เหนือมวลบุปผา

บทที่ 2

หลังจากเดินทางมาถึงเมืองเหลียงรันในคราบชายหนุ่มได้ตื่นขึ้นอีกครั้ง หลังจากได้ยินเสียงพูดคุยของเหล่าพ่อค้าแม่ค้ารวมทั้งผู้คนมากมายที่สัญจรไปมาอย่างพลุกพล่าน ที่ดังมาจากภายนอกของรถม้าในระหว่างที่เธอหลับอยู่ จึงทำให้หญิงสาวรู้สึกตัวอีกครั้งและเธอมั่นใจว่า ตอนนี้ตนนั้นน่าจะเดินทางมาถึงเมืองเหลียงแล้ว

เธอจึงขยับตัวเข้าไปใกล้หน้าต่างของรถม้าที่มีม่านปิดคลุมไว้ ก่อนจะแง้มม่านออกเล็กน้อยเพื่อมองออกไปยังด้านนอกของรถม้า สายตาของเธอพลันเห็นบนท้องถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายคับคั่ง ซึ่งแตกต่างจากยุคสมัยที่เธอจากมามากนักไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว บรรยากาศรอบด้าน ข้าวของเครื่องใช้ และสิ่งของที่นำมาขายหรือแม้แต่ยานพาหนะที่ใช้สัญจรไปมา

เธอรู้สึกว่ามันน่าอัศจรรย์ใจจริงๆที่เธอได้มาเห็นภาพบรรยากาศในยุคสมัยโบราณแบบนี้เธอรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างบอกไม่ถูกแต่พลันนึกได้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาตื่นเต้นในเรื่องนี้

เธอต้องคิดหาทางกลับบ้านของซูเม่ยให้ได้ซะก่อน เพราะว่าเธอในตอนนี้อยู่ในร่างของซูเม่ยเพียงแต่ตอนนี้ปลอมตัวเป็นชายหนุ่มอยู่และยังอยู่กับคนอื่นอีกด้วย เธอจะแสดงท่าทางมีพิรุธออกมาไม่ได้ ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้เธออยู่ในร่างคนอื่นล่ะก็เธอจะต้องแสดงอาการตื่นเต้นออกมาให้เขาเห็นแล้วแน่ๆ

รันรีบเก็บอาการตื่นเต้นไว้ในใจอย่างเงียบๆพลางคิดกับตัวเองไว้ว่า โอกาสหน้าจะต้องหาเวลามาเดินเที่ยวเล่นแถวนี้สักหน่อยแล้ว เผื่อจะเจอของดีๆให้ได้เพลิดเพลินใจซะบ้างเพราะตั้งแต่มาที่นี่เธอก็ต้องมาตกตระกำลำบากตั้งแต่แรกเริ่ม

อืม...ยังมีเวลาให้เรียนรู้ชีวิตในยุคนี้อีกมากเพราะฉะนั้นตอนนี้เธอต้องคิดหาวิธีกลับจวนตระกูลลี่ให้เร็วที่สุดซะก่อน เมื่อหญิงสาวคิดกับตัวเองอย่างมีความสุขแล้ว หลังจากนั้นจึงหันไปมองชายหนุ่มที่เอนกายอยู่ทางฝั่งตรงข้ามและเห็นว่าเขาน่าจะตื่นแล้ว หวังว่าเขาคงไม่เห็นท่าทางประหลาดๆของเธอเข้าหรอกนะ เธอตัดสินใจส่งเสียงกล่าวกับเทียนหรงว่า

“พี่เทียนหรง หากน้องชายผู้นี้จะขอรบกวนให้ท่านจอดรถม้าตรงโรงเตี๊ยมเล็กๆข้างหน้าที่ใกล้จะถึงนี้ได้หรือไม่”

หลังจากได้ยินเสียงของชายหนุ่มที่ตนได้ช่วยชีวิตไว้กล่าวขึ้น เทียนหรงจึงเปลี่ยนท่าทางเป็นเอนกายตะแคงข้างและหันหน้ามาทางซูจิ่นเพื่อสนทนา โดยที่ยังคงนอนเอกเขนกอย่างเกียจคร้านอยู่เช่นเดิม

“เจ้ารีบร้อนนักหรือ พอถึงที่หมายเจ้าก็จะทิ้งผู้มีพระคุณของเจ้าไปเสียแล้ว?” เทียนหรงกล่าวหยอกเหย้าอีกฝ่าย

“ย่อมมิใช่เช่นนั้นพี่เทียนหรงเพียงแต่ข้ายังหนีจากการถูกไล่ล่าอยู่ จึงคิดว่าพวกมันอาจจะยังติดตามข้าอยู่เกรงว่าอาจจะทำให้ท่านได้รับอันตรายไปด้วย ข้าย่อมมิอาจให้ผู้มีพระคุณต้องตกตระกำลำบากด้วยได้ ดังนั้นข้าจึงคิดว่าหากเป็นไปได้เราควรแยกทางกันเสียตรงนี้ขอรับ”

“โอ้ เจ้าช่างรอบคอบเสียจริง”

เทียนหรงเพียงพยักหน้าเบาๆ เมื่อเห็นเขาตกลงรันจึงอาศัยความทรงจำของซูเม่ยว่าจะนัดเขาไปเลี้ยงขอบคุณที่ไหนดี เขาเป็นผู้ชายคงชอบดื่มสุราเคล้าหญิงงามล่ะมั้ง ถ้าอย่างนั้นในความทรงจำของร่างนี้ได้บอกว่า หอบุหลันงามย่อมเหมาะเพราะค่อนข้างเป็นที่ขึ้นชื่อว่ามีทั้งสุราดีและหญิงงาม แถมเธอก็จะได้เปิดหูเปิดตาด้วยว่าหอนางโลมในสมัยนี้เป็นยังไง มันคงสนุกน่าดูที่ปลอมตัวเป็นชายออกมาเที่ยวพร้อมทั้งมีหญิงงามรายล้อม หญิงสาวคิดกับตัวเองอย่างชอบอกชอบใจ

“เช่นนั้นแล้วข้อขอนัดเลี้ยงตอบแทนท่านในครั้งหน้าได้หรือไม่ ยังไม่อาจเป็นวันนี้เนื่องจากข้ายังมีหลายอย่างที่ต้องไปจัดการเสียก่อน ข้าจึงใคร่ขอนัดเป็นสักสามวันหลังจากนี้ที่หอบุหลันงามในยามซวีได้หรือไม่พี่เทียนหรง” ซูจิ่นเอ่ยอย่างขอโทษขอโพย

“ได้ อย่างนั้นเจ้าต้องตอบแทนข้าให้มากเสียหน่อยล่ะน้องชาย” เทียนหรงตอบรับพลางหัวเราะเบาๆ

“ข้ารู้สึกละอายใจยิ่งนัก ข้ารบกวนท่านไว้มากเหลือเกิน”

รันเอ่ยอย่างรู้สึกผิดเพราะรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเทียนหรงเหลือเกิน ถ้าไม่ได้เขาช่วยไว้ไม่รู้ปานนี้เธอจะกลายเป็นผีเฝ้าแม่น้ำไปแล้ว อย่างที่เขาเคยพูดไว้หรือเปล่า

“ต้องขออภัยแล้ว”

“เอาไว้เจ้าค่อยตอบแทนข้าในคราวหน้าที่จะถึงนี้เถิดน้องชาย ไม่แน่เจ้าอาจจะได้ตอบแทนข้าจนคิดเสียใจแทนทีหลังก็เป็นได้”

“น้องชายผู้นี้ยินดีตอบแทน คราวหน้าไม่ว่าท่านต้องการจะดื่มสักเท่าไหร่ข้าจะจัดให้ไม่อั้น”

“ดี! เจ้าช่างใจกว้างยิ่งนักข้าชอบ” เทียนหรงเอ่ยอย่างพอใจ

“เช่นนั้นเป็นอันถือว่าข้าและท่านเราสองคนเป็นสหายหรือคนกันเองแล้วนะพี่เทียนทรง”

“แน่นอน ข้านับเจ้าเป็นสหายของข้าแล้ว” เทียนหรงยิ้มบางๆ

“เป็นบุญของข้าแล้วที่ได้รู้จักท่าน”

รู้จักคนดีๆเช่นเขาไว้ย่อมเป็นเรื่องดีทั้งยังน่าแปลกใจที่การรักษาของเขายังดีมากขนาดนี้ ร่างกายที่เคยบาดเจ็บและเหนื่อยล้าก่อนหน้านี้หายไป ราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งๆที่การแพทย์สมัยนี้ยังไม่น่าจะทันสมัยเท่ายุคที่เธอจากมาแท้ๆ น่าประหลาดใจจริงๆบางทีชายตรงหน้าผู้นี้เห็นทีคงจะไม่ธรรมดาอย่างที่คิด

“เจ้ากล่าวหนักเกินไปแล้ว เอาล่ะใกล้จะถึงโรงเตี๊ยมข้างหน้าที่เจ้าบอกไว้แล้ว”

“โอ้ ข้ามัวแต่เสวนากับท่านจนเพลินไปสักหน่อย”

“ช่วยหยุดรถตรงโรงเตี๊ยมข้างหน้าที่ใกล้จะถึงนี้ให้ข้าทีอาเว่ย” เทียนหลงกล่าวกับคนขับรถม้า

“ขอรับ”

รถม้าเคลื่อนไปข้างหน้าจนกระทั่งใกล้ถึงโรงเตี้ยมเล็กๆ ที่มีผู้คนเข้าออกไม่ขาดสายที่อยู่ข้างหน้า แล้วหลังจากนั้นล้อของรถม้าจึงค่อยๆชะลอช้าลงและหยุดจอดข้างโรงเตี๊ยม ก่อนที่เธอจะลงจากรถม้าจึงเอ่ยร่ำลาแก่เทียนหรงเล็กน้อย

“ขอบคุณท่านมากพี่เทียนหรงหลังจากนี้สามวัน ยามซวีเจอกันที่หอบุหลันงาม ข้าจะมารอท่านอยู่ที่นั่นหวังว่าท่านจะไม่ลืม” รันเอ่ยกำชับอีกครั้งก่อนจะลงจากลงม้า

“ได้ ข้าจะไปตรงเวลาอย่างแน่นอน”

“ข้าต้องขอตัวแล้ว”

“รักษาตัวให้ดี”

หลังจากลงจากรถม้าแล้วเธอจึงยืนรอให้รถม้าจากไปแล้วจึงเดินตรงเข้าไปยังโรงเตี๊ยมทันที เสี่ยวเอ้อร์เห็นชายหนุ่มหน้าตาหมดจดผู้หนึ่งกำลังเดินตรงมายังโรงเตี๊ยมของตน เมื่อพิจารณาดูใบหน้าดีๆแล้วนับว่าค่อนข้างออกไปงดงาม มากกว่าหล่อเหลาและมีท่าทางสง่างามคาดว่าน่าจะมีฐานะพอตัว เมื่อชายที่กล่าวถึงเดินเข้ามายังโรงเตี๋ยมของตนแล้วเสี่ยวเอ้อร์จึงรีบออกมาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น

“ไม่ทราบว่าคุณชายท่านนี้ต้องการห้องพักหรือรับประทานอาหารขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยพร้อมทั้งยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร

“ข้าต้องการห้องพักสักห้อง รบกวนเจ้าแล้ว”

“ไม่เป็นปัญหาขอรับคุณชาย เชิญท่านตามผู้น้อยไปยังห้องพักเถิด”

เสี่ยวเอ้อร์นำทางไปยังชั้นสองของโรงเตี๊ยมและตรงไปยังห้องพัก เมื่อถึงห้องพักแล้วจึงถามกับเธออีกครั้งว่า

“คุณชายท่านต้องการให้ข้านำอาหารหรือน้ำชา ขึ้นมาส่งให้ท่านที่ห้องหรือไม่ขอรับ”

“โอ้ ดีเลยข้ากำลังหิวอยู่พอดีเลยเช่นนั้นเอาตามที่เจ้าว่าเถิด นำอาหารที่ขึ้นชื่อของที่นี่มาสักสองอย่าง พร้อมกับน้ำชามาให้ข้าสักป้านหนึ่งก็พอ อีกอย่างข้ามีเรื่องจะไหว้วานเจ้าสักเล็กน้อยให้ช่วยหาชุดบุรุษเรียบๆ ให้ข้าใหม่สักชุดพร้อมหมวกที่มีผ้าคลุมหน้ามาให้ข้าที”

ซูจิ่นกล่าวกับเสี่ยวเอ้อพร้อมทั้งล้วงพวงเงินในกระเป๋าให้เสี่ยวเอ้อไปจำนวนหนึ่ง โชคดีนักในตอนที่เธอตื่นขึ้นมาหลังจากได้สติ เพราะได้เทียนหรงช่วยชีวิตไว้ในตอนแรกนั้น เธอได้ลองสำรวจดูว่ามีอะไรพอจะติดตัวมาบ้าง ก็พบว่ามีเงินจำหนึ่งติดตัวมาด้วย ถือว่าโชคดีที่ซูเม่ยยังรอบคอบพกเงินติดตัวออกมาด้วยและเก็บไว้อย่างดี ในช่องด้านในของเสื้อบุรุษ เป็นเงินมากพอที่จะใช้ซื้อจับจ่ายสิ่งของได้ หลังจากนั้นเมื่อเสี่ยวเอ้อรับคำแล้วจึงรีบจากไปหาสิ่งของที่เธอต้องการให้ทันที

“เฮ้อ ทั้งเหนื่อยทั้งหิวยังต้องมาระวังตัวแจหลังจากเข้าเมืองมาอีกชีวิตไม่ง่ายเลยจริงๆ กลับไปถึงบ้านแม่จะขอนอนหลับเป็นตายเลยคอยดูสิ”

รันบ่นกับตัวเองเบาๆหลังจากอยู่คนเดียวภายในห้องพักไม่นานนักก็มีสาวใช้มาเคาะประตูพร้อมนำอาหารและชาที่สั่งขึ้นมาส่งที่ห้องพัก เธอจึงจ่ายเงินค่าห้องพักและอาหารพร้อมกับให้ทิปเพิ่มอีกเล็กน้อยแก่สาวใช้

สาวใช้นางนั้นกล่าวขอบคุณไม่หยุด พร้อมทั้งโขกศีรษะให้หนึ่งทีอย่างดีใจแล้วจึงขอตัวจากไป หลังจากเธอกินอาหารและดื่มชาจนอิ่ม แล้วเสี่ยวเอ้อร์ที่เธอวานให้ไปหาของให้ก็กลับมาพอดี พร้อมทั้งส่งเสียงเรียกที่หน้าห้อง

“คุณชาย ข้าเอาของมาให้ขอรับ”

“เข้ามาได้”

“นี่ขอรับของที่ท่านให้ข้าไปหามาทั้งหมด”

เสี่ยวเอ้อร์ถือชุดบุรุษสีม่วงเข้มเรียบๆและหมวกคลุมสีดำ นำมาวางลงบนโต๊ะพร้อมทั้งวางเงินที่เหลือจากการไปซื้อของไว้ให้ และถอยออกมาเล็กน้อยเพื่อยืนรอเธอดูของว่าครบถ้วนถูกต้องหรือไม่ ก่อนเอ่ยถามอีกครั้งว่า

“นายท่านยังต้องการสิ่งใดเพิ่มอีกหรือไม่ขอรับ”

“ไม่ต้องแล้วขอบใจเจ้ามาก ส่วนเงินที่เหลือนี้ข้าให้เจ้าถือว่าเป็นค่าจ้างแล้วกัน” รันเอ่ยอย่างใจกว้าง

“ขอบคุณขอรับนายท่าน หากท่านต้องการสิ่งใดเรียกใช้ข้าได้ทุกเมื่อเลยนะขอรับ”

เสี่ยวเอ้อร์ตอบรับอย่างดีอกดีใจ พร้อมทั้งระบายรอยยิ้มทั่วใบหน้าก่อนจะขอตัวจากไป

หญิงสาวนั่งจ้องชุดบุรุษและหมวกคลุมอยู่สักพักอย่างครุ่นคิด ถ้าหากว่าเธอจะลอบกลับไปยังจวนตระกูลลี่ ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกทางกลับที่ไม่ค่อยเป็นที่สังเกตนักย่อมดีกว่า เพราะในเร็วๆนี้ยังไม่อาจนิ่งนอนใจได้ว่าอีกฝ่ายจะเลิกสะกดรอยตามแล้วหรือไม่

เป็นไปได้ว่าพวกมันยังไม่เจอศพแล้วจะยังไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจไป และก็เป็นไปได้อีกว่าพวกมันอาจจะยังคงวนเวียน อยู่แถวนั้นบริเวณแม่น้ำที่ซูเม่ยโดดลงไป นั่นย่อมหมายความว่าพวกมันน่าจะยังไม่รู้ว่าได้มีคนมาช่วยเธอไปก่อนแล้ว หากเป็นแบบนั้นละก็เธอต้องรับใช้เวลาในช่วงนี้กลับสู่จวนตระกูลลี่ให้เร็วที่สุด

ยังดีที่ในความทรงจำของร่างนี้บอกว่า พวกมันไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของซูเม่ย อีกทั้งไม่รู้ด้วยว่าคนที่พวกมันกำลังไล่ล่าอยู่นั้นเป็นซูเม่ย เช่นนั้นแล้วข้าต้องรีบกลับตระกูลลี่ไปแจ้งเรื่องนี้ให้นายท่านลี่ได้ทราบ อย่างน้อยกันไว้ก่อนย่อมดีกว่าแก้ยังไงเขาก็เป็นพ่อของซูเม่ยย่อมต้องช่วยเหลือบุตรสาวของตนเองอยู่แล้ว

ช่างกล้านักที่มาทำให้หญิงผู้บอบบางไร้ทางสู้อย่างเธอต้องมาหนีหัวซุกหัวซุน หลังจากได้บ่นกับตัวเองคนเดียวจนพอแล้ว เธอจึงรีบแต่งตัวเพื่อกลับไปยังตระกูลลี่ในตอนเย็นของวันนั้น โดยอาศัยความจำของซูเม่ยกลับไปยังทางลัด ที่ไม่ค่อยมีผู้คนสังเกตมากนัก

จนกระทั่งมาถึงจวนของตระกูลลี่ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองกำแพงจวนของตระกูลลี่แล้วก็ต้องร้องโอ้ มันสูงมากจริงๆถ้าให้ปีนคงต้องตกลงมาตายแน่ๆ เอ๊ะ ถ้าซูเม่ยเป็นวรยุทธ์มาก่อนแปลว่านางอาจจะใช้วิชาตัวเบาในการข้ามกำแพงนี้ไปก็เป็นได้ แล้วเธอที่มาอยู่ในร่างนี้จะใช้ได้ไหมนะไ หนลองสักหน่อยรันสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะลองใช้วิชาตัวเบาบ้าง

“ไปเล้ย ย่าห์” หญิงสาวส่งเสียงออกมาพร้อมทั้งกระโดดขึ้น แต่ปรากฏว่าไม่เป็นผล

“ไม่เป็นไรมันอาจจะผิดพลาดทางเทคนิค บางทีมันอาจจะทำได้ในครั้งที่สอง” เธอยังคงพยามกระโดดขึ้นอีกครั้ง

“อ้าว ทำไมยังไม่ขึ้นไปอีกหรือซูเม่ยจะตัวหนักอาจเป็นไปได้”

หญิงสาวยังคงเข้าข้างตัวเอง หากใครได้ผ่านมาเห็นหญิงสาวในตอนนี้คงจะตลกนักเนื่องจากหญิงสาวได้กระโดดกระหยองหระแหยงอยู่ข้างกำแพง ที่สูงจนน่าอัศจรรย์นี้อย่างน่าเวทนา กระโดดไปบ่นไปเป็นภาพที่มองแล้วชวนให้คนตลกขบขันยิ่งนัก

“เฮ้อ ไม่ไหวล่ะเหนื่อย พอกันทีนึกว่าพออยู่ในร่างนี้แล้ว ก็จะเป็นวรยุทธ์ด้วยซะอีกที่ไหนได้ตอนนี้ไม่ได้เรื่อง!”

รันพูดกับตัวเองก่อนจะทิ้งร่างทรุดตัวลงนั้นข้างกำแพงอย่างเหนื่อยหอบ ทีตอนซ้อมกีฬายังไม่เหนื่อยขนาดนี้เลย เมื่อเธอนั่งพิงหลังเข้ากับกำแพงสักพัก ปรากฏว่าหญิงสาวเป็นต้องหงายหลังลมตึงจนขาชี้ฟ้าไป เมื่อกำแพงที่หลังของเธอสัมผัสได้เปิดออก เนื่องจากว่ารันในร่างซูเม่ยนั้น รู้เพียงแต่ว่าถ้ามาทางนี้จะมีทางเข้าตระกูลลี่ แต่กลับไม่รู้ว่าต้องเข้าไปอย่างไร

เธอกลับคิดเพียงแค่ว่าซูเม่ยน่าจะใช้วิชาตัวเบาในการข้ามกำแพงแน่ๆ ไม่ได้สังเกตว่าเมื่อนั่งลง มองที่กำแพงจะมีประตูลับขนาดเล็กสีเดียวกันกับกำแพง ซึ่งขนาดของประตูนั้นไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกิดไป มีความสูงเท่าช่วงเอวของคนยืนแต่เมื่อนั่งแล้วจะสูงกว่าศีรษะของผู้นั่งเล็กน้อย และมีความกว้างเท่าช่วงตัวของคนที่รูปร่างไม่อ้วนจนเกินไป

“จ้า แล้วนังโง่ตัวไหนมันกระโดดอยู่นอกกำแพงคนเดียวตั้งนาน ทั้งๆที่มีประตูให้เข้าแท้ๆดีมากกกกกกก”

รันกล่าวกับตัวเองอย่างเจ็บใจหลังจากนอนมองท้องฟ้าจนพอใจเธอแล้ว เธอจึงลุกขึ้นปัดฝุ่นปัดดินที่เปื้อนชุดเปื้อนหัวเปื้อนตัวของเธออก และจัดการจัดแจงเสื้อผ้าตัวเองให้เรียบร้อยอีกครั้งและปิดประตูไว้เช่นเดิม แล้วเดินเข้าสู่ตระกูลลี่ไปโดยที่หญิงสาวไม่รู้ตัวนั้นเมื่อเธอได้เดินเข้าประตูไปแล้ว

ยังมีสายตาคู่หนึ่งที่คอยจ้องมองและสะกดรอยตามหญิงสาว มาตลอดตั้งแต่แรกจากโรงเตี๊ยมจนกระทั่งถึงตอนนี้ เขายังคงซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเธอนัก คอยมองทุกการกระทำอย่างไม่ตกหล่น นั่นย่อมรวมถึงว่าเขาได้เห็นกระทั่งภาพชวนตลกขบขันของหญิงสาว ที่กระโดดไปมาข้างกำแพงพลางบ่นพึมพำอยู่ผู้เดียวราวกับคนบ้า และพอทิ้งตัวลงนั่งพิงกำแพงเป็นต้องหงายหลังขาชี้ฟ้าไปอีก

ชวนให้คนที่แอบมองสอดแนมเช่นเขา ต้องกลั้นขำจนแทบกระอักเลือดตาย แต่หลังจากหญิงสาวเดินเข้าประตูไปแล้ว เขากลับทนไม่ไหวจนต้องปล่อยขำออกมาอย่างห้ามไม่ได้

“ฮ่าๆๆๆ เจ้าซูจิ่นน้องชายผู้นี่ช่างน่าสนใจนัก ถึงกลับทำให้ข้ากลั้นขำจนแทบตาย นับว่าการแอบสะกดรอยตามมาครั้งนี้ช่างคุ้มค่ายิ่งนัก”

ชายหนุ่มกล่าวอย่างอารมณ์ดีที่แท้ก็เป็นคนตระกูลลี่ เช่นนั้นเขาคงต้องให้คนไปสืบเรื่องราวของน้องชายผู้นี้สักหน่อยแล้ว ทั้งที่ไม่เป็นวรยุทธ์แท้ๆแต่กลับหลบหนีการไล่ล่ามาได้ช่างน่าแปลกใจยิ่งนัก แล้วพวกที่ไล่ล่าตามเขานั้นเป็นผู้ใดหรือพวกนั้นไม่เป็นวรยุทธ์เช่นกัน? คงต้องวานให้ลูกน้องของเขาไปสืบเรื่องนี้อย่างละเอียดเสียหน่อยแล้ว

“ซูจิ่น ข้าจะตั้งหน้าตั้งตารอเจ้าอย่างใจจดใจจ่อในครั้งหน้า”

ชายหนุ่มเอ่ยออกมาหลังจากร่างของซู่จิ่นลับสายตาไป แล้วพลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วจึงจากไป

“ในที่สุดฉันก็มาถึงบ้านของตัวเองสักที งั้นรีบตรงไปยังเรือนของซูเม่ยแล้วรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ แล้วนอนเอาแรงสักหน่อยดีกว่า”

รันนึกอย่างดีใจในที่สุดเธอก็เข้ามาถึงจวนตระกูลลี่ แล้วจึงรีบตรงไปยังเรือนของซูเม่ยทันโดยระหว่างทางเธอไม่พบใครเลย เอ๊ะเป็นไปได้หรือเปล่าว่านี่เป็นทางเข้าที่ใกล้เรือนของซูเม่ยที่สุด เพราะเพียงเธอเดินมาไม่นานก็ปรากฏเป็นเรือนงดงามและร่มรื่นตรงหน้าของเธอ

“นี่สินะเรือนของซูเม่ยคุณหนูใหญ่ตระกูลลี่ ที่นอนจ๋าแม่กลับมาแล้ว” ไม่รอช้ารันก็พุ่งตัวเข้าไปในตัวเรือนทันทีอย่างมีความสุข

รีวิวจากผู้อ่าน

กรุณาล๊อคอินเพื่อรีวิว