอพักมีไว้สำหรับนักเรียนที่ไปทำกิจกรรม ปกติจะมีนักเรียนหลายคนมาพักและดูวุ่นวาย คืนนี้กลับดูเงียบวังเวง เขารื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ผ้าเช็ดตัวออกจากกระเป๋าแล้วเดินเข้าห้องน้ำรวม อาบน้ำทำธุระส่วนตัวอย่างรวดเร็วแล้วกลับมาห้องพักมานั่งลุ้นซองกับทิปว่าจะจำนวนเท่าไหร่ ค่อย ๆ เปิดซองออกอย่างระมัดระวังกลัวว่าเงินที่อยู่ข้างในพวกมันจะตกใจจนลดจำนวนลง หนึ่ง สอง สาม.. หลี่ซานตั้งอกตั้งใจนับเงินแต่ละใบ ค่าจ้างคืนนี้ทั้งหมด 30,000 เหรียญ ส่วนค่าทิปอีก 50,000 เหรียญ น่าตลกที่ค่าทิปได้เยอะกว่า หลี่ซานเอนตัวนอนบนเตียงใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม เล่นเปียโนไม่กี่ชั่วโมงก็ได้เงินมาเกือบแสน บวกกับค่าทุนการศึกษาที่ได้รับมาครั้งล่าสุดตอนนี้เขามีเงินประมาณ 150,000 เหรียญ เงินจำนวนนี้ใช้จ่ายอยู่ที่นี่อย่างประหยัดได้นานหลายปี แต่จะมีโอกาสดีอย่างนี้บ่อยที่ไหน เมืองหลวงถ้าไปเรียนที่นั่นเงินจำนวนนี่ใช้จ่ายค่าเข้าเรียน ค่าหน่วยกิจ ค่าที่พักและค่ากิน อย่างมากก็อยู่ได้แค่ปีเดียว หลี่ซานหันไปมองสูทราคาพงที่แขวนไว้ถ้าไม่มีทางเลือกก็อาจนำสูทชุดนี้ไปขายได้ ในเมื่อมันเป็นของเขาแล้วจะใส่หรือจะขายก็เป็นสิทธิ์ของเขา ในตอนนี้เขาไม่ลังเลที่จะเข้าไปเรียนที่เมืองหลวงแต่ที่ลังเลคือจะหลบหนีจากพวกค้ามนุษย์ยังไง เขารีบรวบรวมเงินใส่กระเป๋าใบเล็กที่ห้อยไว้ติดตัวตลอด ยังมีสร้อยคอนี่ถ้าไม่ทางเลือกจริงเขาอาจจะไปขอช่วยเหลือของานทำ ตระกูลใหญ่คงมีงานสักตำแหน่งให้เขาทำ เหน็ดเหนื่อยมาหลายวัน เห็นผลความสำเร็จเป็นเงินจำนวนหนึ่งหลี่ซานก็หลับสนิท ตื่นเช้าอีกวันก็ไปเคาะประตูเรียกครูเหม่ยหลี่แต่เช้าบอกว่าเขาจะกลับบ้านแล้วและขอบคุณที่ให้ความช่วยเหลือ จากนั้นก็แวะซื้อของสดกลับบ้าน ถ้าทุกคนเห็นต้องดีใจแน่นอน

หลี่ซานกลับถึงในตอนสาย เขาเอากับข้าวที่ได้มาจากงานมาอุ่นให้น้องทั้งสองคนกิน หลี่ซื่อกับหลี่อู่ไม่เคยกินกระเพาะปลาอร่อยอย่างนี้มาก่อน ปลานึ่งซีอิ๋วตัวโตเนื้อทั้งนุ่มทั้งหวาน ยังมีไก่อบน้ำผึ้งทั้งตัว

“พี่ซานของกินพวกนี้อร่อยมาก” เด็กตัวผอมในปากเต็มไปด้วยเนื้อไก่ มือข้างหนึ่งถือน่องไก่

“ใช่พี่ไปเอามาจากไหน”

“พี่ไปช่วยงานคุณครูเหม่ยเมื่อคืนนั่นไง ถึงได้เอาของอร่อยมาฝาก” หลี่ซานลูบหัวน้องทั้งสองอย่างเอ็นดู เห็นทั้งสองกินอย่างอร่อยเขาก็ความสุข

หลี่เม่ยมองภาพสามพี่น้องกำลังพูดคุยกัน เธอกลับมีความคิดมากมายเกิดขึ้นในใจ

หลี่ซานนั่งยังก้นไม่ทันร้อนเจ้าอ้วนก็มาหาที่บ้านชวนไปตกปลาที่บึงท้ายหมู่บ้าน หลี่ซานไม่ถนัดเรื่องพวกนี้ทำได้แค่เดินตามเจ้าอ้วนไป และหาที่นั่งหลบแดด เจ้าอ้วนใส่เหยื่อที่ทำจากปลายข้าวผสมอะไรลงไปหลายอย่างจนมีกลิ่นแปลก ๆ จากนั้นก็ทิ้งเบ็ดลงไป เจ้าอ้วนทำทุกอย่างอย่างชำนาญ ทำอย่างนี้อยู่สองสามครั้ง เบ็ดไม้ไผ่โค้งโกงเรียงรายอยู่ริมฝั่งอยู่หลายคัน ที่เหลือก็แค่นั่งรอปลาโง่มาหุบเหยื่อ ทั้งสองนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่เงียบ ๆ หลี่ซานคิดว่าเจ้าอ้วนคงมีเรื่องจะคุยด้วยอีกฝ่ายแค่เอาเรื่องมาตกปลาเป็นข้ออ้าง

“ได้ยินว่านายไปช่วยงานคุณครูเหม่ยอีกแล้ว”

“อืม” นั้นไงมาแล้ว

“นายตัดสินใจแล้วว่าจะไปเรียนต่อ”

หลี่ซานรู้สึกผิดคาด เขาคิดว่าเจ้าอ้วนอาจจะทะเลาะกับพี่ไม่ก็น้อยใจแม่ ไม่นึกว่าจะเรื่องเกี่ยวกับเขา “ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดฉันอยากไปเรียนต่อที่นั่นดู”

“ตอนนี้นายเก็บเงินได้เท่าไหร่แล้ว”

“ฮือ” หลี่ซานไม่เข้าใจคำถามเจ้าอ้วน

“เอ่อ ฉันมีเงินเก็บจำนวนหนึ่ง บางทีอาจจะช่วยเหลือนายได้บ้าง”

หลี่ซานกระพริบตาปริบ ๆ จ้องหน้าเจ้าอ้วน เจ้าอ้วนรู้สึกเขิน “อะไรล่ะ ฉันแค่ไม่อยากให้นายต้องมาอยู่ในที่แบบนี้ ฉันเสียดายความรู้ความสามารถของนายก็เท่านั้น”

หลี่ซานรู้สึกซาบซึ้ง เจ้าอ้วนเป็นเพื่อนที่จริง ๆ “ขอบใจ แต่..”

“เป็นเงินของฉันเองไม่ได้รบกวนใคร อีกอย่างฉันคงไม่มีโอกาสได้ไปเรียนที่นั่นนายก็ช่วยเรียนเผื่อฉันด้วย ถ้านายทำงานมีเงินแล้วค่อยคืนฉัน ไม่ก็พาฉันไปเที่ยวเมืองหลวงสักครั้ง จะได้เอาคุยกับเพื่อนคนอื่นได้” เจ้าอ้วนแสดงสีหน้าแววตามุ่งมั่น จนหลี่ซานแปลกใจ

หลี่ซานไม่รู้เลยว่าเมื่อหลายวันก่อนเจ้าอ้วนเข้าไปในเมืองกับแม่ บังเอิญไปได้ยินเพื่อนโรงเรียนเก่าพูดดูถูกหลี่ซานเข้า เด็กยากจนคนหนึ่งจะมีปัญญาอะไรไปเรียนต่อได้ เขาเก็บคำพูดดูถูกนั้นแล้วมานั่งคิด เขาเคยคิดมาตลอดว่าหลี่ซานคือตัวแทนของเด็กยากจน หลี่ซานทั้งเรียนดี กิจกรรมก็ไม่เป็นรอง เจ้าอ้วนมองตนเองถึงเขาจะมีฐานะดีแต่สมองก็พอใช้ได้เท่านั้น คืนนั้นเจ้ากลับมาถึงบ้านนั่งคิดอะไรหลายอย่าง แล้วก็หันไปมองที่กระปุกเงินที่อยู่บนชั้นเขาเขย่าดูข้างในเหมือนจะมีเงินไม่เท่าไหร่ แต่จำได้ว่ายังมีเงินฝากในธนาคาร เขาทำการรื้อค้นห้องเป็นการใหญ่ในที่สุดก็เจอ ในสมุดบัญชีมีเงินอยู่จำนวนหนึ่ง คิดว่าเก็บเงินพวกนี้เก็บไว้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรมากมาย ถ้าหมดแล้วยังหาใหม่ได้ เขาจึงตัดสินใจจะเอาเงินจำนวนนี้มาช่วยสนับสนุนความฝันหลี่ซานและความฝันครึ่งหนึ่งของเขาให้เป็นจริงขึ้นมา จึงได้นำเรื่องนี้มาคุยกับหลี่ซาน

“ได้สิ” หลี่ซานพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและมั่นใจ

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว