แคว้นไห่อี้ปีหนึ่งร้อยสามสิบสอง เดือนห้า ยามจื่อ
เสียงเด็กทารกร้องดังออกมาจากด้านในตำหนักใหญ่ ผู้คนที่เดินขวักไขว่อยู่ด้านนอกพากันหยุดชะงักหลายคนพยายามสอดส่ายสายตามองเข้าไป หลายคนลอบถอนหายใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก นางกำนัลแต่งกายด้วยชุดสีม่วงนางหนึ่งเดินออกมา กล่าวด้วยรอยยิ้มต่อหน้าผู้คนที่รายล้อม
“ยินดีกับท่านชายฉี เป็นองค์หญิงน้อยเพคะ”
องค์หญิง! เมื่อได้ยินข่าวดีนี้คนที่รอคอยนอกตำหนักต่างก็ปลาบปลื้มยินดีกันถ้วนหน้า
แคว้นไห่อี้มีธรรมเนียมพิเศษแตกต่างจากแคว้นอื่น คือสตรีเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดและเป็นผู้ที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้น
รัชสมัยของฮ่องเต้หญิงองค์ปัจจุบัน เป็นฮ่องเต้ที่ทุ่มเททำงานเพื่อแคว้นอย่างหนัก และเป็นมารดาของหนึ่งองค์หญิงสององค์ชาย แต่องค์หญิงใหญ่ร่างกายไม่แข็งแรง ป่วยไข้เรื้อรังมาตั้งแต่เกิด ซ้ำหมอหลวงยังบอกว่าน่าจะอายุไม่ยืนอีกด้วย ดังนั้นการถือกำเนิดขององค์หญิงใหม่ในวันนี้จึงเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งของแคว้นไห่อี้ ทั่วหล้าจึงเฉลิมฉลองด้วยความสุข
ผู้ที่ยินดีมากสุดคงหนีไม่พ้นฉีจื้อที่ยืนรอคอยอย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อยอยู่หน้าประตูตำหนักใหญ่ เขาสวมอาภรณ์สีน้ำเงิน รูปร่างสูงโปร่ง ท่าทางสุภาพนุ่มนวล ใบหน้าหล่อเหลาประดับรอยยิ้มยินดี หลายปีที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างเขาและฮ่องเต้หญิงถือว่าไม่เลว ทว่าไม่เคยกล้าเพ้อฝันว่าจะมีบุตรสาวร่วมกับฮ่องเต้หญิงได้ วันนี้ไม่เพียงฝันจะเป็นจริง ยังทำให้แคว้นไห่อี้ได้องค์หญิงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน จะไม่ให้หัวใจเขาเต็มตื้นได้อย่างไร ฉีจื้อไม่สนใจเสียงแสดงความยินดีที่ดังอยู่ด้านหลัง เขารีบเดินเข้าไปใกล้ประตูตำหนัก ตอนนี้เขาคิดอยากจะพบฮ่องเต้หญิงและบุตรสาวของตนเท่านั้น
ภายในตำหนักใหญ่ นางกำนัลกำลังช่วยพยุงซีเลี่ยชิงหัวนั่งลงบนเก้าอี้ช้าๆ แม้สีหน้าฮ่องเต้หญิงยังคงซีดขาว หน้าผากเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ทว่ากำลังใจดีเยี่ยม ข้ารับใช้ที่อยู่ข้างกายรีบนำผ้าไหมสีขาวจุ่มน้ำอุ่นซับให้ตามร่างกาย เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย นางกำนัลจึงรับองค์หญิงน้อยจากหมอหลวงมาส่งให้อย่างทะนุถนอมและนอบน้อมยิ่ง
“องค์หญิงเพคะฝ่าบาท”
ซีเลี่ยชิงหัวยกมือขึ้นช้าๆ ส่งสัญญาณให้คนข้างกายถอยออกไป “อุ้มนางเข้ามา”
“เพคะ” นางกำนัลที่อุ้มองค์หญิงน้อยอยู่รีบหันใบหน้ากระจ้อยร่อยให้ฮ่องเต้หญิงได้มองเห็นชัดถนัดตา
ทารกน้อยก็แสนรู้นัก ดวงตาคู่เล็กที่เดิมปิดอยู่ก็ค่อยๆ ลืมขึ้นมา ดวงตาดำขลับจับจ้องซีเลี่ยชิงหัว แววตาเป็นประกายสดใส ช่างน่ารักที่สุด
ซีเลี่ยชิงหัวที่ปลื้มปีติอยู่แล้วยิ่งปลาบปลื้มขึ้นไปอีก นางยื่นมือรับบุตรสาวมาแนบอก ทารกน้อยไม่มีท่าทางตื่นคน ตั้งแต่คลอดออกมาทารกน้อยส่งเสียงร้องเพียงสองครั้ง จากนั้นก็นอนนิ่งไม่งอแง
“ฝ่าบาท” ฉีจื้อยืนอยู่หน้าประตู แม้ในใจอยากจะวิ่งเข้ามาดูหน้าบุตรสาว แต่เมื่อไม่ได้รับอนุญาตย่อมไม่อาจก้าวเท้าเข้าไปได้
พอได้ยินเสียงอ่อนโยนคุ้นหู ซีเลี่ยชิงหัวก็รู้ว่าผู้ใดที่กระวนกระวายรออยู่ด้านนอก จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เข้ามาดูบุตรสาวที่ว่าง่ายของเราเถิด” ตลอดเวลานางปรารถนาจะมีบุตรร่วมกับฉีจื้อ ลูกน้อยที่เหมือนเขาคงเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน ใสซื่อ มีเมตตาธรรมและเข้าอกเข้าใจผู้อื่น เสี้ยวจังหวะที่ก้มมองทารกหญิงตัวน้อยในอ้อมกอดก็ถือว่านางสมปรารถนาแล้ว
ยังไม่ทันสิ้นเสียงฉีจื้อก็เดินเข้ามาหยุดยืนข้างกาย เขาก้มมองเด็กน้อยที่ถูกห่ออยู่ในผ้าแพรแดง ผิวหนังสีแดงย่นยู่ซ่อนอยู่ในผ้า ดวงตาดำขลับแวววาวพราวระยับ พอเด็กน้อยมองเห็นเขาก็ส่งสายตาเป็นประกายจ้องกลับมา ผู้เป็นบิดาเห็นแล้วยิ่งตื่นเต้นยินดี
ฉีจื้อยื่นมือไปลูบไล้ใบหน้าน้อยๆ อ่อนนุ่ม “นางช่างคล้ายฝ่าบาทยิ่งนัก” โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น
คล้ายว่าทารกน้อยเข้าใจคำพูดของบิดาจึงกะพริบตาปริบๆ ทั้งอ้าปากเล็กๆ ที่ไม่มีฟัน ทำท่าคล้ายจะหัวเราะ หัวใจผู้เป็นพ่อเป็นแม่ยิ่งพองโตด้วยความสุข
“ขุนนางฝ่ายพิธีการ”
“เพคะ” ผู้ถูกเรียกคุกเข่าลง ในมือถือหนังสือแต่งตั้งคอยรับคำสั่ง
ซีเลี่ยชิงหัวส่งลูกน้อยให้ฉีจื้อ ครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ออกคำสั่งด้วยเสียงดังกังวาน
“นับจากนี้องค์หญิงน้อยจะมีนามว่า ‘เย่’ รับบรรดาศักดิ์เป็นเซิงอ๋อง”
ให้ชื่อว่า ‘เย่’ ด้วยในใจคนเป็นแม่คาดหวังให้ชีวิตวันหน้าของลูกน้อยเปล่งแสงพร่างพราวสุกสกาวดั่งจันทรา
“เพคะ” ขุนนางฝ่ายพิธีการสะบัดพู่กันบันทึกคำสั่งอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนฮ่องเต้หญิงจะโปรดปรานองค์หญิงน้อยคนใหม่มาก เพราะตั้งแต่โบราณมาโอรสธิดาที่ถือกำเนิดในราชวงศ์ก็มีไม่มากอยู่แล้ว ยิ่งองค์หญิงน้อยที่เพิ่งถือกำเนิดก็ได้รับตำแหน่ง ‘อ๋อง’ เลยนั้นแทบจะไม่มี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในราชวงศ์ซีเลี่ยก็ไม่เคยมีมาก่อน
ฉีจื้อแม้จะไม่ถึงกับตื่นตะลึงกับคำสั่งนี้แต่ก็ตกใจอยู่ไม่น้อย เขารีบคุกเข่าลงพร้อมองค์หญิงน้อยในอ้อมแขน
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ภายในตำหนักใหญ่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่และบรรดานางกำนัลต่างคุกเข่าลงแล้วเปล่งเสียงอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ยินดีกับฝ่าบาทเพคะ ยินดีกับเซิงอ๋องเพคะ ยินดีกับท่านชายฉีเพคะ”
ซีเลี่ยชิงหัวไม่อยากฟังเสียงอวยพรอื้ออึงต่อไป เพราะตอนนี้นางเพลียมาก จึงยกมือขึ้นพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“พอแค่นี้เถอะ ออกไปได้แล้ว”
เหล่านางกำนัลและขุนนางรีบถวายความเคารพแล้วพากันออกจากตำหนักใหญ่อย่างรวดเร็ว ส่วนฉีจื้อก็อุ้มองค์หญิงน้อยก้าวตามฮ่องเต้หญิงเข้าสู่ด้านในตำหนัก
เย่เอ๋อลูกพ่อ เจ้าอย่าทำให้เสด็จแม่ผิดหวังเล่า
เหมันต์มาเยือน
แม้จะเป็นต้นฤดูแต่ลมหนาวที่พัดโชยเอื่อยก็ยังทำให้ผู้คนอดที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้
เงาทอดยาวของร่างเล็กในชุดสีฟ้าคราม ยืนท้าลมหนาวที่โบกสะบัดบนกิ่งไม้ใหญ่ แม้จะมีอายุเพียงเก้าขวบแต่เด็กหญิงกลับมีร่างกายคล่องแคล่วปราดเปรียวด้วยฝึกวรยุทธมาสามปีแล้ว นางกำนัลที่อยู่ด้านหลังต้องวิ่งตามด้วยความยากลำบาก ร่างน้อยๆ นี้ช่างทำให้คนขวัญผวาโดยแท้ ด้านหลังมีเสียงโอดครวญดังแว่ว
“เซิงอ๋องทรงวิ่งช้าหน่อยเพคะ”
เด็กหญิงเหินร่างลงบนสวนหย่อมในอุทยานบุปผาของฝ่ายใน เสียงต่อยตียังคงดังให้ได้ยิน ซีเลี่ยเย่ตะโกนถามเสียงก้อง
“ทำอะไรกันอยู่?”
เมื่อปรับการหายใจเป็นปกติแล้ว ซีเลี่ยเย่กระโดดเข้าไปในพงหญ้า ยืนจ้องกลุ่มเด็กหนุ่มอายุราวสิบสี่ถึงสิบห้าปีตรงหน้าอย่างเย็นชา
ข้ารับใช้ที่ยืนรายล้อมตกใจหน้าซีดเผือดตั้งแต่ได้ยินเสียงตะโกนถาม พอหันมาเห็นเด็กหญิงก็ยิ่งเหงื่อออกจนตัวเย็นเข่าอ่อน รีบคุกเข่าลงกับพื้น
“ถวายบังคมเซิงอ๋อง”
ทำไมพวกตนอับโชคต้องมาเจอเซิงอ๋องวันนี้ด้วย องค์หญิงน้อยเป็นที่รักของฮ่องเต้หญิงอย่างที่สุด นางจึงทั้งถือดีและดุร้าย พวกตนเป็นข้ารับใช้องค์ชายใหญ่ กับผู้อื่นไม่เคยเกรงกลัว แต่ไม่ใช่กับเซิงอ๋องคนนี้
ซีเลี่ยเย่ไม่คิดจะชำเลืองมองคนที่คุกเข่าเบื้องหน้า ค่อยๆ สาวเท้าไปหาเด็กหนุ่มรูปงามคนหนึ่งที่ยืนส่งยิ้มจืดเจื่อนมาให้
“พี่ใหญ่ ทำไมมีเวลาว่างมาชมดอกไม้ได้เล่า?”
สวรรค์! ฤดูเหมันต์จะมีดอกไม้ได้อย่างไร แต่คนถูกเรียกเป็นพี่ใหญ่ยังจะกล้ากล่าววาจาใดได้ ทำได้เพียงลูบจมูกตนเองคล้ายแก้เก้อ ถามเสียงเบา
“น้อง...น้องหญิงมาชมดอกไม้เหมือนกันหรือ”
“ใช่แล้ว” เด็กหญิงไม่สนใจคนเป็นพี่ที่ยืนหลบตาก้มหน้า แต่หันไปมองร่างที่นอนตัวงอหอบหายใจแรงอยู่กับพื้น เด็กหญิงแสร้งถามเสียงใสซื่อ
“พี่ใหญ่กำลังทำอะไรอยู่หรือ?”
ซีเลี่ยซิวหรงสะดุ้งหน้าตาตื่น รีบเข้าไปประคองเด็กหนุ่มบนพื้นให้ลุกขึ้น แล้วแสร้งหัวเราะเสียงดัง
“พี่ใหญ่กับซิวจือเล่นกันอยู่”
ซวยจริง! ถูกซีเลี่ยเย่มาเห็นเสียได้ แม้บิดาของซีเลี่ยซิวจือจะถูกตราหน้าว่าเป็นตัวหายนะของฝ่ายใน แต่หากเสด็จแม่ยังมิได้มีคำสั่งออกมา แล้วรู้ว่าเขาทำสิ่งใดลับหลัง เกรงว่าเรื่องคงจะยุ่งยากไม่น้อย
“เล่นกันหรือ...” ซีเลี่ยเย่ลากเสียงยาวที่ทำให้คนฟังขนลุก “พวกท่านชอบเล่นกันอย่างนี้หรือ เช่นนั้นข้าเล่นกับพี่ใหญ่บ้างได้ไหม” พูดจบเด็กหญิงก็ถลกแขนเสื้อขึ้นท่าทางจริงจัง เดินยิ้มเข้าหาซีเลี่ยซิวหรง
เด็กหนุ่มจะลืมได้อย่างไรว่าซีเลี่ยเย่ก็คือปีศาจน้อยตนหนึ่ง! คนเป็นพี่ถอยหลังอย่างลนลาน ส่ายหน้าไปมา สีหน้าฉายความหวาดกลัว
“ไม่ๆๆๆ เล่นอย่างนี้ไม่สนุกหรอก”
เขารู้ว่าเสด็จแม่จัดหาอาจารย์มาสอนวิทยายุทธ์ให้น้องสาวคนนี้ แล้วเขาจะเอาอะไรไปสู้ด้วยเล่า พวกข้ารับใช้ที่นั่งตัวสั่นก้มหน้างุดก็ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นมาสู้ด้วยแน่
ซีเลี่ยเย่กลอกตามองพี่ชายอย่างเอือมระอา “ในเมื่อพี่ใหญ่ก็รู้สึกว่าไม่สนุก ถ้าหลังจากนี้ยังจะชวนพี่รองเล่นอีก ครั้งหน้าข้าจะมาเล่นกับท่านเอง!”
ซีเลี่ยซิวหรงกลืนน้ำลายลงคอเสียงดังอึกใหญ่ อำนาจของน้องสาวคนนี้ทำให้ผู้คนตกตะลึง นางดูคล้ายกับเสด็จแม่มาก
“ได้ๆ ตกลง จริงสิ ท่านอาจารย์คอยตรวจการบ้านของข้าอยู่ ข้าต้องไปแล้ว” ซีเลี่ยซิวหรงพูดจบก็รีบวิ่งออกไปจากพงหญ้า ข้ารับใช้ที่คุกเข่าอยู่แทบจะทั้งกลิ้งทั้งคลานตามไปติดๆ
เมื่อคนทั้งกลุ่มจากไปแล้ว ซีเลี่ยซิวจือจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก ใบหน้าโดนต่อยตีจนบวมช้ำไปหมด เสื้อผ้าสีขาวเปื้อนเป็นคราบสกปรกดูแทบไม่ได้ ซีเลี่ยเย่ไม่เข้าไปพยุง เพียงมองอีกฝ่ายลุกยืนด้วยตนเอง
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
ซีเลี่ยซิวจือก้มปัดฝุ่นตามเสื้อผ้าออก เขาถูกต่อยจนใบหน้ายับเยินแทบมองเค้าหน้าเดิมที่เคยหล่อเหลาคมคายไม่ออก ทว่าน้ำเสียงเฉยชานัก
“ข้าไม่เป็นไร”
ซีเลี่ยเย่จ้องเงาด้านหลังที่เดินขากะเผลกจากไป อดไม่ไหวถลึงตาใส่อีกฝ่าย เขาและบิดาของเขาช่างเหมือนกันนัก ชอบเป็นฝ่ายโดนรังแกอยู่เสมอแล้วก็เอาแต่ยิ้ม!
เชอะ สมควรแล้วที่ถูกใส่ร้าย สมน้ำหน้านักที่โดนรังแก!
เพราะเห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนี้ ในใจจึงอดสงสัยไม่ได้ เด็กหญิงตะโกนถามไล่หลัง “ท่านจะทนให้คนอื่นเหยียดหยามไปตลอดรึ?”
ซีเลี่ยซิวจือไม่หยุดฝีเท้าแม้สักก้าว ยังคงเดินต่อไปอย่างมุ่งมั่น จนเงาด้านหลังเกือบลับสายตา จึงมีเสียงตอบกลับมา
“ซิวจือเหลือเวลาอีกไม่มาก เรื่องของข้ามีอะไรน่าสนใจกัน น้องหญิงอย่าเปลืองแรงอีกเลย” ด้วยเหตุที่ท่านพ่อของเขารูปงามและโดดเด่น ‘เกินไป’ ถึงได้อยู่เคียงคู่กับเสด็จแม่ แต่เขากลับคิดว่ารูปโฉมที่งดงามมักมาพร้อมกับความโชคร้าย เขาไม่อยากมีใบหน้าหล่อเหลาเลยสักนิด สำหรับเขาแล้วสิ่งนี้ช่างเป็นสิ่งอัปมงคลนัก
ซีเลี่ยเย่ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “ท่านไม่ถึงตายหรอก เสด็จแม่ต้องจัดการได้แน่ รักษาชีวิตของท่านไว้ให้ดีเถอะ”
นี่เป็นการใส่ร้ายกัน เสด็จแม่ดูออกอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้พัวพันหลายคนเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะเกี่ยวข้องกับเฝ่ยซีรั่ว--ผู้ดำรงตำแหน่งโฮ่วจู่1 จึงต้องหาหลักฐานมายืนยันความบริสุทธิ์ ซึ่งคงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่
แต่ซีเลี่ยซิวจือก็ยังคงเดินจากไป เด็กหนุ่มไม่มีความตื่นเต้น ไม่สนใจจะหันมาถาม
เด็กหญิงยกยิ้มถูกใจ ถ้าเขาไม่ใช่คนที่สงบเยือกเย็นและงดงามเช่นนี้ บางทีนางก็คร้านที่จะช่วยเหลือเขาแล้ว ครู่หนึ่งซีเลี่ยเย่ก็เดินจากไปอีกทาง
อุทยานกลับสู่ความเงียบสงบ
พลันเสียงหวานใสพร้อมรอยยิ้มบางเบาก็ดังขึ้น “ยินดีกับฝ่าบาทด้วยนะเพคะ”
หลังพุ่มไม้เขียวชอุ่ม มีสตรีนางหนึ่งในชุดเสื้อแพรสีน้ำเงินปักดิ้นทองยืนอยู่ ท่าทีฉายชัดถึงความน่าเกรงขามและสูงศักดิ์ นางหันไปยิ้มให้หญิงสาวที่กำลังเดินตรงมา
“สี่ฉง เจ้าก็มาด้วยหรือ?”
หญิงสาวเจ้าของชื่อเดินเข้ามาสมทบกับฮ่องเต้หญิงที่เฝ้าแอบมองเหตุการณ์ทั้งหมด ตัวนางเองก็มองตามทิศที่ซีเลี่ยเย่สาวเท้าจากไป น้ำเสียงมีความยินดี
“แคว้นไห่อี้มีทายาทสืบทอดแล้ว”