รักปักหัวใจ

2 : ทุ่งนาของคุณย่า

“ข้ามอบน้ำใจใดให้ท่าน” นางเอ่ยอย่างโกรธเคือง นานๆนางจะได้ยืดเส้นยืดสายสักที แม้จะไม่ชอบเลือดแต่น้อยครั้งนักที่นางจะได้ใช้วรยุทธที่ล่ำเรียนมาอย่างจริงจัง อีกทั้งเขายังเอ่ยเรื่องอะไรนางไม่เข้าใจ

“ก็เรื่องที่เจ้าตกหลุมรักข้าอย่างไรเล่า”

ไป๋เฉิงและชีซาได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยจากด้านหลังแทบจะเสียกระบวนท่า นายท่านของเขาผู้นี้นะหรือตอบแทนน้ำใจสตรีที่ตกหลุมรักเขา ไก่คงเบ่งลูกออกมาเป็นสุกรได้แล้ว เพราะตั้งแต่รับใช้นายท่านมาพวกเขาไม่เคยเห็นนายท่านจะตอบแทนความรักจากสตรีนางใดเลย

“ข้าเปล่า...” นางปฏิเสธอย่างฉุนเฉียว เหตุใดเขาจึงคิดว่านางตกหลุมรักเขากัน

“ยังมีเวลาอีกมาก เจ้าเก็บแรงไว้เถิด กลุ่มคนที่คิดจะสังหารข้ายังมีอีกมาก” แม้เสียงจะราบเรียบไม่ได้ดูร้อนใจ

“พวกเขาต้องการชีวิตท่านหรือ” นางเอ่ยถามมองหน้าเขา

เขาพยักหน้า

ก็เป็นไปได้ ในเมื่อเขาคือผู้ครอบครองป้ายหยกของสำนักวิหคสวรรค์ แต่ไยเขาจึงให้หลิ่วเย่ครอบครองไปล่ะ “แล้วทำไมท่านจึงให้หลิ่วเย่ครอบครองล่ะ”

“เพราะเขาไม่มีวรยุทธ ข้าไม่ไว้ใจบางครั้งอาจจะทำให้เขาเป็นภัยได้” นั่นคือสิ่งที่เขาคิดจริงๆ แต่อีกเหตุผลหนึ่งเขาไม่ได้บอกนาง

เห็นทีนางจะต้องมองเขาใหม่แล้ว เพราะตั้งแต่ที่รู้จักเขา นางคิดว่าเขาเป็นคนเลือดเย็นเห็นแก่ตัวเสียอีก เพราะเขาปฏิเสธสละห้องพักให้หญิงสาวท้องแก่อย่างไม่ใยดี แต่อย่างน้อยเขาก็มีข้อดีที่ปกป้องคนใต้อาณัติ ที่เขาคิดจะปกป้องนางก็คงไม่ต่างกัน หารู้ไม่ว่าที่เขาปกป้องนางนั้นไม่เหมือนกัน

“ชิงซา เหลือไว้สักสองคนเอามาแค้นความลับ” เขาสั่งมองไปทางเหล่าชายชุดดำที่เพลี่ยงพล้ำขึ้นเรื่อยๆ

ฝั่งหลิ่วเย่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาถูกศิษย์พี่ทั้งสามของหานหนิงเซียนดูแลอย่างดี

“ใครส่งพวกเจ้ามา” เฉินหลันเทียนเหยียบหน้าอกชายชุดดำผู้หนึ่งเอ่ยถาม

ชายชุดคนคนนั้นเพียงคลี่ยิ้มชั่วร้ายก่อนจะกัดยาลูกกลอนให้พิษแตกในปาก พิษแล่นเข้าสู่หัวใจชายชุดดำคนนั้นตายทันที ชายชุดดำคนอื่นก็เช่นกัน เมื่อเห็นว่าทำงานไม่สำเร็จกลับไปก็ไม่ต่างกันจึงกัดยาลูกกลอนในปากขาดใจตายไปตามๆกัน ไม่ทันที่พวกเฟยหลงซ่างจะรั้งได้ทัน

“พวกมันกินยาพิษตายหมดแล้วขอรับ” ไป๋เฉิงที่ใช้นิ้วอังที่จมูกชายชุดดำอีกคนหนึ่งลุกขึ้นมาเอ่ยกับเฟยหลงซ่าง

“ช่างเถิด” เฟยหลงซ่างเอ่ยในที่สุด เขาปล่อยร่างของหานหนิงเซียนแล้วเดินไปตรวจดูศพของชายชุดดำคนหนึ่งที่นอนคว่ำหน้าอีก เขี่ยปลายกระบี่ไปที่เสื้อให้มันฉีกขาด เผยเห็นหัวไหล่ข้างซ้ายสีหน้าเฟยหลงซ่างเคร่งขรึมและดำทะมึนขึ้นอย่างรวดเร็ว

เฉินหลันเทียนเดินเข้ามาดูใกล้ๆ “เป็นดังคาด รอยสักรูปมังกรคู่ที่ไหล่ซ้ายเป็นฝ่ายองครักษ์หลวงนี่เอง”

ไม่มีผู้ใดแปลกใจเพราะศิษย์สำนักวิหคสวรรค์ต่างเจอเหตุการณ์แบบนี้มาไม่น้อย แม้ไม่ได้เจอกับตัวแต่ก็ยังคงมีการเล่าขานในเรื่องที่ว่าผู้ใดไปคุ้มกันใคร และส่วนใหญ่ต่างก็เป็นคนในราชสำนัก หากผู้จู่โจมเป็นทหารองครักษ์จึงไม่มีใครแปลกใจ

“ชักจะเหิมเกริมมากไปแล้ว” เฟยหลงซ่างคำรามแผ่นหลังเหยียดตรงมากกว่าเก่าทำให้ร่างที่ดูผึ่งผายยิ่งดูองอาจมากกว่าเดิม ร่างสูงแผ่กลิ่นไอดุดันน่าเกรงขาม ไป๋เฉิงและชิงซาต่างทิ้งเข่าตรงหน้าเขาเสียงดังตึง

“พวกข้าน้อยสมควรตายนายท่านโปรดลงทัณฑ์” ไป๋เฉิงรีบเอ่ย

เมื่อรู้ว่าพวกที่ตายนั้นมาจากมดทั้งชิงซาและไป๋เฉิงต่างอยู่ไม่สุข ทั้งสองต่างมีรอยสักรูปมังกรคู่ที่ไหล่ซ้ายเช่นกัน นั่นหมายความว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกับพวกที่ตาย

“พวกเจ้าอย่าได้ทำเรื่องเหลวไหล ก็เห็นอยู่ว่าพวกเจ้าดูแลข้าอย่างดี หมายถึงดูแลข้าและนายท่านหลิ่วอย่างดี แล้วจะเกี่ยวกับพวกเจ้าได้อย่างไร ต่อไปก็จงอย่าได้คิดเคลือบแคลงอะไร ทำหน้าที่ของพวกเจ้าให้ดีก็พอ” เฟยหลงซ่างเอ่ยน้ำเสียงขึงขังซึ่งนานๆทีหานหนิงเซียนจะได้ยิน

ไป๋เฉินและชีซาต่างโค้งศีรษะรับ ในจิตใจรู้สึกยินดีไม่น้อยที่นายท่านเชื่อใจพวกเขา

“นายท่านหลง ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมขอรับ” หลิ่วเย่มุดออกมาจากกำแพงมนุษย์ที่ศิษย์พี่ทั้งสามของหานหนิงเซียนเป็นผู้ทำ เอ่ยถามเฟยหลงซ่างในทันที

“เจ้าล่ะบาดเจ็บหรือไม่” เฟยหลงซ่างไม่ได้ตอบแต่เอ่ยถามกลับ

“ด้วยพระ...เอ่อ...ด้วยพระพุทธองค์คุ้มครองข้าจึงปลอดภัย” ครั้งแรกจะบอกว่าด้วยพระบารมีจึงเปลี่ยนเป็นพระพุทธองค์แทน

“พระพุทธองค์ที่ใดกัน ท่านก็เห็นเป็นเพราะพวกข้าต่างหาก ไยยกความดีให้พระพุทธองค์เล่า” ไป่หลางเอ่ยเย้าเพราะรู้ว่าตอนนี้ทุกคนดูตึงเครียด

“เอ่อ...เป็นข้าผิดเอง โปรดอภัย โปรดอภัย” หลิ่วเย่รีบแก้คำ

“ช่างเถิด ในเมื่อไม่มีสิงใดให้สืบสาวแล้ว ข้าว่าเรารีบไปจากที่นี่จะดีกว่า” อวิ๋นมู่เอ่ยเตือน

“ถูกของท่าน รีบออกเดินทางต่อน่าจะดีกว่า” เฉินหลันเทียนเห็นด้วยทันที

แต่เมื่อกลับไปที่ม้า ม้ากลับหายไปสองตัว

“ช่วงฉุกละหุกมันคงตกใจดึงสายบังเหียนแล้ววิ่งหนีไป” ไป่หลางสันนิษฐาน

ม้าตัวที่หายนั้นเป็นของหลิ่วเย่ตัวหนึ่งและอวิ๋นมู่ตัวหนึ่ง ของหลิ่วเย่นั้นโชคดีเพราะห่อสัมภาระของเขาตกอยู่ตรงที่มัดม้าเอาไว้ ส่วนของอวิ๋นมู่นั้น ไม่เหลือสิ่งใดไว้เลย

“ท่านว่าม้าที่พวกมันทิ้งไว้ยังจะอยู่หรือไม่” หลิ่วเย่เอ่ยถามชิงซา

“ม้าพวกนี้ถูกฝึกมาดี หากรอเจ้าของนานแล้วไม่มีคนกลับมันจะกลับไปที่คอกของมันเอง”

“ม้าของคนพวกนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ” ไป่หลางอดชมเชยไม่ได้

“เช่นนั้นนายท่านหลิ่ว ขี่ม้าตัวเดียวกับข้าก็ได้ ข้าตัวเล็กเพิ่มท่านอีกคนมันคงยังทนได้” เหยาอิงเอ๋อร์เสนอในทันใด

เห็นเหยาอิงเอ๋อร์เสนอเช่นนั้นหานหนิงเซียนจึงเอ่ยบ้าง “เช่นนั้นศิษย์พี่ก็ขี่ม้าตัวเดียวกับข้าก็ได้ เจอม้าแล้วค่อยว่ากันใหม่"

อวิ๋นมู่ที่ยังตัดสินใจอยู่ถูกเฟยหลงซ่างเอ่ยเสนอความคิดเห็น “เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน ม้าของข้าสมบูรณ์และพันธุ์ดีกว่าม้าทุกตัว ท่านให้ศิษย์น้องของมาอาศัยม้าของข้า ส่วนท่านก็ใช้ม้าของศิษย์น้องมันจะได้ไม่ต้องรับน้ำหนักมาก”

“เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน เซียนเอ๋อร์รบกวนเจ้าไปใช้ม้าร่วมกับนายท่านหลงสักพัก เพราะข้าเกรงว่าหากม้าของเจ้ารับน้ำหนักเราสองคนการเดินทางอาจจะล่าช้า”

อวิ๋นมู่กำลังคิดว่าม้าของศิษย์น้องจะเหนื่อยเกินไปเพราะเขานั้นก็สูงใหญ่ หากรับน้ำหนักสองคนอาจจะไม่ดี มองดูม้าของนายท่านหลง ม้าของเขาเป็นม้าพันธุ์ดี อย่างไรย่อมรับน้ำหนักของคนสองคนได้อย่างสบาย ส่วนม้าของเหยาอิงเอ๋อร์นั้นแม้ไม่ใช่ม้าพันธุ์ดีอะไร แต่เพราะเหยาอิงเอ๋อร์นั้นตัวก็ไม่ใหญ่มากนายท่านหลิ่วก็ไม่ได้สูงใหญ่เท่าคนอื่นน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

“แต่ข้าไม่อยากขี่ม้าร่วมกับเขา”หานหนิงเซียนเอ่ย ตั้งแต่เขาบอกว่าจะปกป้องนาง นางก็รู้สึกแปลกๆแล้ว

“อย่าดื้อรั้นเซียนเอ๋อร์ เหตุการณ์ยังคับขันรีบทำตามที่อวิ๋นมู่เอ่ยจะได้เริ่มออกเดินทาง” ไป่หลางเอ่ยสั่ง

หานหนิ่งเซียนได้แต่ทำหน้ายู่ เอ่ยรับเสียงเบา เห็นสีหน้ายิ้มน้อยๆของเฟยหลงซ่างก็ยิ่งหงุดหงิดกว่าเดิม

“เจ้าจะนั่งด้านหน้าหรือด้านหลัง”

“ด้านหลัง” แม้ตอนนี้หน้าตานางจะไม่ดี แต่นางก็ไม่ชอบให้ชายใดมาแนบชิด

แล้วคณะเดินทางก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง

เหยาอิงเอ๋อร์เหลียวหลังไปมองหานหนิงเซียนที่นั่งบนหลังม้าด้านหลังเฟยหลงซ่างคราหนึ่ง หันกลับไปด้านหน้ากระตุ้นมาให้เริ่มออกเดิน

“ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไมนายท่านหลิ่ว” นางเอ่ยถามหลิ่วเย่ที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังนาง

“ไม่เป็นไร เป็นเพราะพวกท่านคุ้มครองข้า ข้าจึงปลอดภัยไร้บาดแผลใดๆ” หลิวเย่เอ่ย พยายามไม่ให้ร่างตนเองไปกระทบกับแผ่นหลังของเหยาอิงเอ๋อร์มากสักเท่าใด

“ข้าต้องขออภัยแทนสิทธิ์น้องด้วยที่นางไม่ได้ทำหน้าที่คุ้มครองท่าน อีกทั้งยังทำเรื่องน่าอายไปหลบอยู่ข้างหลังนายท่านหลงไม่ต่างกับคนขลาด”

“ข้าไม่โทษนางหรอกเพราะข้ายังดูหวาดกลัวมากกว่านางด้วยซ้ำ อีกอย่างสตรีต้องให้บุรุษคุ้มครองถึงจะถูกต้อง” เอ่ยพร้อมกับนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่แม้ว่าเขาจะหวาดกลัว แต่ก็ยังอดเป็นห่วงนายท่านไม่ได้ เขาเห็นนายท่านของเขาแววตาห่วงใยแม่นางหานหนิงเซียนไม่ปิดบังแถมยังออกคำสั่งเผด็จการกับนางอีกต่างหาก นายท่านต้องมีใจให้แม่นางหานหนิงเซียนแน่แล้ว...ไม่ผิดแน่

แม้แม่นางหานหนิงเซียนจะไม่ได้หน้าตาสะสวยเหมือนสตรีนางอื่นของนายท่าน แต่นางก็มีมนุษย์สัมพันธ์ดีและร่าเริงเป็นกันเอง เอกลักษณ์ไร้เดียงสาและเป็นธรรมชาติแบบไม่เติมแต่งของนางทำให้นางยิ่งดูมีเสน่ห์ ยิ่งเวลานางยิ้ม ดวงตาที่ใสกระจ่างของนางยิ่งขับให้ใบหน้าธรรมดาของนางดูน่าหลงใหลอย่างประหลาด

หลิ่วเย่รู้สึกถึงแผ่นหลังของเหยาอิงเอ๋อร์เหยียดตรงขึ้นมาแฝงถึงความเย็นชาเขาจึงรู้สึกว่าคงเอ่ยอะไรผิดไปเสียแล้ว เป็นเพราะติดนิสัยต้องดูสีหน้าและน้ำเสียงของนายท่านมาตลอดจึงสังเกตได้ไม่ยาก ได้ยินนางเอ่ยเสียงกระด้าง

“เป็นสตรีต้องอ่อนแอให้ผู้อื่นคุ้มครองสินะ”

ได้ยินดังนั้นก็รีบเอ่ยแก้ในทันใด “แต่วีรสตรีผู้กล้าหาญย่อมน่าเลื่อมใสกว่า แม่นางคอยปกป้องผู้อื่นน่าเลื่อมใสยิ่ง น่าเลื่อมใสยิ่ง”

เหยาอิงเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้นโทสะก็เริ่มคลายลง น้ำเสียงอ่อนโยนอีกครั้ง “เช่นนั้นหรือ”

“ต้องเป็นเช่นนั้นสิ สตรีที่ทั้งงดงามและกล้าหาญเช่นท่านให้ได้น้อยนัก”

นางยิ้มพอใจ นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เห็นองครักษ์ทั้งสองทิ้งเข่าลงพื้นคุกเข่าให้เฟยหลงซางทำให้นางเอะใจ

“เมื่อครู่ข้าเห็นไป๋เฉิงและชีซางคุกเข่าให้นายท่านหลง ไม่ทราบว่านายท่านหลงนั้นมีตำแหน่งสำคัญอันใดในราชสำนักหรือ”

กฎของสำนักวิหคสวรรค์คือห้ามเอ่ยถามตำแหน่งหรือภารกิจของผู้ครองครองป้ายหยก นางไม่ได้เอ่ยถามตำแหน่งและภารกิจของนายท่านหลิ่ว แต่ถามตำแหน่งของนายท่านหลงดังนั้นนางไม่ได้ทำผิดกฎของสำนัก

หลิ่วเย่คิดในใจกำลังหาคำตอบ เมื่อเอ่ยปากจะกล่าว เฉินหลันเทียนกลับควบม้าเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยตอบแทน

“นายท่านหลงนะหรือ หน้าที่อย่างหนึ่งของเขาคือมีอำนาจสั่งการควบคุมองครักษ์หลวงทั้งหมด” บอกเช่นนั้นก็ไม่ผิดเพราะนั่นเป็นอำนาจอย่างหนึ่งของเฟยหลงซ่างเช่นกัน

“เช่นนี้นี่เอง” เหยาอิงเอ๋อร์พยักหน้า เพราะนายท่านหลิ่วต้องคุมกององครักษ์หลวงนี่เอง เช่นนั้นนางก็ไม่แปลกใจแล้วที่เขาองอาจผึ่งผายและมีกลิ่นอายดุดันน่ายำเกรงคงเป็นเพราะเหตุนี้

“ส่วนนายท่านหลิ่วนั้นมีอำนาจในการจัดการสิ่งต่างๆในวังหลวง หากไม่ใช่เรื่องของฝ่ายในนายท่านหลิ่วล้วนเป็นผู้จัดการทั้งสิ้น” เฉินหลันเทียนกล่าวต่อสีหน้ายิ้มน้อยๆไม่แปรเปลี่ยน

ได้ยินดังนั้นเหยาอิงเอ๋อร์จึงเอ่ยเตือนเขา “ท่านไม่รู้หรืออย่างไรกฎของสำนักคือห้ามเอ่ยถามตำแหน่งของผู้ครอบครองป้ายสำนัก ท่านเอ่ยมาเช่นนี้ข้าลำบากใจ”

“ออ...” เฉินหลันเทียนพยักหน้าคลี่พัดในมือออกโบกพัดใบหน้าด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ข้าไม่รู้เลย...ต้องขออภัยแล้ว”

“เช่นนั้นข้าจะทำเป็นไม่ได้ยินก็แล้วกัน” นางเอ่ยกับเฉินหลันเทียน แต่ในใจทบทวนวาจาของเขา

‘เป็นผู้จัดการสิ่งต่างๆในวังหลวง หากไม่ใช่เรื่องฝ่ายในนายท่านหลิ่วล้วนเป็นผู้จัดการทั้งสิ้น...’

ดวงตานางเป็นประกายจ้า จะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจาก...ฮ่องเต้...ฮ่องเต้มีสิทธิ์จัดการทุกอย่างในราชสำนัก ยกเว้นแต่ฝ่ายในที่จะเป็นองค์ไทเฮาเป็นผู้จัดการ

แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีข้อเคลือบแคลง นายท่านหลิ่วแซ่หลิ่ว ส่วนฮ่องเต้มีพระนามว่าเฟยหลงซ่าง มันไม่ตรงกันนั่นหมายความว่าอาจจะเป็นนายท่านหลงที่แซ่หลง แต่นายท่านหลงเป็นหัวหน้ากองราชองครักษ์ นั่นยิ่งทำให้สับสน ระหว่างที่คิดในใจนายท่านหลิ่วที่นั่งอยู่ด้านหลังกลับเอ่ยออกมา

“แม่นางอย่าไปฟังท่านหลันเทียนเลย ตำแหน่งของข้านั้นไม่ได้ใหญ่โตดังที่เขากล่าวล้วนเป็นเพียงแค่พูดสวยหรูเท่านั้น โปรดอย่าได้ใส่ใจ” หลิ่วเย่เอ่ย

ที่ต้องเอ่ยเพราะกลัวว่านางจะเข้าใจผิดและคิดยั่วยวนและล่อลวงเขาอีก หากเป็นเช่นนั้นเขาคงรับไม่ไหว

แต่วาจาของหลิ่วเย่กลับทำให้เหยาอิงเอ๋อร์นั้นคิดไปในทางตรงกันข้าม ใช่แน่แล้ว นายท่านหลิ่วต้องเป็นฮ่องเต้อย่างแน่นอน เขาคงต้องการปิดบังฐานะเอาไว้เพื่อความปลอดภัยของตนเอง นางยิ้มเอ่ยเสียงอ่อนโยนและหวานมากกว่าเดิม

“นายท่านหลิ่ว ท่านไม่ต้องหวั่นใจ ข้าจะปกปิดฐานะของท่านไม่ให้ผู้ใดรู้ และข้าจะปกป้องท่านให้ดีที่สุด”

หลิ่วเย่ได้ยินแล้วก็ต้องลอบปาดเหงื่อ


การเดินทางช่วงบ่ายผ่านไปได้ด้วยดี พักม้าและกินอาหารอีกพักใหญ่ก็เดินทางต่อ ยามตะวันใกล้ตกดินแสงสีส้มระบายอยู่เต็มท้องฟ้า คณะเดินทางก็ออกจากป่าพอดี

“ด้านหน้ามีหมู่บ้านหากเราเร่งเดินทางคงไปถึงหมู่บ้านก่อนยามไฮ่แน่นอน” ไป่หลางเอ่ย กระตุ้นสีข้างมา “รีบไปกันเถิด”

ทุกคนที่ได้ยินต่างเร่งฝีเท้าม้าให้ไวขึ้น มีเพียงเฟยหลงซ่างคนเดียวที่ยังให้ม้าย่างก้าวด้วยท่าทางสบายๆ ก็เขาไม่อยากให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านหลังเขาลงจากม้านี่นา

“นี่ท่านสั่งให้ม้าวิ่งเร็วหน่อยได้หรือไม่ ไม่เห็นหรือพวกเขานำไปไกลแล้ว” นางทั้งตบบ่าเขาทั้งกระตุ้นสีข้างม้า แต่ม้าตัวนี้กลับไม่ย่างก้าวไปตามที่นางสั่ง

“ไม่ต้องกังวลหรอกน่า เจ้าอย่าลืมสิม้าตัวนี้บรรทุกคนสองคน เจ้าจะให้มันวิ่งไวได้อย่างไร” เขาตอบด้วยท่าทางเอ้อระเหย

“แต่ของศิษย์พี่อิงเอ๋อร์ยังนำไปไกลเลย ม้าของท่านตัวใหญ่กว่าของนางแท้ๆ” นางเอ่ยอย่างโมโหม้าของเขาตัวใหญ่กว่าตั้งเยอะ กลับเอาเหตุผลนี้มาอ้าง

“แต่ม้าข้าเหนื่อยง่าย” เขายังไม่สนใจปล่อยให้ม้าเหยาะย่างไม่ต่างกับชมวิว

หานหนิงเซียนทนไม่ไหว อ้อมมือไปโอบเอวของเฟยหลงซ่าง ควานหาสายบังเหียนด้วยความหงุดหงิด

การที่นางอ้อมแขนมาโอบเอวเขาไว้ไม่ต่างกับถูกนางโอบกอด เฟยหลงซ่างยิ่งอารมณ์ดีมากกว่าเก่า

เพราะเขาตัวใหญ่นางก็เอื้อมไปสุดตัวแล้ว คิดว่ามือของเขาควรจะอยู่ตรงแถวหน้าขาของเขา แต่เพราะมองไม่เห็นจึงควานไปทั่ว จนเขาต้องสะดุ้งเมื่อสิ่งที่นางควานเจอนั้นไม่ใช่สายบังเหียนหรือมือของเขา แต่นางควานเจอ...

“ท่าน...ท่านเลี้ยงหนอนโลหิตเอาไว้อย่างนั้นหรือ” หานหนิงเซียนดวงตาเบิกกว้างลืมเรื่องจะควานหาสายบังเหียนไปทันที มือก็ยังจับสิ่งที่นางคิดว่าเป็นหนอนโลหิตเอาไว้คลำมันไปมาเพื่อสำรวจ

เฟยหลงซ่างขบกรามแกร่ง คำรามในลำคอเมื่อนางยังคงจับและสำรวจสิ่งนั้นไม่เลิก

“ท่านบอกข้ามานะ ได้มันมาจากที่ใด หน้าตาของท่านดูก็ไม่ใช่คนชนเผ่าแดนเหนือแต่เหตุใดมีหนอนโลหิตได้” นางเอ่ยถาม ยังสำรวจด้วยความอยากรู้อยากเห็น

นางเคยได้ยินท่านพ่อเล่าให้ฟังว่าในยุทธภพนี้มีสัตว์ประหลาดและมีพิษอยู่มากมาย เหล่าชาวยุทธฝ่ายมารมักหาสัตว์เหล่านั้นเพื่อนำมาใช้เป็นอาวุธในการโจมตีฝ่ายตรงข้าม หนอนโลหิตนั้นก็เป็นสัตว์ที่ชาวยุทธหลายคนต่างเสาะแสวงหา

หนอนโลหิตเป็นสัตว์มีพิษร้ายแรง โดยมากจะพบเจออยู่แถวชายแดนเหนือ พวกมันมักหากินอยู่ตามชายป่าดูดเลือดสัตว์ในป่าไปทั่ว หากคนหรือสัตว์ที่ถูกมันกัดแล้วไม่ได้ถอนพิษภายในครึ่งชั่วยาม คนหรือสัตว์เหล่านั้นจะตายลงทันที แต่การถอนพิษนั้นก็ง่ายมาก คือเมื่อมันกัดคนและสัตว์เหล่านั้นจะถูกพิษ แต่หากมันดูดเลือดคนหรือสัตว์เหล่านั้นมันก็จะคายสารบางอย่างออกมาพร้อมกับทำให้พิษคลายตัวเอง คนและสัตว์เหล่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด

ข้อดีของมันก็คือหากยิ่งให้หนอนโลหิตดูดเลือดมากเท่าไหร่ คนหรือสัตว์ที่ถูกมันดูดเลือดก็จะทนพิษต่างๆได้มากขึ้น ดังนั้นมันจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า 'ร้อยพิษไร้พ่าย' และหากใครดื่มกินเลือดของคนที่ถูกหนอนโลหิตกัดแล้วต่างต้องถูกพิษตายทุกคน มีหนทางอย่างเดียวคือต้องยอมให้หนอนโลหิตนั้นดูดเลือดดื่มกินภายในเวลาไม่เกินครึ่งชั่วยาม

“เจ้าปล่อยมือเดี๋ยวนี้” เฟยหลงซ่างเอ่ยเพียงพร่า เมื่อมือเรียวงามของนางยังไม่ยอมหยุดสำรวจสิ่่งที่นางคิดว่าเป็นหนอนโลหิต


“ไม่! ท่านให้มันดูดเลือดอยู่หรือ ไยมันถึงได้อวบเต่งขึ้นมาได้รวดเร็วเพียงนี้” นางเอ่ยถามเมื่อรู้สึกว่าหนอนโลหิตในมือของนางขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มันคงดูดเลือดอย่างรวดเร็วมากเพราะนางรู้สึกได้ถึงความร้อนในตัวมัน โชคดีที่มันอยู่ในร่มผ้าและกำลังดูดกินเลือดของบุรุษผู้นี้ไม่เช่นนั้นนางคงกลัวจะถูกมันกัด แต่อย่างไรนางก็ไม่ยอมปล่อยหนอนโลหิตตัวนี้แน่ เพราะนางเคยได้ยินแต่ชื่อไม่เคยได้สัมผัสและเห็นมันจริงๆเสียที


“อื้ม...เซียนเอ๋อร์เอามือเจ้าออกไปก่อน” เขาครางพร้อมกับเอ่ยเสียงสั่น

เขาไม่เคยแพ้ให้กับสตรีนางใดมาก่อน แต่ตอนนี้เขาแทบจะยอมศิโรราบให้กับมือเรียวงามของนาง สตรีนางนี้ สตรีนางอื่นนั้นต่างไม่เคยทำเช่นนี้กับเขา เพราะพวกนางต่างถูกสั่งมาว่าห้ามแตะต้องกายเขา ต้องเป็นฝ่ายรองรับเขาอย่างเดียวเท่านั้น ความรู้สึกแปลกใหม่นี้แทบจะทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่ได้

“ท่านถูกหนอนโลหิตดูเลือดท่านจนเสียงสั่นแล้ว ทำอย่างไรดี” นางเอ่ยถามมือยังคงกุมมันไม่ปล่อย

หนอนโลหิตตัวนี้ตัวใหญ่มาก ท่านพ่อเคยเล่าให้นางฟังว่าหนอนโลหิตนั้นจะใหญ่ไปตามอายุและการดื่มกินเลือด นั่นแสดงว่าเจ้าตัวนี้ต้องดื่มเลือดเขามาอย่างต่ำก็ต้องเป็นสี่ถึงห้าปีแน่ๆ ไม่เช่นนั้นมันคงไม่ตัวใหญ่ขนาดนี้ แถมยังสู้มือนางอีกต่างหากดีที่มีชุดของเขากั้นเอาไว้ไม่เช่นนั้นมันอาจจะหันมาดูดกินเลือดนางแทน

สวรรค์ก้นของมันช่างอวบเหลือเกิน!

เฟยหลงซ่างคุมบังเหียนไม่ไหวอีกต่อไป แม้กระนั้นเขาก็ยังพยายามกระตุ้นม้าให้เดินเข้าไปข้างทางเพื่อไม่ให้ผู้ใดมาเห็น อีกทั้งตอนนี้เริ่มค่ำแล้วคณะเดินทางต่างนำเขาไปจนหมด ไม่เช่นนั้นหากคนอื่นหันมาเห็นว่าเขาสูญสิ้นความองอาจด้วยน้ำมือนางแล้ว คงไม่รู้เอาหน้าไปไว้ที่ไหน

เมื่อหลบไปอยู่ข้างทางแล้วเขาก็จับมือเรียวบางของนางสอนให้นางสำรวจสิ่งที่นางคิดว่าเป็นหนอนโลหิต จนหนอนโลหิตของเขาผงาดใหญ่อยู่สักพักก่อนกลับมาอ่อนปวกเปียกอีกครั้ง

“หนอนโลหิตของท่านช่างสกปรกนัก ข้ารู้สึกว่ามันปล่อยของเหลวออกมายามมันอิ่ม” นางเอ่ยเพราะรู้สึกถึงของเหลวบางอย่างออกมาจากก้นของหนอนโลหิต นางจึงรีบปล่อยมือเพราะไม่แน่ใจว่าของเหลวที่ออกมานั้นจะมีพิษหรือไม่

ท่านพ่อไม่เคยเล่าว่าหนอนโลหิตจะพ่นพิษออกมาหลังจากมันกินอิ่ม...

ใบหน้าของเฟยหลงซ่างดำทะมึน ด้วยหายใจหอบจึงไม่ได้ตอบสิ่งใดแก่นาง เมื่อปรับลมหายใจเป็นปกติแล้วจึงเอ่ยเสียงดุ

“เจ้าห้ามไปทำเช่นนี้กับผู้ใดเด็ดขาด”

“ข้าขอดูหนอนโลหิตของท่านหน่อยได้หรือไม่” หานหนิงเซียนผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราว หลังจากยอมปล่อยมือจากหนอนโลหิตแล้วจึงเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น กระตุกชายเสื้อเขาไปมา

ก็นางไม่เคยเห็น เคยได้ยินแต่ท่านพ่อเล่าให้ฟัง แต่ที่น่าแปลกคือส่วนใหญ่แล้วคนที่เลี้ยงหนอนโลหิตจะเก็บมันไว้ในกระบอกไม้ไผ่อันใหญ่ ห้อยเอาไว้ที่เอว แต่หนอนตัวนี้กลับติดอยู่ที่ร่างของเขา

“มันไม่ใช่หนอนโลหิต” เขาพยายามอธิบายใบหน้าแดงซ่าน ไม่เคยรู้สึกจะจนคำพูดมากเท่านี้มาก่อน หากเป็นเหล่าขุนนางที่ต้องถกปัญหาบ้านเมือง เขาสามารถพลิกคำพูดจากดำเป็นขาวจากขาวเป็นดำได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อเป็นเรื่องนี้ มันคงง่ายขึ้นถ้านางกลายมาเป็นผู้หญิงของเขาแล้ว

“ท่านอย่ามาโกหกข้า มันคือหนอนโลหิตไม่ผิดแน่” นางเถียงหัวชนฝา จะไม่ใช่ได้อย่างไร นอกเสียจากว่าเขาไม่ต้องการให้นางดู

“เช่นนั้นเจ้าก็รอก่อน ยังไม่ถึงเวลาข้าจะยังไม่ให้เจ้าดู หากถึงเวลาเมื่อใด แม้นเจ้าไม่อยากดูเจ้าก็ต้องดูและสัมผัสมัน ข้าจะให้เจ้าได้ลองลิ้มทำความรู้จักมันอย่างที่เจ้าคาดไม่ถึงเป็นแน่” ดวงตาคู่คมประกายดำขลับ เอ่ยด้วยใบหน้าเหี้ยมเกรียมแต่ชวนให้รัญจวนประหลาด แต่ไหนเลยหานหนิงเซียนจะเห็น นางนั่งอยู่ด้านหลังเขาจึงมองไม่เห็นสีหน้าประหลาดนั้น

“ไม่นะ! ข้าไม่เอา หนอนโลหิตน่ากลัวยิ่งนัก ข้าแค่อยากเห็นไม่อยากสัมผัสมันโดยตรง” นางเอ่ยสีหน้ารังเกียจ

“บอกแล้วอย่างไรว่าไม่ใช่หนอนโลหิต แล้วเจ้าห้ามทำแบบนี้กับผู้อื่นด้วย และห้ามนำเรื่องนี้ไปบอกผู้ใดทั้งนั้น” เมื่อพูดกับนางไม่รู้เรื่องจึงตัดบทเอ่ยเสียงเข้มก่อนจะกระตุ้นม้าให้รีบตามคณะเดินทางที่นำไปไกลแล้ว

“ว้าย!” หนาหนิงเซียนที่ไม่ทันตั้งตัว อยู่ดีๆม้าที่ยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ถูกเขากระตุ้นให้ออกวิ่งอย่างไม่บอกไม่กล่าวนางจึงผวาตัวไปกอดเอวเขาไว้แน่น ตะโกนใส่แผ่นหลังเขาด้วยความโมโห “จะให้ม้าออกวิ่งไยไม่บอกข้าเล่า ข้าเกือบจะตกม้า”

“เจ้ารีบไม่ใช่หรือ”

ในใจเขาทั้งอ่อนใจทั้งกรุ่นโกรธ ไม่รู้จะทำอย่างไรกับหานหนิงเซียนผู้ไร้เดียงสาของเขาดี หวังว่านางคงไม่ไปเสาะหาหนอนโลหิตจากบุรุษคนอื่นหรอกนะ

“เตรียมน้ำให้ข้าอาบ” เป็นคำแรกที่เฟยหลงซ่างเอ่ยกับหลิ่วเย่หลังจากที่ทุกคนต่างแยกย้ายเข้าไปยังห้องพัก

ในหมู่บ้านแห่งนี้มีโรงเตี๊ยมเล็กๆแห่งหนึ่งพวกเขาจึงกินอาหารเย็นที่นี่และถือโอกาสค้างคืนที่นี้เลย เพราะห้องมีไม่มากจึงต้องอาศัยรวมกันสองคนบ้างสามคนบ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาค้างร่วมกับหลิ่วเย่ และเฉินหลันเทียนเพราะห้องนั้นใหญ่กว่าห้องอื่น

หลิ่วเย่รับคำและรีบเดินออกไปสั่งเสี่ยวเอ้อทันที

“นายท่านไปทำอะไรที่ใต้ต้นไม้” เฉินหลันเทียนนั่งเอนหลังพิงเสาเตียงด้วยท่าทางสบายๆเอ่ยถาม เมื่อหลิ่วเย่เดินออกไป

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” เฟยหลงซ่างตอบแทบจะเป็นคำราม ใบหน้าเขียวคล้ำ

“เช่นนั้นข้าก็ต้องขออภัย ข้าได้ยินเสียงแม่นางหานหนิงเซียนเอ่ยถึงหนอนโลหิตเท่านั้นจึงแปลกใจเท่านั้นเอง” เฉินหลันเทียนตอบหน้าไม่เปลี่ยนสี

“นางเข้าใจผิด ไม่มีหนอนโลหิตอะไรทั้งนั้น” ใบหน้าเขียวคล้ำเริ่มแดงอมม่วง

“ข้าก็ว่าเช่นนั้น” เคาะพัดไปมาบนมือ


เป็นเวลาที่หลิ่วเย่กลับมาพอดี พร้อมกับเสี่ยวเอ้อร์ที่ยกถังน้ำเข้ามา เฟยหลงซ่างโล่งใจ เขาไม่อยากให้ผู้ใดรู้ว่าใต้ต้นไม้นั้นเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขาและนาง หากผู้ใดรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาจะฆ่าปิดปากมันเสีย ไม่เว้นแม้แต่เฉินหลันเทียน!

หานหนิงเซียนนั้น ยังคงฉงนสงสัยกับสิ่งที่นางเพิ่งรู้จัก หากไม่ใช่หนอนโลหิตแล้วคือสิ่งใดกันเล่า จะถามผู้อื่นเขาก็บอกไม่ให้เอาเรื่องนี้ไปบอกใคร น้ำเสียงเขาจริงจังมาก จนนางคิดว่าหากบอกไปอาจจะกลายเป็นนางเปิดเผยความลับสำคัญของเขา แล้วนางจะรู้ได้อย่างไร หากไม่ใช่แล้วไยเขาต้องสอนให้นางลูบหนอนโลหิตตัวนั้นด้วย เขาเกร็งร่างแปลกๆยามเมื่อนางช่วยลูบหนอนโลหิตให้เขา หากตอนนั้นไม่ถูกหนอนโลหิตดูดเลือดอยู่แล้วมันเกิดสิ่งใดกันแน่ แต่จะว่าไปหากเป็นหนอนโลหิตจริงตัวใหญ่ขนาดนั้นแต่ไยเขาจึงดูแข็งแรงใบหน้ายังคงมีเลือดฝาดไม่เหมือนคนขาดเลือดสักนิด

นางนั่งเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่างครุ่นคิด ขณะที่ศิษย์พี่อิงเอ๋อร์อาบน้ำอย่างสบายอุรา ห้องพักอยู่ชั้นสองทำให้นางคิดไปพลางมองเส้นทางสายเล็กหน้าโรงเตี๊ยมไปพลาง

กำลังใช้ความคิดเกี่ยวกับเรื่องหนอนโลหิต แต่สายตากลับจับไปอยู่เหตุการณ์บนพื้นเบื้องล่าง หญิงสาวนางหนึ่งกำลังถูกชายฉกรรจ์ห้าคนลากตัวไปขึ้นเกี้ยว มีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งพยายามห้ามและรั้งนางเอาไว้ แต่หนึ่งคนสู่ห้าคนไม่ได้อยู่แล้ว หญิงสาวถูกกลุ่มชายฉกรรจ์จับตัวยัดเข้าไปในเกี้ยว เกี้ยวถูกหามขึ้นออกไปอย่างรวดเร็วมีชายฉกรรจ์คนหนึ่งคุมเกี้ยวไว้ไม่ให้นางหนีออกมา หญิงสาวพยายามร้องเรียกขอความช่วยเหลือและร้องเรียกใครคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นชื่อของชายคนที่กำลังพยายามช่วยนางอยู่ แต่ไม่สามารถช่วยได้ เกี้ยวถูกชายสองคนหามไปไกล ชายสองคนที่เหลือต่างรุมทำร้ายมชายหนุ่มคนที่พยายามช่วยเหลือหญิงสาวอย่างสะใจ ไม่มีผู้ใดยื่นมือเข้าช่วย


หานหนิงเซียนไม่อาจคนเห็นผู้อื่นถูกรังแกได้จึงคว้ากระบี่ที่วางไว้บนโต๊ะปีนออกจากหน้าต่างแล้วกระโดดลงไปขัดขวาง เมื่อเข้าไปถึงนางก็ใช้กระบี่ขวางต้นขาของชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่ตะวัดออกแตะชายหนุ่มผู้ที่ถูกรุมทำร้ายอยู่ หน้าแข้งไม่สามารถสู้ฝักกระบี่ได้ ชายฉกรรจ์ผู้หน้าก้มลงจับหน้าแข้งร้องครางเจ็บปวด ส่วนชายฉกรรจ์อีกคนตกใจเงยหน้าขึ้นมองนาง

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว