จอมใจของนายทมิฬ (มี e-book)

ตอนที่สิบสาม


เมื่อไม่มีสิ่งใดให้ดูชมเหล่าชาวบ้านและจอมยุทธก็แยกย้ายกันไป แต่กลับมีชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งยืนจ้องไปยังประตูจวนตระกูลหลิวที่ปิดสนิทโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน


เดิมทีชายหนุ่มไม่ได้ตั้งใจมามุงดูเรื่องราวของตระกูลหลิวแม้แต่น้อย แต่ด้วยถนนหน้าจวนตระกูลหลิวเป็นทางผ่านเพื่อออกไปทำภารกิจที่ได้รับมอบหมาย แล้วตนก็ได้มาพบกับคนรู้จักที่พาเหล่าขันทีและองครักษ์มามากมาย ตนจึงตั้งใจรอดูว่าครานี้น้องชายต่างมารดาของตนจะก่อเรื่องอะไรอีก


“แปลกมาก! ทั้งที่เรื่องนี้จะสร้างความเสียหายให้แก่ตระกูลหลิวไม่น้อย แต่ท่านแม่ทัพกลับยิ้มออกมา แถมยังสายตาเจ้าเล่ห์ตอนจ้องมองไปยังน้องรองอีก ฮึ่ม! แปลกจริงๆ” ชายหนุ่มได้แต่พึมพำกับตนเองด้วยความแปลกใจ ยามเมื่อเห็นรอยยิ้มและสายตาของอดีตแม่ทัพใหญ่ที่จ้องมองไปยังแผ่นหลังของน้องชายของตน


ทางด้านผู้ติดตาม เมื่อเห็นนายของตนยังยืนนิ่งจึงพูดขึ้นเพื่อเรียกสติของนายตน


“องค์รัชทายาทพะยะค่ะ หากไม่รีบเดินทางเกรงว่ามันจะมืดค่ำก่อนถึงที่หมายนะพะยะค่ะ” ได้ยินดังนั้นชายหนุ่มหรือองค์รัชทายาทหวงเฟยหลงก็ตื่นจากภวังค์และเร่งเดินทางต่อทันที


หลังจากที่ทุกคนเดินเข้ามาในจวน หลิวหลี่เฉินและหลิวลี่หยางต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ‘หึ! คิดจะทำให้ตระกูลหลิวขายหน้างั้นรึ! หากหงเอ๋อร์กลับมาเมื่อไหร่ข้าอยากรู้นักว่าใครกันแน่จะขายหน้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า’ ยิ่งคิดหลิวหลี่เฉินก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาราวกับคนบ้า


เสียงหัวเราะและท่าทางมีความสุขของนายเหนือหัวทั้งสอง สร้างความแปลกใจให้แก่เหล่าข้ารับใช้ไม่น้อย แต่ละคนต่างก็จ้องมองหน้ากันไปมาด้วยความงุนงง


“หัวเราะอะไรกันนักหนาไม่สงสารหงเอ๋อร์รึไง คิก คิก แอ้ม! พวกเจ้าแยกย้ายกันไปทำงานได้แล้ว” จ้าวลี่ฮวาต้องส่ายหัวให้กับสามีและบุตรชายของตน แต่ตนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเช่นกัน


จากนั้นจึงหันไปสั่งงานเหล่าข้ารับใช้ ทั้งยังกำชับอีกด้วยว่าตอนนี้บุตรสาวของตนอาการทรุดหนักห้ามให้ใครรบกวนหรือเข้าใกล้เรือนของบุตรสาวตนเด็ดขาด ไม่เว้นแม้แต่สองแฝดหรือสาวใช้คนสนิท


กลับมาทางด้านลี่หง ตอนนี้กำลังเดินหาของที่สามารถกินได้ในป่ากว้างใหญ่ ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ขนาดยักษ์หลายพันหลายหมื่นต้น


“ป่าบ้านี่มันจะกว้างไปไหนเนี่ย เป็นป่าซะเปล่าของกินได้นะมันมีไหม โอ๊ย! บ้าเอ้ย! เกิดมาเสียชาติป่าหมด” เสียงโวยวายของลี่หงดังก้องไปทั่วทั้งป่า เนื่องจากเจ้าตัวเดินเข้ามาในป่ากว่าสองชั่วยามแล้ว แต่ไม่ว่าจะเดินลึกเข้าไปเท่าไหร่ก็ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตหรือต้นไม้ชนิดอื่นแม้แต่เศษซาก


เดิมทีเจ้าตัวตั้งใจว่าจะเดินหาผลหมากรากไม้มาเก็บตุนไว้กินยามหิว เพราะท่านมหาเทพนำตนมาปล่อยไว้ในสถานที่แปลกประหลาดแห่งนี้ แต่กลับไม่มีอะไรที่กินได้แม้แต่อย่างเดียว


คราแรกก็หวังว่าจะมีต้นไม้ชนิดอื่นที่สามารถกินได้บ้าง เมื่อไม่พบเจอผลหมากรากไม้ใดๆ เจ้าตัวจึงตัดสินใจหันหลังกลับ


แต่ในขณะที่ลี่หงกำลังจะหันกลับเพื่อออกจากป่า พลันจมูกน้อยๆ ก็ได้กลิ่นหอมละมุนของผลไม้บางชนิดล่องลอยมากับสายลม


“หืม! กลิ่นหอมนี่มันอะไรกัน มาจากทางนั้นสินะ” ทันทีที่ได้กลิ่นเจ้าตัวก็กวาดตามองไปรอบตัว เพื่อหาที่มาของกลิ่น


เมื่อพบว่ากลิ่นหอมนี้ลอยมาจากทิศทางที่มีต้นไม้ขนาดยักษ์ขึ้นอยู่อย่างหน้าแน่น ลี่หงก็ไม่รอช้ารีบวิ่งตามกลิ่นหอมไปทันที เมื่อผ่านกลุ่มต้นไม้ขนาดยักษ์มา เจ้าตัวก็พบกับตัวการของกลิ่นหอมละมุนที่น่าหลงใหล


“นะ นี่มันอะไรกัน!!! ตะ ต้นท้อยักษ์หรอ ทะ ทำไมมันใหญ่โตมะโหราฬแบบนี้” ลี่หงโพลงขึ้นมาด้วยความตกใจ กับตัวการของกลิ่นหอมที่เป็นต้นท้อขนาดใหญ่


จากการคาดเดาของเจ้าตัว ต้นท้อยักษ์ตรงหน้านั้นสูงใหญ่กว่ายี่สิบเมตร ทั้งยังมีผลท้อขนาดใหญ่พอๆ กับหัวเด็กห้าขวบหลายร้อยหลายพันผลประดับประดาอยู่เต็มต้น


ที่สำคัญผลท้อที่ประดับอยู่นั้นหาใช่สีชมพูหรือสีแดงดั่งผลท้อทั่วไปไม่ แต่กลับเป็นผลท้อสีทองที่ส่องประกายออกมาราวกับดวงตะวันดวงน้อยๆ


ผลท้อสีทองแต่ละผลยังปลดปล่อยกลิ่นหอมหวนออกมายั่วยวนน้ำลาย ยิ่งเข้าใกล้กลิ่นก็ยิ่งหอมหวนแต่ลี่หงก็ต้องทอดถอนลมหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง ยามเมื่อร่างน้อยๆ มายืนอยู่ใต้ต้นท้อยักษ์


“แล้วเราจะเก็บยังไงล่ะเนี่ย” ลี่หงพูดขึ้นด้วยความจนใจ เพราะผลท้อแต่ละลูกนั้นอยู่สูงจากพื้นดินหลายเมตร แม้จะเอื้อมมือหรือกระโดดก็ไม่สามารถแตะต้องผลท้อสีทองได้แม้แต่ปลายเล็บ


“ฮึบ! ฮึบ! โอ๊ย! บ้าเอ้ย! ของกินอยู่ตรงหน้าแท้ๆ กระโดดก็ไม่ถึงปีนก็ไม่ได้ เอารองเท้าเขวี้ยงขึ้นไปก็ไม่ขยับเขยื้อนอีก” หลังจากพยายามอยู่หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นกระโดดเอื้อมหวังจะเด็ดผลท้อที่อยู่ต่ำสุดก็กระโดดไม่ถึง เขวี้ยงรองเท้าขึ้นไปผลท้อขนาดเท่าหัวเด็กก็ไม่ขยับเขยื้อน


หากจะให้ปีนขึ้นไปเก็บก็ไม่ได้ เพราะต้นท้อยักษ์ช่วงห้าหกเมตรแรกนั้นราบเรียบไร้กิ่งก้านสาขา จะให้เตะหรือเขย่าก็ไม่ไหว เพราะขนาดของลำต้นที่ต้องใช้คนถึงสามคนโอบจึงจะครบรอบ สุดท้ายลี่หงก็จนต้องยอมแพ้


“เฮ้อ! ไม่ได้กินก็ขอดมกลิ่นให้อิ่มละกัน” พูดจบเจ้าตัวก็ล้มตัวลงนอนใต้ต้นท้อยักษ์ สายตาก็จดจ้องไปยังผลท้อสีทองที่อยู่เหนือหัว


จากนั้นก็สูดกลิ่นอันหอมหวนเข้าไปในร่างกายเฮือกใหญ่ แต่ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบบวกกับสายลมอ่อนๆ ที่พัดพา นำพากลิ่นหอมของผืนป่ามาผสมผสานกับกลิ่นอันหอมหวานของผลท้อสีทอง ทำให้ลี่หงเคลิบเคลิ้มจนเผลอหลับไป


หลังจากหลับไปไม่นาน รอบตัวของลี่หงก็เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้น กลิ่นหอมที่ลอยฟุ้งอยู่ทั่วป่าพลันถูกสายลมพัดหอบนำพามาลอยวนเวียนอยู่รอบร่างระหง ก่อนจะค่อยๆ ลอยหายเข้าไปในจมูกน้อยๆ ที่หายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ


ทางด้านลี่หง หลังจากเผลอหลับไปไม่นาน เจ้าตัวก็รู้สึกเหมือนร่างกายถูกดึงดูดให้ลอยเคว้งอยู่บนฟ้า ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับกลิ่นหอมรอบกายที่ลอยเข้ามาในจมูก


เมื่อรู้สึกดังนั้นดวงตาหงที่เคยปิดก็เปิดกว้างพร้อมกับความแปลกใจที่เพิ่มขึ้น เมื่อพบว่าตอนนี้ตนไม่ได้นอนอยู่ใต้ต้นท้อยักษ์อีกแล้ว แต่ตนกลับนอนอยู่ในป่าที่เต็มไปด้วยต้นท้อที่สูงเพียงครึ่งหนึ่งของต้นท้อยักษ์ แต่ไม่ได้มีเพียงต้นเดียวเท่านั้น ตอนนี้รอบตัวลี่หงปรากฏป่าที่มีต้นท้อหลายพันหลายหมื่นต้น


“ทะ ที่นี่ที่ไหนเนี่ย อย่าบอกนะว่าเราฝันไป เหอะ! เหอะ! สงสัยคงอยากกินลูกท้อมากไปสินะ” พูดจบลี่หงก็กวาดสายตามองไปโดยรอบอีกครั้ง


เมื่อเห็นว่าสวนท้อที่ตนฝันถึงนี้อยู่บนยอดเขาสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยต้นท้อมากมายหลายหมื่นต้น ทั้งยังเป็นต้นท้อขนาดปกติทั่วไป มีผลสีทองขนาดใหญ่กว่าลูกท้อทั่วไปราวสองเท่าประดับประดาอยู่เต็มไปหมด เห็นดังนั้นสายตาของลี่หงก็เปล่งประกายระยิบระยับออกมาทันที


“เอาวะ! ไม่ได้กินของจริงก็กินในฝันแทนก็ได้” พูดจบลี่หงก็เดินตรงไปยังผลท้อที่อยู่ใกล้ที่สุด แต่ก่อนที่มือน้อยๆ จะเอื้อมถึงผลท้อสีทองก็ต้องหยุดชะงัก เพราะเสียงลึกลับสายหนึ่งที่ดังขึ้นมาในหัวของตน


“คิก คิก เจ้าช่างตะกละตะกลามจริงนะสาวน้อย” ได้ยินดังนั้นลี่หงก็ชะงักค้างในทันทีทันใด มือน้อยๆ ที่กำลังจะสัมผัสกับผลท้อสีทองพลันหยุดชะงักกลางคัน พร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบตัวด้วยความหวาดระแวง


“คะ ใครน่ะ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ” ลี่หงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พร้อมกับมองหาที่มาของเสียงลึกลับ


“คิก คิก เจ้าไม่ต้องมองหาข้าหรอกสาวน้อย เจ้าคงอยากกินผลท้อพวกนี้มากเลยสินะ” ได้ยินดังนั้นใบหน้าของลี่หงก็แดงซ่านด้วยความอับอาย เพราะไม่คิดว่าในฝันของตนจะมีคนอื่นอยู่ด้วย!


“ดะ เดี๋ยวนะ ทะ ท่านเป็นใครเจ้าคะ ละ แล้วท่านเข้ามาในฝันของข้าได้ยังไง” ลี่หงพูดขึ้นด้วยความตื่นตระหนก เมื่อคิดได้ว่านี่เป็นความฝันของตน


“คิก คิก นี่เจ้ายังคิดว่าเจ้ายังฝันอยู่สินะ” ได้ยินดังนั้นลี่หงก็ยกมือน้อยๆ ขึ้นมาตบหน้าตัวเองเบาๆ


เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!


“จะ เจ็บ เจ็บเป็นบ้าเลย หืม! จะ เจ็บงั้นหรอ นี่เราไม่ได้ฝันไปสินะ ละ แล้วที่นี่มันที่ไหนเนี่ย” หลังจากพิสูจน์แล้วว่าตนไม่ได้ฝันไป ความตื่นตระหนกและหวาดกลัวของลี่หงก็เพิ่มพูนขึ้นมาเป็นเท่าตัว


“ที่ไหนไม่สำคัญหรอกสาวน้อย ที่สำคัญคือเจ้าอยากกินผลท้อพวกนั้นไหมล่ะ” เมื่อได้ยินเสียงลึกลับที่ดูอบอุ่นและเป็นมิตร ความหวาดระแวงและความหวาดกลัวของลี่หงก็ลดลง พลางสูดกลิ่นหอมหวนที่ล่องลอยออกมาจากผลท้อตรงหน้า


“จะ เจ้าค่ะ ผลท้อพวกนี้น่ากินมากเลยเจ้าค่ะ” ไม่พูดเปล่าลี่หงยังยกมือขึ้นมาปาดน้ำลายที่ไหลย้อยออกมามุมปาก เห็นดังนั้นเจ้าของเสียงลึกลับก็หัวเราะคิกคักด้วยความขบขัน


“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ดีมากสาวน้อย แต่ว่าตัวเจ้าในตอนนี้ไม่สามารถกินมันได้หรอกนะ” ได้ยินดังนั้นดวงตาน้อยๆ ของลี่หงก็เบิกกว้าง


“ละ แล้วข้าจะต้องทำยังไงเจ้าคะ ถะ ถึงจะกินผลท้อพวกนี้ได้” ลี่หงรีบพูดขึ้นด้วยความตื่นตระหนก พลางคิดว่าเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับตนอีก ทั้งที่ของกินอยู่ตรงหน้ามากมายแต่ตนกลับไม่สามารถกินได้


“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นหรอก หากเจ้าอยากกินข้าก็มีวิธี” เมื่อได้ยินเสียงลึกลับบอกว่ามีวิธีที่จะทำให้ตนสามารถกินผลท้อตรงหน้าได้ ลี่หงก็รีบพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น


“จะ จริงหรือเจ้าคะ” เสียงลึกลับไม่ได้ตอบคำถามแต่อย่างใด แต่กลับนำแผ่นหยกสีเขียวมรกตขนาดเท่าฝ่าออกมาให้ลี่หงแทน


เมื่อเห็นแผ่นหยกสีเขียวมรกตปรากฏขั้นมาตรงหน้า ลี่หงก็จ้องมองด้วยความงุนงง


“หยดเลือดของเจ้าลงบนแผ่นหยกนั่นสิ” ได้ยินดังนั้นลี่หงก็ไม่รอช้า กัดนิ้วให้เลือดซึมออกมาแล้วหยดลงไปยังแผ่นหยกตรงหน้าด้วยความรวดเร็ว


ทันทีที่เลือดสัมผัสกับแผ่นหยก แผ่นหยกสีเขียวมรกตที่ลอยอยู่ตรงหน้าก็ส่องแสงสีทองเจิดจ้าออกมา ไม่นานแสงสีทองรวมถึงแผ่นหยกก็พุ่งหายเข้าไปในระหว่างคิ้วของลี่หง


หลังจากแสงสีทองหายเข้าไปในหัว ความเจ็บปวดมากมายมหาศาลก็บังเกิดขึ้นอีกครั้ง ไม่เพียงแต่ความเจ็บปวดเท่านั้น ยังมีความรู้มากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวน้อยๆ ของลี่หงราวกับน้ำป่าที่เชี่ยวกราก


ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นแม้ไม่อาจเทียบเท่ากับตอนที่หลอมรวมร่างกายกับชิ้นส่วนสัตว์เลี้ยงของท่านมหาเทพ แต่ความเจ็บปวดในครั้งนี้กลับส่งผลต่อสมองโดยตรง ทำให้ลี่หงไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้


ตอนนี้ร่างระหงทรุดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับมือน้อยๆ ทั้งสองที่ยกขึ้นมากุมขมับและขย้ำผมไว้แน่น แต่ลี่หงก็ไม่ได้กรีดร้องออกมาแม้แต่น้อย


จนเวลาผ่านไปนานกว่าสามชั่วยาม ความรู้มากมายมหาศาลและความเจ็บปวดที่หลั่งไหลเข้าสู่สมองก็หยุดลง พร้อมกับเสียงลึกลับดังขึ้นอีกครั้ง


“คิก คิก ข้าคิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกเจ้าสาวน้อย” หลังจากได้รับถ่ายทอดความรู้และความทรงมากมายมหาศาลจากแผ่นหยก ลี่หงก็นั่งทบทวนสิ่งที่ได้รับรู้อยู่ครู่ใหญ่ ทำให้เจ้าตัวสามารถรับรู้ถึงตัวตนที่แม้จริงของเสียงลึกลับได้จากความทรงจำ แล้วยังรู้อีกว่าเจ้าของเสียงลึกลับที่พูดคุยอยู่กับตนเป็นใคร


“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านมหาเทพีแห่งพฤกษา” ลี่หงพูดขึ้นด้วยความนอบน้อมต่อเจ้าของเสียงลึกลับ


“คิก คิก นานมากแล้วสินะที่ไม่ได้ยินชื่อนี้ แถมเจ้ายังเป็นคนแรกที่ผ่านบททดสอบของเรา ทั้งยังผ่านได้อย่างง่ายดาย เจ้านี่น่าสนใจจริงๆ แม่สาวน้อยจอมตะกละ” ได้ยินดังนั้นใบหน้าของลี่หงก็เห่อร้อนขึ้นมาด้วยความอับอาย


ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าไม่มีใครผ่านบททดสอบของมหาเทพีแห่งพฤกษา แต่ว่าบททดสอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บ้างก็ต้องต่อสู้กับเหล่าสัตว์อสูรเพื่อแย่งชิงผลไม้วิเศษ บ้างก็มีจิตใจที่ละโมบเกินเยียวยาแม้จะผ่านบททดสอบได้ แต่ก็ไม่มีใครผ่านได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วเท่าลี่หงมาก่อน


การทดสอบของมหาเทพีแห่งพฤกษานั้นไม่มีวิธีและสถานที่ที่แน่นอน แต่จะปรากฏขึ้นต่อหน้าผู้ที่มีร่างกายที่เหมาะสม ที่จะรองรับพลังของมหาเทพีแห่งพฤกษาได้เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่แปลกที่มหาเทพีแห่งพฤกษาจะแทรกแซงเข้ามาในมิติแห่งนี้


“เอ่อ! ท่านมหาเทพีเจ้าคะ ถะ ถ้าหากว่าข้าไม่ผ่านการทดสอบ ขะ ข้าจะเป็นยังไงเจ้าคะ” ลี่หงเอ่ยถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น


จากความรู้และความทรงจำที่ตนได้รับมา มีเรื่องราวของผู้ทดสอบคนก่อนๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งแต่ละคนก็มีจุดจบที่แตกต่างกัน บ้างก็ได้รับพลังไปส่วนหนึ่ง บ้างก็ตกตายภายใต้บททดสอบที่แสนจะโหดหินตามแต่ท่านมหาเทพีจะคิดขึ้นมา


การทดสอบของลี่หงก็เหมือนกัน หากตอนที่ลี่หงได้พบเจอต้นท้อยักษ์แล้วคิดละโมบหรือคิดทำลายต้นท้อเพื่อให้ได้ผลท้อ ต้นท้อยักษ์ก็จะจางหายไปและนั่นจะทำให้ลี่หงไม่ผ่านการทดสอบในครึ่งแรก แต่เจ้าตัวก็ผ่านมาได้อย่างง่ายดาย


ส่วนการทดสอบในครึ่งหลังคือทำให้แผ่นหยกยอมรับสายเลือดของตน บ้างก็ทันทีที่เลือดสัมผัสกับแผ่นหยกร่างกายของคนผู้นั้นก็เหี่ยวแห้งเหมือนต้นไม้ใกล้ตาย บ้างก็กลายเป็นปุ๋ยในสถานที่นั้นไป


หากมีคนที่มีสายเลือดและร่างกายที่เหมาะสมแผ่นหยกก็จะมอบพลังแห่งพฤกษาให้ ทั้งยังมอบความรู้บางส่วนให้อีกด้วย แต่จะมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับความเข้ากันได้และจิตใจของคนผู้นั้น การทดสอบในครึ่งหลังนี้ลี่หงก็สามารถผ่านมาได้อย่างง่ายดายเช่นกัน


“คิก คิก ไม่มีอะไรมากหรอก เจ้าก็แค่กลายเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้แถวนี้นั่นแหละ แต่เจ้าก็ผ่านมันมาได้แล้วนี่จะกลัวไปไย แถมเจ้ายังได้รับการยอมรับจากหยกแห่งพฤกษาด้วย” มหาเทพีแห่งพฤกษาพูดขึ้นด้วยความยินดี เนื่องจากตนรอคอยคนที่จะมาสืบทอดเจตจำนงแห่งพฤกษานานแล้ว


เมื่ออายุขัยของตนวนเวียนมาถึงจุดหนึ่งย่อมต้องกลับคืนสู่สายธารแห่งกาลเวลา ดังนั้นตนจึงต้องสรรหาผู้ที่มีร่างกายที่เหมาะสมต่อพลังแห่งพฤกษาและคอยส่งถ่ายพลังของตนให้คนเหล่านั้นไป แต่หากตนยังไม่สามารถสรรหาหาผู้สืบทอดเจตจำนงแห่งพฤกษาได้ทุกสิ่งที่ทำไปย่อมไร้ประโยชน์


หากไม่มีผู้สืบทอดเจตจำนงแห่งพฤกษา หลังจากตนกลับคืนสู่สายธารแห่งกาลเวลา หมู่มวลพฤกษาทั่วทั้งเอกภพก็จะตกตายและมลายหายไปจนหมดสิ้น แม้จะมีผู้ที่ได้รับเศษเสี้ยวพลังจากตนไป แต่ก็ไม่อาจช่วยเหลือหมู่มวลพฤกษาได้ทั้งหมด ดังนั้นการหาผู้สืบทอดเจตจำนงแห่งพฤกษาจึงสำคัญยิ่งยวด


แต่ตอนนี้ตนได้เด็กน้อยจอมตะกละตรงหน้ามาสืบทอดเจตจำนงแห่งพฤกษาแล้ว มหาเทพีแห่งพฤกษาอย่างตนก็หมดห่วง จากนี้ตนจะได้ท่องเที่ยว แค่ก! แค่ก! ตนจะได้กลับคืนสู่สายธารแห่งกาลเวลาอย่างเงียบสงบ


“จะ เจ้าค่ะ วะ ว่าแต่บททดสอบของข้า มะ หมดแล้วหรอเจ้าคะ” ลี่หงพูดขึ้นด้วยความสงสัย เพราะตนรับรู้ได้จากความทรงจำว่าบททดสอบของผู้คนหลายหมื่นหลายแสนคนที่ผ่านมาล้วนยากเย็นแสนเข็ญ มีผู้คนกว่าครึ่งที่ต้องตกตายภายใต้บททดสอบ


“บททดสอบนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ผ่านมาได้อย่างง่ายดาย ด้วยจิตใจที่แน่วแน่ถึงแม้จะแปลกประหลาดไปบ้างก็เถอะ แต่ก็ยังดีกว่าทุกคนที่ผ่านมา อีกอย่างเราตามดูเจ้าตั้งแต่เจ้าหนูมหาเทพฝืนกฎเอกภพ นำพาเจ้าเข้ามายังโลกแห่งนี้แล้ว คิก คิก ดูทำหน้าเข้า เจ้านี่น่าสนใจจริงๆ” มหาเทพีแห่งพฤกษาระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เมื่อเห็นสีหน้าตื่นตะลึงของลี่หง


“ตอนนี้หมดหน้าที่ของข้าแล้ว ส่วนพลังที่ได้รับไปจะใช้ยังไงก็ขึ้นอยู่กับเจ้า แต่จงจำไว้ให้ดีพลังแห่งพฤกษาไม่ได้มีไว้สำหรับทำร้ายใคร แต่ถ้าใครมากวนใจก็ไม่ต้องยั้งมือนะ คิก คิก อ้อ! ข้าฝากเจ้าช่วยดูแลเหล่าลูกๆ ของข้าด้วยล่ะ จากนี้ไปต้องรบกวนเจ้าแล้วผู้เป็นที่รักของเหล่าพฤกษาคนใหม่ ผู้สืบทอดเจตจำนงแห่งข้า ผู้สืบทอดเจตจำนงแห่งพฤกษา” ทันทีที่เสียงของมหาเทพีแห่งพฤกษาหายไป ลูกท้อสีทองทั้งหมดก็ส่องแสงเจิดจ้าออกมาจนลี่หงต้องหลับตาลง


เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ลี่หงก็พบว่าตนกลับมาอยู่ในป่าต้นไม้ยักษ์แล้ว ทว่าสิ่งที่ทำให้ลี่หงตกใจก็คือต้นท้อยักษ์หายไป


“มะ ไม่มี! หายไปแล้ว มันหายไปแล้ว ไหนท่านมหาเทพีบอกว่าข้าจะได้กินลูกท้อไง ละ แล้ว แล้วตอนนี้มันหายไปไหน หายไปได้ยังไงกัน มะ ไม่นะ! ลูกท้อของข้า” เมื่อได้สติคืนมาลี่หงก็แทบจะลมจับ เพราะลูกท้อสีทองทั้งหลายมลายหายไปจนหมดสิ้น แต่ในระหว่างที่ลี่หงโวยวายอยู่ก็มีกลิ่นหอมหวนที่คุ้นเคยลอยมาเตะจมูก


“หืม! กะ กลิ่นนี้มัน” เมื่อได้กลิ่นที่คุ้นเคยลี่หงก็กวาดสายตาไปรอบตัว ไม่นานสายตาของลี่หงก็ไปหยุดอยู่ในจุดที่เคยปรากฏต้นท้อยักษ์


แม้ต้นท้อยักษ์จะหายไปหลงเหลือไว้เพียงเนินดินเล็กๆ กับผลท้อสีทองขนาดเท่าฝ่ามือหนึ่งลูกและยังมีผลไม้รูปร่างแปลกประหลาดขนาดเท่ากับผลท้อมีลักษณะคล้ายกับน้ำเต้ามีทั้งสีน้ำตาล สีฟ้า สีเขียว สีแดง สีม่วง สีขาว สีทองและสีดำอย่างละลูกอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังมีผลไม้รูปร่างคล้ายกับแอปเปิลสีฟ้าอยู่อีกหนึ่งลูก


เห็นดังนั้นลี่หงก็แย้มยิ้มออกมาด้วยความดีใจ จากความรู้ที่ได้รับถ่ายทอดมาทำให้เจ้าตัวสามารถรับรู้ได้ทันทีว่า ผลไม้ที่มีรูปร่างคล้ายกับน้ำเต้านั้นคือผลไม้ธาตุ เป็นผลไม้ที่ใช้บ่มเพาะลมปราณในแต่ละธาตุ สีน้ำตาลคือผลไม้ธาตุดิน สีฟ้าคือผลไม้ธาตุน้ำ สีเขียวคือผลไม้ธาตุลม สีแดงคือผลไม้ธาตุไฟ สีม่วงคือผลไม้ธาตุสายฟ้า สีขาวคือผลไม้ธาตุน้ำแข็ง สีทองคือผลไม้ธาตุแสงและสีดำก็คือผลไม้ธาตุมืด


ผลไม้ธาตุนั้นเหมาะสำหรับคนที่มีพลังธาตุเดียวกันกับผลไม้ธาตุแต่ละชนิด หากคนไหนกินผลไม้ธาตุที่ไม่ตรงกับพลังธาตุของตนก็จะทำให้ธาตุไฟเข้าแทรกและได้รับบาดเจ็บจากภายใน บ้างก็เส้นชีพจรฉีกขาดเพราะรองรับพลังธาตุชนิดอื่นไม่ได้บางทีอาจถึงขั้นเสียชีวิต


ผลไม้ธาตุแม้จะกินเพียงเล็กน้อยก็สามารถช่วยยกระดับพลังธาตุนั้นๆ ให้มีความเข้มข้นและแข็งแกร่งขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้หากผลไม้ธาตุตรงหน้าหลุดไปอยู่ในโลกภายนอก รับรองได้เลยว่าจะต้องมีสงครามขนาดย่อมเกิดขึ้นแน่นอน


ส่วนผลไม่ที่มีลักษณะคล้ายลูกแอปเปิลสีฟ้านั้นคือผลไม้ปราณหรือผลปัญญา ผลไม้ชนิดนี้เหมาะสำหรับสัตว์อสูรมากกว่ามนุษย์ เพราะมันสามารถพัฒนาสติปัญญาและยกระดับพลังของสัตว์อสูรได้อย่างรวดเร็ว


ผู้คนมักนิยมเรียกผลไม้เหล่านี้ว่าผลไม้วิเศษ ซึ่งก็คือผลไม้ที่มีลมปราณไหลเวียนอยู่ในตัวทั้งยังช่วยในการบ่มเพาะพลังได้


นอกจากผลไม้วิเศษแล้วยังมีพืชผักนานาชนิดที่สามารถดูดซับและสะสมลมปราณจากธรรมชาติได้ ทำให้ผู้คนเรียกพืชผักเหล่านั้นว่าผักวิเศษเช่นกัน รวมไปถึงพวกสมุนไพรวิเศษนานาชนิดด้วย ด้วยเหตุนี้ผลไม้วิเศษพวกนี้จึงมีค่ามหาศาลและหาได้ยากยิ่งในโลกภายนอก


รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว