นานแสนนานมาแล้วเคยมีตำนานเก่าแก่ กล่าวถึงบุตรอันเป็นที่รักของพระเป็นเจ้า
พระองค์ทรงใช้ดินสีขาวบริสุทธิ์ปั้นแต่งอย่างละเมียดละไมทุกสัดส่วน บรรจุความรัก ความเมตตา และพลังอันศักดิ์สิทธิ์ ไว้ภายในร่างกายของบุตรผู้นั้น ทรงประทานพรให้เขามีพลังอันแสนวิเศษให้แตกต่างจากผู้คนทั่วไป มอบสติปัญญา ความแข็งแกร่ง ความกล้าหาญ ความเมตตา และส่งเขามาสู่โลก
มันคือเรื่องราวของวันเก่า ๆ ในรั้วโรงเรียนอัศวิน ที่คอยตามหลอกหลอนอองเดรเรื่อยมา
ความพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่เคยให้เขาได้เงยหน้า ทั้งการต่อสู้ตัวต่อตัว การยิงธนู การต่อสู้บนหลังม้า หรือแม้แต่การล่าสัตว์ด้วยเหยี่ยว ล้วนตอกย้ำว่าทุกเรื่องราวเขาต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ มันช่างยากจะยอมรับ และตระหนักถึงความรู้สึกแสนด้อยค่านั้น
หลายปีผ่านไป อองเดรเชื่อมั่นว่าการฝึกฝนอย่างหนัก และความเพียบพร้อมในฐานะชนชั้นสูง จะทำให้เขาเหนือกว่าผู้ใดในรุ่นเดียวกัน ทว่าเขาคิดผิดถนัด…
ปลายหอกแหลมคมของปัสกาลยังคงรวดเร็ว ซ้ำทรงพลังยิ่งกว่าเคย มันแทงทะลุเสื้อเกราะโซ่ถักบริเวณโคนแขน ที่ไร้ชิ้นส่วนของแผ่นเกราะป้องกัน ปลายหอกแหวกทะลุห่วงโซ่จมลึกเข้าเนื้อ
“ผมแดง… ตาเขียว…” อองเดรกัดฟันกรอด ใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างคับแค้น “แกมัน… ไอ้ ตัว… ประหลาด!!”
อองเดร ขบกรามแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ความเคียดแค้นต่อโชคชะตา และความชิงชังในความลำเอียงของพระเป็นเจ้าเดือดพล่านในหัวใจ มือซ้ายคว้าด้ามหอกที่ปักลึก หักมันด้วยกำลังข้อมืออันทรงพลัง รวบรวมมานาที่เหลืออยู่ ก่อเกิดเปลวเพลิงสีแดงฉานสาดซัดเข้าใส่คู่ต่อสู้ที่น่ารังเกียจ
ปัสกาลบิดกายหลบได้อย่างรู้ทัน ท่วงท่าของเขาทั้งคล่องแคล่วและเฉียบขาด โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอำนาจจากมณี เขาไม่เคยพ่ายแพ้ในการดวลตัวต่อตัวแม้สักครั้ง เปรียบประหนึ่งตัวแทนแห่งความสำเร็จ
ดาบอัศวินในมือวาววับ ฟันฉับเข้าที่ใบหน้าโค้งมนของอองเดรในพริบตา จนเลือดสาดกระเซ็นเป็นทาง
“ยอมแพ้ซะอองเดร ข้าไม่ได้หมายชีวิตเจ้า”
ปัสกาลที่เหนื่อยหอบเพียงเล็กน้อยกล่าวเสียงเย็นยะเยียบ ดวงตาสีมรกตจ้องแหวนอัญมณีบนนิ้วของคู่ต่อสู้ แน่ใจว่ารูนอาร์ติแฟกต์ ‘แหวนเพลิง’ หมดพิษสงลงแล้วจึงยืดตัวตั้งตรง ตวัดปลายดาบชี้จ่อลำคอของอองเดร
“หรือหากเจ้าต้องการทิ้งชีวิตเสียที่นี่ ข้าก็ไม่ลังเล”
น้ำเสียงของปัสกาลแม้สงบนิ่ง แต่เจือไปด้วยความแค้นที่ซ่อนลึก ทั้งร่องรอยของการสูญเสีย และความเจ็บปวดที่ยังคงสะท้อนให้เห็นในสีหน้า ความโกรธขมุกขมัวที่เขาพยายามสะกดเอาไว้ เป็นเสมือนเพลิงลุกโชน ทิ้งรอยไหม้เกรียมอยู่ในแววตาของเขา
“นี่คือสงคราม และเจ้าได้เลือกฝั่งฝ่ายแล้ว ข้าถือว่าเจ้ามีส่วนร่วมในความสูญเสียที่วิโอล่า ข้า และพวกพ้องของข้าต่างได้รับ ดังนั้นหากเจ้าต้องการ ข้าจะดับลมหายใจเจ้าเดี๋ยวนี้”
คำกล่าวเด็ดขาดของอัศวินหนุ่ม ไม่ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับอองเดรเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม มันกลับยิ่งแต่งแต้มริ้วรอยของความโกรธแค้นให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ดวงตาของเขาลุกวาว ราวกับเปลวไฟที่ไม่มีวันดับ
ในสายตาของอองเดร ปัสกาลเป็นศัตรูที่น่าชิงชัง เขามีพรสวรรค์ล้ำเลิศเสียทุกกระเบียดนิ้ว บนร่างกายงามสง่านั้น เปรียบได้ดั่งเครื่องยืนยันถึงความไม่ยุติธรรมในโชคชะตา ราวกับพระเป็นเจ้าตั้งใจเลือกสรรเขาให้มายืนขวางทางของตน
แต่ในสายตาของปัสกาล อองเดรกลับเป็นเพียงคุณชายผู้น่าสงสาร ที่ไม่อาจก้าวพ้นเงาของตนเองได้ เขายึดติดกับความพ่ายแพ้ในอดีต จนละเลยที่จะพัฒนาพรสวรรค์ของตัวเอง ซึ่งมันอาจเหนือล้ำกว่าที่ตัวเขาเองจะจินตนาการได้เสียอีก
“ข้าอยากถามพระเจ้าซะเดี๋ยวนี้… ว่าเหตุใดพระองค์จึงไม่มีความยุติธรรมเอาเสียเลย!!”
สิ้นเสียงแค่นหัวเราะอันขมขื่น ลำคอของอองเดรพลันถูกเชือดเป็นแผลกว้าง ปล่อยเลือดสีแดงสดพุ่งกระเซ็น สาดลงบนตะเกียงอาคมด้านหนึ่ง เงามืดก่อตัวขึ้นคลุมทับร่างของเขาที่ทรุดลงนั่งคุกเข่าบนพื้น ก่อนล้มตัวลงนอนแน่นิ่งเคียงกับร่างอัศวินคนอื่น ๆ ที่ยังคงถูกทิ้งให้นอนกองก่ายกัน
“ความโกรธแค้นของเจ้ามันเล็กน้อยสำหรับข้า” เสียงของปัสกาลเรียบเฉียบ ทว่ามีความหนาวเย็นที่สะท้อนถึงความรู้สึกที่เก็บกดไว้ลึกสุดใจ “แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก... เจ้าแค่เติบโตอยู่ในโลกแคบ ๆ ที่พ่อของเจ้าตีกรอบไว้ให้เท่านั้น”
ปัสกาลมองร่างที่นอนตะแคงอย่างไร้เรี่ยวแรง กัดฟันแน่น สาบานต่อพระเป็นเจ้าว่าเขายังคงเจ็บแค้นและโกรธเคืองพระองค์ หากสิ่งที่เขาต้องเผชิญอยู่ในเวลานี้ คือบททดสอบจากพระองค์ในฐานะ ‘บุตรของพระเป็นเจ้า’ จริงดังว่า เขาก็อยากคืนสถานะนั้นให้เสียเหลือเกิน
“ข้าไม่เคยคิดว่าตนเองพิเศษ…” เขาพึมพำแผ่วเบา ราวกับกล่าวกับตัวเองมากกว่าผู้อื่น “หรือหากคำกล่าวนั้นเป็นความจริง ในโลกนี้ก็ไม่ได้มีเพียงข้าที่พิเศษที่สุด… และโชคร้ายที่สุด”
ในความมืดชื้นแฉะ กลิ่นเหม็นเน่าทำเอาไอชาสำลักจนแทบอาเจียนเสียหลายครั้ง ดวงตาสีนิลลึกล้ำเฝ้ามองอยู่นานสองนาน ความรู้สึกหนักหน่วงภายในใจถูกกลบด้วยถ้อยคำที่ท่องซ้ำไปซ้ำมา ย้ำเตือนตนเองว่าสิ่งที่กำลังจะลงมือทำ หาใช่ความต้องการของตัวนาง
“ข้าเป็นเพียงลูกแกะสีดำอัปลักษณ์ ที่ก้าวไปตามการชักนำของพระเป็นเจ้า”